ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 57 มือสังหารผู้ผิดหวัง
เสียงคำรามที่ดุดันดังก้องออกมาจากสายลมและทราย
ลมสงบ ฝุ่นทรายจางลง ภูเขากลับมากระจ่างใสอีกครั้งหนึ่ง
ยอดฝีมือเผ่าปีศาจบนประกาศเซียนเหยาได้หายตัวไปแล้ว เหลือไว้เพียงแค่กองเลือดบนพื้น
ชายชุดเขียวครามยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยังยืนในท่าทีเช่นเดิม ก้มหน้าห่อไหล่ อย่างไรก็ตาม มือขวาที่ยื่นออกมาจากแขนเสื้อสั่นอยู่บ้าง
ในมือไม่มีกระบี่ และประกายกระบี่ที่ดูงดงามเจิดจ้าแต่แปลกประหลาดนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่จินตนาการเท่านั้น
อันที่จริงแล้ว นอกจากสถานการณ์พิเศษเช่นที่เกิดขึ้นในเมืองสวินหยาง ก็ยากนักที่จะมีใครได้เห็นกระบี่ของเขา
เส้นทางภูเขาเงียบสงัด ฝูงชนจ้องมองไปยังชายชุดเขียวครามบนทางภูเขา ล้วนตกใจและคิดกันไปว่าคนผู้นี้คือใครกัน ยอดฝีมือผู้เร้นกายที่นิกายหลวงส่งมาคุ้มครองเฉินฉางเซิงเช่นนั้นหรือ
ยอดฝีมือเผ่าปีศาจผู้พ่ายแพ้ไปในกระบวนท่าเดียว ไม่รู้จักชายชุดเขียวครามผู้นี้
ไม่มีใครรู้จักชายชุดเขียวคราม ไม่ว่าพวกเขาจะมีประสบการณ์ความรู้เพียงไรก็ตาม
ซูหลีเคยกล่าวอย่างดูถูกเกี่ยวกับชายชุดเขียวครามผู้นี้ นักฆ่าคนใดที่มีชื่อก็ไม่นับว่าเป็นนักฆ่าที่ดี
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว นอกจากเขากับคนสำคัญอย่างจูลั่วแล้ว จะมีใครอีกที่รู้ว่าชายชุดเขียวครามผู้นี้เป็นใคร
เฉินฉางเซิงรู้ว่าเขาคือใคร
ในการเดินทางหมื่นลี้จากทุ่งหิมะแดนมารไปยังแดนใต้ ชายชุดเขียวครามได้แอบมองพวกเขาอยู่ในเงามืดตลอดมา ในตอนนั้น เขาเชื่อว่าชายชุดเขียวครามนี้กำลังรอโอกาสเหมาะที่จะสังหารพวกเขา ทว่าหลังจากนั้น เขาก็ตระหนักว่าเขากำลังปกป้องพวกเขา ในที่สุดชายชุดเขียวครามก็ได้ใช้กระบี่ออกมาเมื่อเกิดพายุในเมืองสวินหยาง ด้วยกระบี่เดียวเขาสามารถพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ได้
เช่นเดียวกับในตอนนี้
เขาเดินขึ้นไปหาชายชุดเขียวครามและกล่าวจากด้านหลัง “ขอบคุณมาก”
ชายชุดเขียวครามหันกลับมาและตอบอย่างราบเรียบ “ต่อให้ไม่มีข้า เขาก็ไม่กล้าสังหารเจ้าหรอก”
ครั้นจ้องมองไปยังใบหน้าอันธรรมดานี้ เฉินฉางเซิงก็รู้ได้ในทันทีว่านี่เป็นใบหน้าที่ยากจะจดจำได้อย่างแท้จริง เขาถึงขนาดลืมไปว่าใบหน้านี้ช่างคล้ายกับใบหน้าที่เขาเคยเห็นในเมืองสวินหยาง
“ต่อให้เขาไม่กล้าสังหารข้า การถูกหยามเกียรติก็มิใช่สิ่งที่ข้าต้องการเช่นกัน”
“หากเป็นในอดีต ข้าคงรอดูว่าเจ้าจะใช้วิธีการใดรับมือกับเขาเป็นแน่”
ชายชุดเขียวครามมองไปที่กระบี่ในมือซ้ายของเฉินฉางเซิง เห็นได้ชัดว่าเขามั่นใจว่าเฉินฉางเซิงมีลูกไม้บางอย่างซ่อนเอาไว้
“เหตุใดวันนี้ท่านจึงออกมาช่วยเหลือข้าอย่างรวดเร็ว”
“ข้าไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องอันใดกับเจ้าได้”
“เพราะเหตุใด”
ชายชุดเขียวครามมองไปที่ดวงตาของเขาและกล่าวอย่างจริงจัง “เพราะว่าเจ้าคือศิษย์ของพี่ใหญ่”
