ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 51 ชื่อที่หายไป
ประกาศชิงอวิ๋นใหม่นั้นไม่มีอะไรแปลกใหม่ คนที่มีชื่อเสียงที่สุดบนประกาศนี้ก็คือเซวียนหยวนผ้อ ผู้อาวุโสหอความลับสวรรค์ได้ให้คำอธิบายสั้นๆ ไว้ว่า วิชาที่ผู้เยาว์เผ่าหมีผู้นี้ใช้นั้นเหมาะสมกับตัวเขาอย่างที่สุด และยังชื่นชมเป็นอย่างสูง ส่วนชื่ออื่นๆ นั้น ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวที่ยังอายุไม่ถึงสิบห้าและมีคนไม่มากนักที่รู้จักชื่อพวกเขา
คืนนั้นเมื่อปีกลาย เฉินฉางเซิงได้ชักนำแสงดาวทั่วฟ้าลงมายังสุสานเทียนซู ทำให้ผู้คนมากมายสามารถทะลวงผ่านด่านที่ยากจะผ่านอย่างขั้นทะลวงอเวจีได้อย่างง่ายดาย ภาพความเจ็บปวดน่าอนาถที่จะเกิดขึ้นสามถึงสี่ครั้งจากสิบครั้งไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อปีกลาย ชื่อที่คุ้นเคยบนประกาศชิงอวิ๋นได้ถูกเปลี่ยนไปอยู่บนประกาศเตี่ยนจินจนหมด
ถังซานสือลิ่วได้พ้นจากประกาศชิงอวิ๋นแล้วแต่ยังไม่อาจเข้าสู่ประกาศเตี่ยนจินได้ ด้วยระดับขั้นทะลวงอเวจีในตอนนี้ มันเกือบจะเป็นสถานการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ เมื่อได้ยินข่าวนี้ เขาก็นิ่งเงียบอยู่ในสำนักฝึกหลวงอยู่เป็นเวลานาน กระทั่งได้ยินว่าเจ๋อซิ่วกับซูม่ออวี๋ก็ไม่ติดอันดับด้วยเช่นกัน ใจเขาถึงได้ดีขึ้นมาอีกครั้ง
ด้วยการช่วยเหลือจากเฉินฉางเซิง แม้ว่าทันใดใจคิดของเจ๋อซิ่วจะยังไม่ได้รับการรักษา เขาก็ยังสามารถทะลวงผ่านการบำเพ็ญเพียรได้ เมื่อรวมกับพลังที่มีมาแต่เกิดและความสามารถในการต่อสู้ที่น่ากลัวแล้ว สาเหตุเดียวที่เขาไม่ได้เข้าสู่ประกาศเตี่ยนจินก็เพราะว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสจากคุกโจวและไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งออกมาเป็นเวลานาน
ถังซานสือลิ่วกับซูม่ออวี๋ไม่อาจเข้าสู่ประกาศได้ก็เพราะว่าการแข่งขันในประกาศเตี่ยนจินปีนี้นั้นรุนแรงเกินไป
เผ่าปีศาจที่หาได้ยากยิ่งบนประกาศชิงอวิ๋น ได้แสดงคุณลักษณะของเผ่าพันธุ์ตนเองที่ระเบิดพลังออกมาระหว่างช่วงกลางของการบำเพ็ญเพียร พวกเขายึดพื้นที่หนึ่งในสี่ของประกาศ สามยอดฝีมือรุ่นเยาว์เผ่าปีศาจนั้นมีอันดับอยู่แถวหน้า หอความลับสวรรค์ถึงกับบอกว่าในอนาคตอาจจะแซงหน้ายอดฝีมือเผ่าปีศาจอันดับห้าบนประกาศเซียวเหยา เสี่ยวเต๋อ ก็เป็นได้
ที่น่าตกใจที่สุดก็คือจงฮุ่ย ชายหนุ่มผู้นี้ได้อันดับสามของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ปีที่แล้วและถูกบดบังด้วยรัศมีเจิดจ้าของเฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือ จึงทำให้ผู้คนยากจะจดจำชื่อของเขาได้ ใครจะไปคิดว่าในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปี เขาจะสามารถทะลวงผ่านสู่จุดสูงสุดของขั้นทะลวงอเวจี! ส่งผลให้ได้รับอันดับสี่ในประกาศเตี่ยนจิน
