ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 53 การประชุมใหญ่จู่สือ
สงบใจด้วยสุราแรงและเลือดของศัตรู เมื่อคิดดูให้ดีแล้ว คำพูดพวกนี้ช่างห้าวหาญนัก
เฉินโฉวพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้น “ในตอนแรกข้ารู้ว่าเจ้าใช้สุราราดรดความทุกข์จากสตรี”
นายทหารหนุ่มยิ้มและกล่าว “เมื่อวานข้าได้รับจดหมายที่นางส่งมาจากแดนใต้ นางพบคนผู้นั้นที่นางคิดว่าตายแล้วและ…ช่างบังเอิญนัก คนผู้นั้นที่จริงแล้วกลับเป็นคู่หมั้นที่นางเกลียดนัก บอกข้าที ท่านคิดว่าข้าควรยินดีกับพวกเขาหรือแสดงความยินดีกับพวกเขาไหม”
เฉินโฉวมองเขาด้วยความสงสารมากขึ้นไปอีก และตบไหล่ปลอบใจ “หากมันจบไปแล้วทางที่ดีก็อย่าไปคิดถึงมันอีกเลย”
กลับไปที่ทุ่งหิมะ ในคืนนั้นตอนที่พวกเขาถูกล้อมด้วยพลหมาป่า ทั้งสองคนได้พูดคุยกันมากมาย แน่นอนว่าที่พวกเขาคุยกันส่วนใหญ่เป็นเรื่องหญิงชาย ดังนั้นเขาจึงพอจะเอาได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ดวงตาของนายทหารหนุ่มพลันเปล่งแสงราวกับจะส่องสว่างความมืดมิดของราตรี ลม หิมะ และเส้นทางที่ปกคลุมด้วยหิมะ “ไม่ หากคนผู้นั้นตายไปแล้ว ข้าก็ไม่มีทางเอาชนะเขาได้และคงไร้ซึ่งความหวัง แต่ตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ นั่นก็หมายความว่าความหวังของข้าได้ฟื้นคืนชีพมาแล้ว”
……
……
คิมหันต์ดำเนินมาสุดปลายทาง สารทฤดูก็ย่างมาแทนที่ การประชุมใหญ่จู่สือกำลังจะมาถึง ผู้คนเริ่มออกเดินทางจากส่วนต่างๆ ของต้าลู่
ไม่เหมือนกับการสอบใหญ่และสวนโจว การประชุมใหญ่จู่สือนั้นไม่โด่งดังนัก มีแค่แวดวงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ และมีเพียงคนที่คู่ควรได้รับเชิญเท่านั้นที่ทราบข่าว ทุกครั้งที่จัดการประชุมใหญ่จู่สือก็จะจัดที่ทะเลสาบสวรรค์ บนเขาหานซานอันห่างไกลทางตะวันออกเฉียงเหนือของต้าลู่ ไม่ว่าจะออกเดินทางจากจิงตู เมืองเทียนเหลียงหรือแดนใต้ การไปยังทะเลสาบสวรรค์นั้นล้วนต้องเดินทางไกลมาก สำหรับคนจำนวนมาก แทนที่จะเรียกการประชุมใหญ่จู่สือว่าการประชุมครั้งใหญ่ของโลกผู้บำเพ็ญเพียร มิสู้เรียกมันว่าการเดินทางครั้งใหญ่จะดีกว่า
แน่ทีเดียวว่าสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรในระดับนี้ การเดินทางก็นับเป็นการบำเพ็ญอย่างหนึ่ง ส่งผลให้น้อยคนนักที่จะใช้กระเรียนเซียนหรือค่ายกลเคลื่อนย้าย แต่กลับเดินทางไปตามถนนที่ทอดยาวอยู่ทั่วโลกมนุษย์แทน พวกเขาข้ามแม่น้ำที่ตัดกันดุจใยแมงมุม สัมผัสบรรยากาศรอบกายและก้าวเดินต่อไปอย่างเอาจริงเอาจัง