เฉินฉางเซิงมองจ้องกลับไปอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจว่าพี่ใหญ่ที่พูดถึงคือใคร เขาส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าไม่ใช่”
“เจ้าคือศิษย์ของพี่ใหญ่” ชายชุดเขียวครามไม่สนใจการปฏิเสธของเขาและประกาศ “ดังนั้นเจ้าก็คือศิษย์ของพี่ใหญ่”
เฉินฉางเซิงรู้สึกอับจนหนทางและแย้งว่า “ต่อให้ผู้อาวุโสซูหลีสอนเพลงกระบี่แก่ข้า ก็ไม่มีเหตุผลให้คนเช่นท่านมาสนใจกับความเป็นตายของข้า”
“บุตรชายต้องชดใช้หนี้ของบิดา เช่นเดียวกับที่ศิษย์ต้องชดใช้แทนอาจารย์”
ชายชุดเขียวครามกล่าวอย่างจริงจัง “เขาหนีไปแล้ว ดังนั้นเจ้าก็ต้องจ่ายหนี้แทนเขา ข้าจึงไม่อาจปล่อยให้เจ้าตายได้”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจและถามกลับไป “หนี้อะไร”
ชายชุดเขียวครามตอบ “ก่อนหน้านี้ เขานำพวกเราเข้าสู่อาชีพนี้ แต่แล้วเขาก็จากไป ในตอนนี้ เขากลับจากไปไกลกว่าเก่า ดังนั้นมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะกลับมาและเป็นผู้นำของพวกเราต่อไป”
เฉินฉางเซิงยืนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ข้าจำได้ว่าในหมู่พวกท่านมีอันดับสองอยู่ด้วย”
ชายชุดเขียวครามตอบ “เขาออกไปตามพี่ใหญ่”
ในตอนนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังคนทั้งสอง
“นั่นควรจะเป็นผู้หญิงไม่ใช่หรือ”
คนที่พูดคือถังซานสือลิ่ว
สีหน้าชายชุดเขียวครามเงื่องหงอยไปบ้าง ดูเหมือนเขาไม่คาดคิดว่าความลับที่นักฆ่าอันดับสองของโลก ที่ว่าผู้นำของเหล่านักฆ่าเป็นหญิงนั้น จะถูกเปิดโปงออกมาด้วยคำพูดประโยคเดียว
ถังซานสือลิ่วกล่าวอย่างพึงพอใจ “นายท่านไม่ต้องใส่ใจข้า และนายท่านก็ไม่จำเป็นต้องชมเชยข้า ข้าเป็นใครกัน”
ชายชุดเขียวครามรีบหันไปหาเฉินฉางเซิงและกล่าว “เขาดูเหมือนคนผู้หนึ่งมาก”
เฉินฉางเซิงได้ยินเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว เขาพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง
ชายชุดเขียวครามหันกลับไปหาถังซานสือลิ่วและกล่าว “ข้าไม่ชอบคนผู้นั้น ดังนั้นควรอยู่ให้ห่างจากข้าไว้ ไม่เช่นนั้นข้าเกรงว่าจะไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้สังหารเจ้าได้”
ถังซานสือลิ่วหวาดกลัว พลางคิดในใจ เจ้าหมอนี่เป็นคนบ้า! แต่เมื่อเขานึกถึงท่าทีสง่างามที่ชายผู้นี้ใช้กระบวนท่าเดียวบังคับให้เสี่ยวเต๋อต้องจากไป เขาก็ไม่อาจควบคุมตัวเองจากความสงสัยได้ เขาเบียดไหล่เข้าหาเฉินฉางเซิงและกล่าว “อย่าเสียเวลาพูดจาไร้สาระอยู่เลย รีบแนะนำพวกเราเถอะ”
“ถังถังจากเวิ่นสุ่ย” จากนั้นเฉินฉางเซิงก็แนะนำ “นี่คือหลิวชิง”
ชายชุดเขียวครามผู้นี้ก็คือนักฆ่าอันดับสามของโลก หลิวชิง
เมื่อได้ยินชื่อที่แสนธรรมดานี้ ถังซานสือลิ่วก็ตัวแข็งทื่อไป ชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก
ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ และมองไปทางหลิวชิง เขารีบยื่นมือทั้งสองข้างออกไปจับมือหลิวชิงและพูดอย่างกระตือรือร้น “ท่านที่นับถือ โปรดมอบวิธีติดต่อให้ข้าด้วย!”