น่าเสียดายที่ไม่ว่าศิษย์ของสำนักต้นไหวผู้นี้จะโดดเด่นเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบกับความเจิดจ้าของคนอื่นอีกสองสามคนได้
โก่วหานสือได้ชมดูแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ในสุสานเทียนซูนานครึ่งปี หลังจากกลับไปเขาหลีซาน ก็ได้ประลองกับยอดฝีมือที่เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวจากสำนักของเสี่ยวซงกงและสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย
แค่การประลองนี้อย่างเดียวก็เพียงพอให้ผู้อาวุโสจากหอความลับสวรรค์วางเขาไว้ในอันดับสามของประกาศเตี่ยนจิน
ไม่มีอันดับสองเพราะว่ามีอันดับหนึ่งร่วมกันสองคน
เมื่อเห็นชื่อทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นชาวจิงตูหรือศิษย์หญิงของสถานศึกษาหนานซีต่างก็ล้วนส่ายหน้าอย่างเงียบกัน
เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง
ไม่ว่าสัญญาหมั้นหมายของพวกเขาจะถูกยกเลิกไปแล้วหรือไม่ก็ตาม ดูเหมือนว่าชื่อของพวกเขาจะปรากฏอยู่ร่วมกันไปชั่วกาลนาน
หลายคนคิดว่านี่ไม่ใช่โชคชะตาแต่เป็นชะตากรรมร่วมกัน ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
แล้วชื่อที่เคยอยู่คู่กับสวีโหย่วหรงตลอดมาเล่า
ชิวซานจวินได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวได้สำเร็จ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจอยู่ในประกาศเตี่ยนจินได้อีก สละตำแหน่งอันดับหนึ่งให้แก่เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง
แต่ที่ทำให้ทั้งต้าลู่ตกตะลึงก็คือชื่อของเขาไม่ได้ไปปรากฏอยู่บนประกาศเซียวเหยา
ชิวซานจวินยังเยาว์เกินไป จึงเป็นธรรมดาที่ไม่อาจเทียบเทียมยอดฝีมือที่อยู่ในระดับสูงบนประกาศเซียวเหยาได้ ไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะสามารถสู้กับผู้แข็งแกร่งอย่างหวังผ้อและเซียวจาง แต่ด้วยระดับความแข็งแกร่งในตอนนี้ เขาก็น่าจะติดอันดับท้ายๆ ของประกาศเซียวเหยาได้
หากเขาสามารถเข้าสู่ประกาศเซียวเหยาได้จริง ต่อให้เป็นอันดับต่ำสุด ก็ยังเป็นยอดฝีมืออายุน้อยที่สุดในประกาศเซียวเหยาในรอบร้อยปี
ทั่วทั้งต้าลู่รอให้วันนั้นมาถึง แต่ความหวังของพวกเขากลับสูญเปล่า
คำอธิบายของหอความลับสวรรค์ก็คือ เนื่องจากการเปิดสวนโจวและแผนการลับของเผ่ามาร รวมถึงการแทงตัวเองระหว่างความขัดแย้งภายในของเขาหลีซาน ชิวซานจวินจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่ได้แสดงฝีมือออกมาตลอดปี จึงส่งผลให้เป็นไปไม่ได้ที่จะประเมินความสามารถในปัจจุบันของเขา จึงต้องรอไปก่อน