ว่ากันว่าเมื่อนานมาแล้วมีอุกกาบาตจำนวนมากกลายเป็นผีพุ่งไต้ลงมาบนต้าลู่ อุกกาบาตหลายลูกตกลงตรงจุดที่ปัจจุบันนี้เป็นที่ตั้งของนครจิงตู ในจุดที่แผ่นดินยกตัวเป็นภูเขา อุกกาบาตเหล่านี้ก็กลายเป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เปิดสติสัมปชัญญะของสิ่งมีชีวิตบนแผ่นดินต้าลู่ ที่ตรงนั้นก็คือสุสานเทียนซู นอกเหนือจากอุกกาบาตที่ตกลงไปในสุสานเทียนซู อุกกาบาตส่วนใหญ่มอดไหม้จนกลายเป็นเถ้าบนท้องฟ้า และก็มีไม่น้อยที่กลับคืนสู่ทะเลแห่งดวงดาว มีบางลูกที่โชคดีหรือโชคไม่ดีก็ยากจะบอกได้ อุกกาบาตรที่ไม่ได้ตกลงไปในสุสานเทียนซูหรือมอดไหม้เป็นเถ้า ก็แตกกระจายเป็นหินจำนวนนับไม่ถ้วนตกลงบนโลก หินเหล่านี้ถูกเรียกว่าหินสวรรค์
น่าอัศจรรย์ที่หินสวรรค์เหล่านี้ไม่ได้กระจัดกระจายไปทั่วต้าลู่ แต่ส่วนใหญ่กลับตกลงไปที่จุดเดียวกันคล้ายกับที่ตกลงไปในสุสานเทียนซู
ที่นั่นก็คือหานซานทางตะวันออกเฉียงเหนือของต้าลู่ มีจำนวนไม่น้อยที่อยู่รอบทะเลสาบสวรรค์บนยอดเขาหานซาน
หินสวรรค์เหล่านั้นถูกเผาไหม้อย่างรุนแรง ไม่เหลือลวดลายลึกลับบนพื้นผิวหรือความอัศจรรย์เช่นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ แต่กระนั้นหินสวรรค์เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่มีต้นกำเนิดเดียวกับแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ ดังนั้นสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว จึงมีค่าอย่างหาใดเปรียบมิได้ ว่ากันว่ามียอดฝีมือมากมายที่ใช้หินสวรรค์เหล่านี้ช่วยให้ทะลวงผ่านระดับขั้นได้สำเร็จ
สิ่งที่การประชุมใหญ่จู่สือ[1]ต้ม ก็คือหินสวรรค์พวกนี้นั่นเอง แน่นอนว่าการจะตั้งเตาจำนวนนับไม่ถ้วนริมทะเลสาบสวรรค์เพื่อต้มน้ำนั้นเป็นไปไม่ได้ หินเหล่านี้ถูกต้มอยู่ตลอดเวลาภายในทะเลสาบเองอยู่แล้ว เพราะน้ำในทะเลสาบสวรรค์นั้นมาจากการรวมตัวกันของน้ำพุร้อนมากมาย จึงมีอุณหภูมิที่สูงอย่างยิ่ง ราวกับเป็นหม้อต้มตามธรรมชาติ
การประชุมใหญ่จู่สือนั้นเป็นการประชุมที่จัดขึ้นเพื่อเพิ่มความเร็วในการบำเพ็ญของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรในโลกมนุษย์ หากได้รับอันดับสูงสุดของการประชุมใหญ่จู่สือก็จะได้รับหินสวรรค์ไปทำความเข้าใจ ความอัศจรรย์ของหินสวรรค์นั้นไม่อาจเทียบกับแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ได้ แต่แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์นั้นอยู่ในสุสานเทียนซู ในขณะที่หินสวรรค์นั้นสามารถพกติดตัวและสามารถใช้ได้ทุกเวลาตามแต่ใจต้องการ ดังนั้นสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วความสำคัญของหินสวรรค์นั้นไม่น้อยไปกว่าแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เลย และสำหรับบางคนแล้วสิ่งนี้ดีกว่าด้วยซ้ำ
ส่วนการประชุมใหญ่จู่สือจะจัดขึ้นเมื่อไรนั้น หลังจากจักรพรรดิไท่จงกลับสู่ทะเลดวงดาว ห้าปราชญ์แปดมรสุมก็ร่วมกันจัดวางแผน โดยให้ผู้อาวุโสจากหอความลับสวรรค์เป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด การจัดงานแต่ละครั้งจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในการบำเพ็ญเพียรของเหล่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์ หลังจากยืนยันแล้วว่าระดับการฝึกวิชาของพวกเขาสูงพอที่จะทำความเข้าใจหินสวรรค์จึงจะทำการจัดการประชุมขึ้น
