ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 58 พบบัณฑิตวัยกลางคน ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดดำ
ถังซานสือลิ่วได้สติดกลับมา คิดดูแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลิวชิงไม่ได้รับคำเชิญแต่ก็บุกรุกเข้ามาในเขาหลีซาน แล้วเหตุใดหอความลับสวรรค์ถึงไม่ได้ฆ่าเขา
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจจึงอดเป็นกังวลไม่ได้ ซูหลีจากไปแล้ว มือสังหารอันดับสองผู้ลึกลับก็จะไปเช่นกัน ยามหลิวชิงเดินจากไป เขาก็ดูราวกับเป็นผีไร้บ้านที่เดินไปในความมืดมิด ดูประหนึ่งว่าเขาจะถูกแสงตะวันกลืนกินไปได้ทุกขณะ
เขารู้ว่าคนอย่างหลิวชิงนั้นสองมืออาบชุ่มไปด้วยเลือด ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องสงสารคนผู้นี้ กระนั้นก็ตาม เขาไม่อาจควบคุมอารมณ์ไม่ให้โน้มเอียงได้ ที่สุดแล้วพวกเขาก็ได้ต่อสู้กับศัตรูเคียงข้างกันในเมืองสวินหยาง และศัตรูที่พบเจอก็เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก
“บอกข้าที เจ้าคิดว่ามือสังหารที่แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อต้องการสิ่งใด”
ถังซานสือลิ่วพลันกล่าวขึ้น “เขามีเงินมากพออยู่แล้วแน่นอน ในมุมมองของข้าเขาต้องการที่จะมีชีวิตบ้าง”
เฉินฉางเซิงงุนงงจึงถาม “ชีวิตหรือ”
“มือสังหารนั้นรักการต่อสู้ รักการสังหาร แต่ก็ไม่ใช่คนบ้า ดังนั้นพวกเขาจึงยินดีเมื่อมีคนจ่ายเงินให้พวกเขาไปต่อสู้และสังหาร วิธีนี้พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องคิดมาเรื่องศีลธรรมอันใด สามารถต่อสู้และสังหารคนเป็นงานประจำวัน และนี่ก็คือชีวิตแบบที่พวกเขาแสวงหา”
“เจ้าต้องการจะบอกอะไรกันแน่”
“หลิวชิงและพวกมือสังหารนั้นเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มมังกรที่มีหัวมาก่อน แต่ตอนนี้กลายเป็นกลุ่มผีไร้บ้าน พวกเขาต้องการใครสักคนที่จะนำพวกเขากลับไปยังวิถีชีวิตที่พวกเขาต้องการ”
“แล้วอย่างไร”
“แม้ว่าข้าจะไร้ความสามารถเช่นนั้น แต่ข้าก็มีเงิน…หากพวกเขาต้องการชีวิตแบบนั้น ข้าก็จะมอบมันให้พวกเขา!”
“เลิกคิดเรื่องไร้สาระได้แล้ว” เฉินฉางเซิงพูดกับเขาอย่างจริงจัง
ถังซานสือลิ่วผายมือออกอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าก็แค่พูดไปมั่วๆ เจ้าจะจริงจังทำไม”
เจ๋อซิ่วตอบอย่างเรียบเฉย “เขาคิดเรื่องนี้มานานแล้ว หาไม่แล้วขาจะขอวิธีติดต่อกับหลิวชิงอย่างสุดชีวิตแบบนั้นหรือ”
ถังซานสือลิ่วทั้งโกรธทั้งอาย กล่าวเตือนไป “ไม่มีหลักฐานก็อย่าพูดไร้สาระ ไม่เช่นนั้นข้าเอาเจ้าถึงตายแน่”
เฉินฉางเซิงถลึงตาใส่เขา
ถังซานสือลิ่วรีบเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าไม่คิดหรือว่าการปรากฏตัวของเสี่ยวเต๋อนั้นออกจะฉับพลันเกินไปหน่อย”
พวกเขาต้องยอมรับว่าถังซานสือลิ่วเปลี่ยนเรื่องได้อย่างงดงามนัก เพราะมันเป็นเรื่องที่มีค่าพอให้คิด มีเรื่องน่าสงสัยมากมาย
หานซานเป็นที่ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของหอความลับสวรรค์ เสี่ยวเต๋อจะผ่านประตูภูเขาเข้ามาได้ก็ต้องได้รับคำเชิญจากหอความลับสวรรค์ อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วเขาก็ยังมาสร้างความลำบากให้กับเฉินฉางเซิงบนเส้นทางภูเขา ต่อให้เขามีความแข็งแกร่งเหนือใคร ทั้งยังท่าทางหยิ่งผยอง แต่เขาจะไม่สนใจความโกรธของหอความลับสวรรค์ได้เช่นนั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เขาทำสำเร็จ สามารถหยามเกียรติเฉินฉางเซิงได้จริง แล้วจะได้ประโยชน์อันใดกัน แค่ได้ระบายความโกรธแค้นในใจนั้นเพียงพอที่จะต้องรับอันตรายไร้สิ้นสุดจากการไปล่วงเกินทั้งนิกายหลวงและหอความลับสวรรค์พร้อมกันอย่างนั้นหรือ