คำอธิบายนี้ชัดเจนยิ่งแต่ก็ยากจะทำใจยอมรับ หอความลับสวรรค์เป็นสถานที่เช่นใด ต่อให้ชิวซานจวินไม่ได้ต่อสู้กับศัตรู แต่การประเมินความสามารถของเขานั้นจะเป็นไปไม่ได้เลยเช่นนั้นหรือ ปีที่แล้วเซวียนหยวนผ้อก็ปรากฏอยู่ในประกาศชิงอวิ๋นโดยไม่ได้ต่อสู้เลยสักครั้งไม่ใช่หรือไร แล้วเขาถูกจัดอันดับขึ้นมาได้อย่างไรกัน
หอความลับสวรรค์ไม่มีประกาศชี้แจงอะไรเพิ่มเติมและน้อยคนนักที่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร
……
……
โลกดำเนินไปอย่างคึกคัก ทว่าเขาหลีซานนั้นเงียบเหงาอย่างมาก
ก่อนซูหลีจะจากไป เขาได้ทิ้งข้อความไว้ ศิษย์ของสำนักกระบี่หลีซานไม่ควรกลัวที่จะพบปัญหาแต่ก็ไม่ควรเป็นผู้สร้างปัญหาเช่นกัน
“ด้วยการบรรจบกันของเหนือใต้ สถานการณ์จึงไม่แน่นอน และพวกชาวโจวรวมถึงตระกูลชั้นสูงในแดนใต้นั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายเกินไป เมื่อเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ก็จงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่บนเขา”
นั่นคือคำพูดของเขาเอง
หลังจากซูหลีจากไป ก็เกิดความรู้สึกเหมือนตกลงสู่จุดต่ำสุดและลอยขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ยอดฝีมือรุ่นที่สองของหอกระบี่ ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของหลีซาน ต่างก็พักผ่อนอยู่เงียบๆ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บ ในตอนนี้โก่วหานสือและพวกศิษย์รุ่นสามได้ทำหน้าที่ดูแลงานทั่วไป มีหลายคนเชื่อว่ามือกระบี่รุ่นเยาว์เหล่านี้จะพบกับความท้าทายในการทำให้หลีซานสงบลง อย่างไรก็ตาม หลังจากการศึกอันดุเดือดบนยอดเขาที่กวนเฟยไป๋ตัดมือไปสิบหกข้าง เจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพก็ได้พิสูจน์ให้ทั่วทั้งแดนใต้ได้รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงถูกเรียกว่าเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ นั่นเพราะพวกเขาอุทิศตนอย่างแน่วแน่ จิตกระบี่ลุกโชน ในอนาคตพวกเขาจะก้าวเข้าสู่แดนเทพในทะเลดวงดาว
หลังจากกำจัดผลกระทบสุดท้ายของการกบฏภายในแล้ว หลีซานก็กลับสู่ความสงบได้ในที่สุด
โก่วหานสือและพวกก็ตั้งใจศึกษาอย่างจริงจัง บำเพ็ญเพียร ปลูกพืชพรรณ และในวันที่สงบสุขนี้ ได้เรียนรู้ทำความเข้าใจถึงวิถีแห่งกระบี่ที่แท้จริง
ในคืนหนึ่ง โก่วหานสือตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ มองไปที่ภูเขาไกล เห็นเพียงแค่แสงดาวสีเงิน ทว่าภาพที่คุ้นตาได้ปรากฏขึ้น แต่มีเสียงที่ต่างไปอยู่มาก
เขาคิดถึงช่วงวัยเด็ก วันคืนอันยากลำบากของมารดาที่อ่อนแอกับลูกชายเพียงคนเดียวช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รัศมีที่โปร่งใสและเป็นประกายปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
ร่างกายของเขาเสมือนหนึ่งจะแผ่แสงดาวออกมา ทว่ายังส่องประกายโปร่งใส
“ขอแสดงความยินดีกับศิษย์พี่รอง!”