สิ่งที่มือสังหารหวาดกลัวที่สุดก็คือการถูกผู้อื่นจับมือเอาไว้ และหลิวชิงเองก็ไม่ต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ชอบถังซานสือลิ่วอยู่แล้ว จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ยอมให้จับมือ
เฉินฉางเซิงพลันถามขึ้น “ทำไมท่านถึงได้ชอบห่อไหล่”
ตอนที่อยู่ในเมืองสวินหยาง หลิวชิงนั้นเรียกได้ว่าธรรมดาอย่างที่สุด รูปร่างท่าทางนั้นธรรมดายิ่งนัก กระนั้นก็ตาม เขาไม่เคยจงใจห่อไหล่
เป็นที่รู้กันดีว่าการถูกจดจำได้อย่างง่ายดายนั้นเป็นสิ่งที่มือสังหารควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด
หลิวชิงตอบ “ข้าเรียนมาจากหวังผ้อ ข้าตระหนักว่าวิธีนี้สามารถชักกระบี่ได้เร็วขึ้น”
เฉินฉางเซิงนึกถึงประกายกระบี่ที่ฉายขึ้นท่ามกลางลมทรายและรู้ว่ากระบี่ของหลิวชิงนั้นเร็วกว่าตอนที่อยู่ในเมืองสวินหยางจริงๆ อย่างน้อยก็สามส่วน
มือสังหารระดับสูงขั้นรวบรวมดวงดาวก็เป็นคนที่น่ากลัวที่สุดในโลกคนหนึ่งอยู่แล้ว หากกระบี่ของเขาเร็วขึ้นอีกสามส่วนจะน่ากลัวเพียงไรกัน
ไม่น่าประหลาดใจที่ยอดฝีมืออันดับห้าบนประกาศเซียวเหยาจะไม่ใช่คู่มือของหลิวชิง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ถูกลอบโจมตีก็ตาม
พายุในเมืองสวินหยางนำพาเขา หวังผ้อ หลิวชิง และแม้แต่ซูหลีไปพบกับความเปลี่ยนแปลงมากมาย โดยปกติแล้วนับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี
“จำกระบี่ที่ข้ามอบให้เจ้าได้หรือไม่ เขาหนีไปแล้ว ดังนั้นทางที่ดีเจ้าก็ไม่ควรคิดหนี” หลิวชิงกล่าวเตือนเฉินฉางเซิงอย่างจริงจัง
ถังซานสือลิ่วรับฟังมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ตอนนี้เขาก็อดใจไม่ไหว จึงถามขึ้น “จะให้ว่าที่สังฆราชไปเป็นผู้นำของสมาคมนักฆ่า…เจ้ายังสติดีอยู่หรือเปล่า”
หลิวชิงตัวแข็งทื่อ เขาไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อนเลย จนถึงตอนนี้ที่ถังซานสือลิ่วถามเขาว่ายังสติดีอยู่หรือไม่ เขาถึงได้สติขึ้นมาในที่สุด
ใช่แล้ว ใครจะทิ้งตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนักกระบี่หลีซานไปเป็นหัวหน้าสมาคมนักฆ่า
แล้วใครจะทิ้งตำแหน่งสังฆราชและไปเป็นหัวหน้ามือสังหาร
ช่างเป็นความคิดที่ฝันเฟื่องนัก
กลายเป็นว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตอยู่ในความฝัน
สีหน้าของหลิวชิงดูเหมือนจะมืดมัวลง เขาก้มหน้า หันหลังกลับและเดินขึ้นไปตามทางภูเขา
เขาไม่พูดอะไรกับเฉินฉางเซิงแม้แต่คำเดียว
ด้วยเหตุผลบางอย่าง แผ่นหลังของเขาดูดอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวในยามที่เดินขึ้นไปตามทาง แผ่รัศมีแห่งความโศกเศร้า
“เขาเป็นอะไรไป”
ถังซานสือลิ่วมองดูหลิวชิงเดินไกลออกไปและตะโกน “ข้าบอกว่า…ท่านยังไม่ได้ให้วิธีการติดต่อกับข้าเลย ท่านที่นับถือ!”
เฉินฉางเซิงถาม “บอกข้าที…ทำไมเขาถึงได้ปรากฏตัวบนเขาหนานซาน”
ถังซานสือลิ่วละสายตาจากมาอย่างไม่เต็มใจและกล่าวเสียงดุ “เจ้าปัญญาอ่อน หากเขามายังหานซานในเวลานี้ก็ต้องหมายความว่าเขามายังงานประชุมใหญ่จู่สือ”
ในโลกปัจจุบันนี้ น่าจะมีเพียงแค่เขากับมังกรดำเท่านั้นที่ใช้คำว่า “ปัญญาอ่อน” มาเรียกเฉินฉางเซิง
“เจ้าสิปัญญาอ่อน” เสียงของเจ๋อซิ่วดังมาจากด้านข้าง “มือสังหารที่มาร่วมงานประชุมใหญ่จู่สือก็เท่ากับมาหาที่ตาย”