เมื่อยุคสมัยของจักรพรรดิไท่จงค่อยๆ เคลื่อนไกลไปในประวัติศาสตร์ โลกของผู้บำเพ็ญเพียรก็ยิ่งเย็นชาไร้ชีวิตชีวามากขึ้น การประชุมใหญ่จู่สือไม่ได้ถูกจัดขึ้นมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ไม่จนกระทั่งหวังผ้อได้สั่นสะเทือนโลก และโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็เข้าสู่ยุคดอกไม้บานอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ความถี่ในการจัดการประชุมใหญ่จู่สือมีมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งสำคัญที่สุดในการประชุมใหญ่จู่สือก็คือ ให้เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพรสวรรค์แห่งโลกมนุษย์ได้รับการสนับสนุนในเวลาที่วิกฤตที่สุดของการบำเพ็ญเพียร ให้พวกเขาได้ตระหนักถึงอุปสรรคและก้าวข้ามไปได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงมีคนได้รับเชิญน้อยมาก ยกตัวอย่างเช่นปีนี้ มีผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นเยาว์เพียงสามสิบกว่าคนเท่านั้นที่ได้รับเชิญ
ในรายชื่อผู้ได้รับเชิญนี้ มีชื่อของกวนไป๋แห่งสำนักเทียนเต้าที่โด่งดัง ชิวซานจวินเองก็อยู่ด้วย เป็นธรรมดาที่จะมีสวีโหย่วหรงกับเฉินฉางเซิงในรายชื่อ เช่นเดียวกับโก่วหานสือและอันดับสี่ในประกาศเตี่ยนจินอย่างจงฮุ่ย แม้ว่าถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วจะไม่อาจเข้าไปอยู่ในประกาศเตี่ยนจิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหอความลับสวรรค์จะไม่เห็นค่าของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาก็อยู่ในรายชื่อด้วย
นอกเหนือจากชื่อที่คุ้นหูเหล่านี้ก็ยังมีชื่อของผู้มีชื่อเสียงอื่นอีก บ้างก็เป็นผู้บำเพ็ญพเนจร บ้างก็มาจากสำนักเล็กๆ พวกผู้บำเพ็ญเพียรพเนจรหรือสำนักเล็กเหล่านั้นต่างก็มีอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร นี่ก็ยังถือว่ายังเป็นรุ่นเยาว์อยู่ ทว่าเมื่อเทียบกับคนหนุ่มสาวที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ พวกเขาก็แก่กว่าอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ทหารม้านิกายหลวงหลายร้อยคนคุ้มครองรถม้าหลายคันเดินทางออกจากนครจิงตู
เหล่าทหารม้านิกายหลวงและขุนพลเทพต่างก็มีสีหน้าเย็นชาและมีรัศมีที่เคร่งขรึม แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อความกล้าและความมุ่งมั่นของชาวเมืองในนครจิงตูที่มามุงดูอย่างตื่นเต้น
เหมาชิวอวี่และราชันย์แห่งหลิงไห่นั่งอยู่ในรถม้าที่แตกต่างกันสองคัน ทั้งคู่หลับตาพักผ่อนราวกับไม่สนใจเสียงตะโกนที่ดังก้องอยู่ภายนอก
เสียงตะโกนเหล่านั้นมีเป้าหมายอยู่ที่ผู้คนในรถม้า