กวนเฟยไป๋ เหลียงปั้นหู ไป๋ไช่และอีกหลายสิบคนของศิษย์รุ่นสามสำนักกระบี่หลีซานร้องออกมาด้วยความยินดีเมื่อมองไปยังภาพอันงดงามตรงหน้าผา
โก่วหานสือหันกลับมาและมองไปที่ศิษย์น้องกล่าวว่า “ทะเลแห่งกระบี่นั้นไร้ขอบเขต แต่พวกเราก็ต้องกล้าที่จะมุ่งหน้าต่อไป”
กวนเฟยไป๋ตอบ “ย้อนไปตอนการสอบใหญ่ หากเฉินฉางเซิงไม่เป็นบ้าขึ้นมาและเอาชีวิตเข้าแลก และหากศิษย์พี่ไม่สงสารเขาที่บำเพ็ญเพียรได้ยากลำบาก เขาจะแย่งตำแหน่งอันดับหนึ่งขั้นหนึ่งไปได้อย่างไรกัน วันนี้ศิษย์พี่ก้าวเข้าสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวได้สำเร็จ ข้าไม่รู้วาเขาจะมีหน้าพูดเรื่องนี้หรือไม่ยามที่พบกันอีกครั้งตอนงานประชุมใหญ่จู่สือ”
โก่วหานสือตอบอย่างสงบ “เฉินฉางเซิงยังไม่รู้เรื่องนี้ นอกจากนั้น แพ้ก็คือแพ้ แล้วการไม่กล้าเอาชีวิตเข้าแลกนั้นมีความสูงส่งตรงไหนกัน อย่าว่าแต่ข้านั้นอายุมากกว่าเขา ก้าวเข้าสู่วิถีแห่งการบำเพ็ญก่อน แล้วเข้ามีเรื่องใดให้ต้องภาคภูมิ ศิษย์น้อง คำพูดของเจ้านั้นช่างไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง”
“ต่อให้เขาไม่พูดออกมา ทุกคนก็พูด…ว่าที่สังฆราช แหมๆ ใหญ่โตเสียจริง”
กวนเฟยไป๋กล่าวด้วยสีหน้าที่เย่อหยิ่งเย็นชา “ศิษย์พี่นั้นเปี่ยมด้วยเมตตาและไม่อยากให้เขาต้องเสียหน้า แต่ข้าไม่สน เมื่อถึงเวลาข้าจะต้องสู้กับเขาแน่”
โก่วหานสือส่ายหน้าและให้คำแนะนำ “หากเจ้ามีใจจะแก่งแย่งชิงดี รอจนถึงสงครามกับเผ่ามารเริ่มก็ยังไม่สาย เจ้าสามารถแข่งกับเขาได้ว่าใครจะสังหารพวกมารได้มากกว่ากัน”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘เผ่ามาร’ เหลียงปั้นหูก็ก้มหน้าลงเล็กน้อยในขณะที่ไป๋ไช่มองไปด้านหลังตรงเรือนใต้แสงดาวอย่างเป็นกังวล
เหลียงเสี้ยวเซียวได้เข้าร่วมกับเผ่ามาร เขาเป็นพี่น้องแท้ๆ กับเหลียงปั้นหู
ส่วนอีกคนหนึ่งในบ้าน…มีมารดาเป็นเผ่ามาร
ว่าตามเหตุผลแล้วโก่วหานสือควรจะใส่ใจกับรายละเอียดเหล่านี้ ทว่าเขากลับพูดออกมาโดยไม่ยอมปั้นแต่งคำพูดหลีกเลี่ยงการใช้คำนี้เลย ในสายตาของเขา ในเมื่อทุกคนต่างก็เป็นศิษย์หลีซาน มีชะตาให้มีชีวิตและตายร่วมกัน ใช้ชีวิตร่วมกันทุกวันคืน การพูดเรื่องนี้ ปรึกษาอย่างรอบคอบกับพวกเขา และพูดไปจนไม่มีใครสนใจอีกต่อไป นี่จึงจะเหมาะสมกับวิถีกระบี่ของหลีซาน
เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของทุกคนเริ่มย่ำแย่ลง บางคนก็พยายามพูดตลก “หากเราวัดผลงานจากจำนวนที่ฆ่าได้ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่สี่หรือเฉินฉางเซิงก็เกรงว่าจะไม่อาจเทียบกับเจ้าลูกหมาป่าได้ เพราะว่าเรื่องเช่นนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครมีเพลงกระบี่เลิศล้ำกว่ากันเท่านั้น”
เขาต้องการจะพูดติดตลก แต่กลับส่งผลให้บรรยากาศหนักอึ้งกว่าเดิม
ในตอนนี้ มีหลายชื่อที่ไม่ควรพูดถึงบนเขาหลีซาน
ประตูเรือนเปิดออกช้าๆ และชีเจียนก็เดินออกมา