ภายในรถม้า ถังซานสือลิ่ววางรายชื่อในมือลง และเกาหูเหมือนกับรู้สึกคันจากเสียงตะโกนนั้น เขาส่ายหน้ากล่าว “พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเรากำลังทำอะไร แล้วทำไมต้องตะโกนโหวกเวกด้วย แล้วก็โหรวเอ๋อร์…ข้าเพิ่งจะให้เงินเจ้าไปเป็นพันเมื่อคืนนี้เอง เจ้าคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำท่าเหมือนกับมาส่งสามีเช่นนี้”
เขามองขึ้นไปบนชั้นสองของอาคารริมทาง ซึ่งนางรำสาวกำลังเกาะระเบียงร้องไห้อยู่ สีหน้าของเขาไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง
ไม่มีใครสนใจเขา และก็ไม่มีใครมองมาทางเขา ไม่เช่นนั้นเขาคงรู้สึกอับอายยิ่งกว่านี้
เจ๋อซิ่วหลับตาพักผ่อน ปราณแท้ของเขาเคลื่อนไปตามเส้นลมปราณที่ผิดรูปราวกับมีดกรีดเฉือน แต่กลับไม่มีความเจ็บปวดให้เห็นบนใบหน้าเขา
เฉินฉางเซิงกำลังศึกษาคัมภีร์เต๋า สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังในขณะที่ห้วงแห่งจิตกำลังทำการคำนวณอย่างต่อเนื่องเพื่อหาวิธีทำลายค่ายกลที่หวังจื่อเช่อทิ้งไว้
ถังซานสือลิ่วรู้สึกอับอายอยู่บ้าง คิดในใจ ทำไมข้าถึงไม่อาจปลีกตัวจากทุกอย่างได้แบบสองคนนี้นะ
“เจ้าได้ยินไหม…มีคนเดาว่าเจ้ากำลังไปยังสถานศึกษาหนานซีเพื่อขอแต่งงาน!”
เสียงตะโกนดังมาจากถนน เมื่อได้ยินเข้า ถังซานสือลิ่วก็หัวเราะจนตัวโยน รู้สึกตลกอย่างมาก
“เหลือเชื่อที่คนพวกนี้คิดเช่นนี้ออกมาได้ แต่การแสดงออกในตอนนี้ก็นับว่าคล้ายคลึงอยู่บ้าง หากต้องการจะไปสู่ขอเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องส่งสองผู้ยิ่งใหญ่จากนิกายหลวงออกมาเช่นนี้”
ที่พูดถึงก็คือเหมาชิวอวี่กับราชันย์แห่งหลิงไห่ที่นั่งอยู่ในรถม้าเบื้องหน้าพวกเขา
ในการประชุมใหญ่จู่สือปีนี้ มีเพียงเฉินฉางเซิงกับพวกที่ออกเดินทางจากนครจิงตู แต่ก็มีการเคลื่อนพลอย่างยิ่งใหญ่ ถึงขนาดส่งมุขนายกใหญ่สองท่านมาคุ้มครองพวกเขา
นั่นเป็นเพราะฐานะของเฉินฉางเซิงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปและการเดินทางก็ยาวไกล ยิ่งไปกว่านั้น เขาหานซานยังอยู่ห่างจากดินแดนเผ่ามารไม่ไกลนัก ใครจะรู้ว่าพวกเผ่ามารจะลงมือกับว่าที่สังฆราชหรือไม่ เมื่อมียอดฝีมือขั้นสูงสุดของระดับรวบรวมดวงดาวมาส่งด้วยตัวเอง ก็ถือได้ว่าปลอดภัยยิ่งขึ้น
เฉินฉางเซิงยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านตำราในมือโดยไม่แสดงท่าทีตอบสนองแต่อย่างใด
ถังซานสือลิ่วก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติได้ในที่สุด จึงตบบ่าเฉินฉางเซิงและถาม “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้น แงะเอาก้อนขนสัตว์ออกจากหูทั้งสองข้าง และถามอย่างใจลอยอยู่บ้าง “มีอะไรหรือ”
ถังซานสือลิ่วพูดอะไรไม่ออก ชี้ไปที่กระดาษและกล่าว “เจ้าไม่สนหรือว่าจะพบเจอกับคู่แข่งเช่นไรในการประชุมใหญ่จู่สือ”
เฉินฉางเซิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มและกล่าวว่า “ข้าไม่คิดที่จะขึ้นเวที”
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียร หินสวรรค์นั้นเป็นของมีค่าอย่างมากสำหรับการหยั่งรู้ ทว่าสำหรับเขากับสวีโหย่วหรงแล้วการหยั่งรู้นี้แทบจะไร้ค่า
แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์อยู่ในมือของพวกเขา แล้วยังต้องไปสนใจกับหินสวรรค์พวกนี้ด้วยหรือ
สาเหตุที่เขาเข้าร่วมการประชุมใหญ่จู่สือ นอกจากการไปเปิดหูเปิดตาแล้วก็เพื่อพบกับคนสองสามคน ยกตัวอย่างเช่น จงฮุ่ยจากสำนักต้นไหวอาจทำให้หวังผ้อปรากฏตัวที่ทะเลสาบสวรรค์ก็ได้ อีกตัวอย่างก็คือ โก่วหานสือกับพวกศิษย์สำนักกระบี่หลีซานที่พวกเขาไม่ได้พบมาเป็นเวลานานก็มาด้วย หรือนางที่เขาเพิ่งจะจากลาเมื่อไม่นานมานี้
ถังซานสือลิ่วตอบ “ก็จริง เจ้าเป็นว่าที่สังฆราช จึงไม่เหมาะที่จะลงมาต่อสู้กับพวกเราที่เหลือ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าสามารถเข้าสุสานเทียนซูได้ตามใจต้องการ มองดูแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นใดก็ได้ที่อยากจะมอง หากจะพาสาวของเจ้าไปชมแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ด้วยกัน เจ้าก็นำนาง…”
เฉินฉางเซิงมองไปทางเจ๋อซิ่ว หลังจากยืนยันแล้วว่าเจ๋อซิ่วไม่สนใจกับบทสนทนาของพวกเขาเลยแม้แต่น้อยเขาก็รู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง
เมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของเฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่วก็ส่ายหน้าและวางรายชื่อไว้ในมือของเฉินฉางเซิง “ต่อให้เจ้าไม่คิดจะสู้ คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังคงเป็นพวกคนจากสำนักกระบี่หลีซาน เผ่าปีศาจก็ส่งคนมาเช่นกัน ข้าได้ยินมาว่าเสี่ยวเต๋อที่อยู่บนประกาศเซียวเหยาก็จะมาด้วย”
ครั้นได้ยินชื่อเสี่ยวเต๋อ เจ๋อซิ่วก็พลันลืมตาขึ้นและถาม “ยืนยันแล้วหรือ”
“โดยพื้นฐานก็ยืนยันแล้ว” ถังซานสือลิ่วขมวดคิ้วถาม “เจ้ามีความแค้นกับคนผู้นี้หรือ”
เจ๋อซิ่วถามกลับ “ถ้าข้ามีเจ้าจะช่วยข้าไหม”
ถังซานสือลิ่วตอบไปตามตรง “ไม่อย่างแน่นอน นั่นคือห้าอันดับแรกบนประกาศเซียวเหยาเชียวนะ แล้วข้าสนิทกับเจ้าขนาดนั้นเลยหรือ”
……
……
ในการเดินทางอันยาวไกล ภาพทิวทัศน์แปลกใหม่มีให้ทัศนามากมาย ทว่ามีเรื่องแปลกใหม่ไม่มากนัก
เฉินฉางเซิงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่าน บำเพ็ญเพียรและขบคิด เขารักษาอาการป่วยของเจ๋อซิ่ว แล้วจากนั้นทั้งคู่ก็มองไปที่ถังซานสือลิ่วซึ่งบึ้งตึงขึ้นทุกวันเนื่องจากความเบื่อหน่าย เหมาชิวอวี่มาหาเขาเพื่อพูดคุยเรื่องบางอย่างเป็นระยะๆ อย่างไรก็ตาม นอกจากเวลาที่พวกเขากินอาหารในป่ากันแล้ว เขาก็ไม่เคยได้เห็นราชันย์แห่งหลิงไห่เลย
ในตอนที่ฤดูร้อนกำลังจะจากไป ขบวนเดินทางก็มาถึงเขาหานซานได้ในที่สุด
ที่แห่งนี้อยู่เหนือสุด ผ่านแนวเทือกเขาอันทอดยาวนั้นไป ก็เข้าสู่ชายแดนเผ่ามาร นอกจากนี้ ยิ่งเข้าใกล้ยอดเขา ระดับความสูงยิ่งเพิ่มขึ้น อุณหภูมิรังแต่จะลดลงอย่างต่อเนื่องประหนึ่งเหมันต์มาเยือนแล้ว เกราะทหารม้าของนิกายหลวงค่อยๆ มีเกล็ดน้ำแข็งมาเกาะ