ในตอนนี้นางสวมชุดของสตรี ยังมีกลิ่นอายความอ่อนเยาว์อยู่ ร่างกายก็ผอมบาง ดูน่าเวทนาอยู่บ้าง
กวนเฟยไป๋กล่าว “ศิษย์น้อง…หญิง ดึกดื่นแล้ว อาการป่วยของเจ้ายังไม่หายดี เหตุใดถึงได้ออกมา”
ชีเจียนตอบอย่างแผ่วเบา “ข้าได้ยินพวกท่านพูดถึงเขา”
กวนเฟยไป๋ปลอบโยน “แม้ว่าเขาจะเอาชนะพวกเราได้หลายรอบในการสอบใหญ่ ข้าก็มิได้มีความคิดไม่ดีต่อเขา ในทางกลับกัน เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ข้าให้ความชื่นชม แต่อาจารย์ปู่ทำเช่นนี้ก็เพื่อเจ้า สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นลูกครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจ…”
“แล้วอย่างไร” ใบหน้าขาวซีดแต่งดงามของชีเจียนเต็มไปด้วยความดื้อดึง “แม่ข้าก็เป็นองค์หญิงเผ่ามาร แต่เขาก็ยังแต่งงานกับนางได้ แล้วทำไมข้าจะแต่งกับปีศาจไม่ได้”
กวนเฟยไป๋พูดอะไรไม่ออก เพียงแต่พึมพำ “แต่อาจารย์ปู่กล่าวว่า เขามีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน”
ใบหน้างดงามของชีเจียนซีดเซียวลงกว่าเดิม นางถามกลับ “ทุกอย่างที่เขาพูดถูกต้องทั้งหมดเลยหรือ”
นับตั้งแต่ซูหลีได้ห้ามนางออกไป ชีเจียนก็เลิกเรียกเขาว่า ‘พ่อ’
โก่วหานสือถอนหายใจ เตรียมที่จะกล่าวปลอบโยนสักหน่อย
“ไม่จำเป็นต้องพูด”
ชีเจียนเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “หากศิษย์พี่ใหญ่อยู่ที่นี่ เขาต้องช่วยข้าคิดหาทาง ไม่เหมือนกับพวกเจ้า คิดแต่จะปักหลักอยู่บนภูเขานี้”
……
……
อาจารย์ปู่แห่งหลีซานได้จากไปแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่แห่งหลีซานก็จากไปเช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน
ชื่อของเขาไม่ปรากฏบนประกาศเซียวเหยาและเหมือนจะไม่อาจหาเขาพบได้บนโลกนี้
ในทุ่งหิมะทางเหนือที่ห่างไกล มีป้อมทหารที่ค่อนข้างจะไม่เป็นที่รู้จักนามว่า ‘ชีหลี่ซี’
ว่ากันว่าหลายปีก่อน ที่แห่งนี้เป็นดินแดนของชาวเผ่าซี ต่อมาเผ่าซีถูกเผ่ามารทำลายจนสิ้นในยามที่เดินทัพลงใต้ เมื่อกองทัพมนุษย์ได้รับชัยชนะในการขยายดินแดนขึ้นเหนือ พวกเขาก็สามารถยืดพื้นที่แห่งนี้มาได้ในที่สุด
ที่แห่งนี้ใกล้กับกองทัพเผ่ามารที่สุด และห่างไกลจากโลกมนุษย์มากที่สุด
วันนี้ แม่ทัพนายกองได้ทำการประชุมยามค่ำคืน คิ้วพวกเขาขมวดมุ่นด้วยความเป็นกังวลท่ามกลางควันที่ลอยขึ้น
ไม่ใช่เพราะพลหมาป่าของเผ่ามารได้มายั่วยุสังหารคนอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะว่ามีปัญหาเรื่องการส่งเสบียง ทว่าในทางกลับกัน ไม่กี่วันก่อน ชีหลี่ซีนั้นสงบปลอดภัยเป็นอย่างมาก แม้แต่ร้านเหล้าก็ยังผสมน้ำน้อยลงในสุราของพวกเขา พวกยอดฝีมือที่ปกติสีหน้าเย็นชาก็ยังยิ้มออกมา
เมื่อเผชิญหน้ากับพลหมาป่าของเผ่ามาร ทหารม้าของชีหลี่ซีก็ได้รับชัยชนะอย่างคาดไม่ถึงครั้งแล้วครั้งเล่า
แม่ทัพนายกองกำลังเป็นกังวลว่าจะแบ่งสันความดีความชอบให้กับพลทหารม้าอย่างไรดี โดยเฉพาะกับพวกเจ้าหน้าที่อายุน้อยคนนั้น