“เสี่ยวเต๋อนั้นต่างไปจากเผ่าปีศาจทั่วไป อย่างน้อยเขาก็ต่างจากเจ้าลูกหมีของพวกเราอย่างสิ้นเชิง เขาไม่มีความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน กลับเป็นนักวางแผนที่ลึกล้ำและมองการณ์ไกล”
ถังซานสือลิ่วนำเรื่องนี้ขึ้นมาพูด และยิ่งพินิจพิเคราะห์มากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติมากเท่านั้น สีหน้าก็เคร่งเครียดยิ่งขึ้น “แม้ว่าเขาจะมีข้อแก้ตัวและเหตุผลมากมายที่จะหยามหมิ่นเจ้า แต่การที่เขาจะเสี่ยงขนาดนี้ ก็ต้องมีผลประโยชน์ใหญ่หลวงเป็นการตอบแทนด้วย แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรข้าก็หาคำตอบที่ดีไม่ได้เลย”
“นอกเสียจากว่าจะมีคนอื่นที่ได้ประโยชน์ใหญ่หลวงจากเรื่องนี้และเสนอผลประโยชน์อื่นให้กับเขาเป็นการตอบแทน”
“การที่เฉินฉางเซิงถูกหยามเกียรติ อย่างถูกทุบตีจนหน้าบวมเป็นหมูหรือถูกเปลื้องผ้าล่อนจ้อน ใครกันที่เป็นผู้ได้ประโยชน์ที่สุด”
“แน่นอนว่าไม่ใช่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่องค์หญิงลั่วลั่ว…อย่าตีข้าสิ ข้ากำลังพูดเรื่องจริงจังอยู่นะ…ต้องเป็นพวกคู่แข่งของเจ้า หากว่าที่สังฆราชต้องเสียหน้าขนาดนั้น พระราชวังหลีต้องหาทางแก้แค้นอย่างแน่นอน แต่…หากมีใครเอาเรื่องนี้มาสร้างปัญหาในอนาคต ใต้เท้าสังฆราชก็ยากที่จะพูดอะไรได้”
“หากบอกว่านี่เป็นแผนการร้าย ก็เป็นแผนที่เรียบง่ายอย่างยิ่งราวกับการละเล่นของเด็ก แต่กลับสามารถทำให้เจ้าเสียหายได้อย่างแท้จริง”
“ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะเจ้าเป็นว่าที่สังฆราช ใครๆ ต่างก็นับถือ เป็นที่สักการะที่สุดแต่ก็ยังทำให้แปดเปื้อนได้ง่ายที่สุด”
“เจ๋อซิ่วอย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น ข้าไม่ได้มีความหมายอะไรแฝงอยู่ในคำพูดพวกนี้”
“เฉินฉางเซิงคิดว่าการวิเคราะห์ของข้ามีเหตุผลไหม”
เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วสบตากันอย่างเงียบงันในเวลาต่อมา ในใจก็คิดว่า ถังซานสือลิ่วช่างสมกับเป็นผู้สืบทอดตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยอย่างแท้จริง ในเวลาสั้นๆ เขากลับสามารถวิเคราะห์เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน บรรยายเหตุและผลออกมาได้อย่างแม่นยำ
ใช่แล้ว เขาเชื่อในข้อสันนิษฐานของถังซานสือลิ่วไปเรียบร้อยแล้ว
ยอดฝีมือเผ่าปีศาจผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลันเกินไป การกระทำก็ไร้เหตุผลเกินไป ดังนั้นจึงต้องมีเหตุผลบางอย่างซ่อนอยู่เป็นแน่แท้
ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในมือของเขาแล้ว แต่หากเขาต้องการจะสวมมงกุฎเทพและกลายเป็นสังฆราช เฉินฉางเซิงยังต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบอีกมาก
วันนี้อาจจะดูปกติธรรมดา ทว่าอันที่จริงแล้วอันตรายอย่างยิ่ง
เป้าหมายของเสี่ยวเต๋อคือสองฝั่งแม่น้ำแดง บัลลังก์จักรพรรดิของเผ่าปีศาจ
ใครกันที่ยอมจ่ายอย่างหนักเพื่อเชิญให้เสี่ยวเต๋อเสี่ยงรับการลงโทษของสังฆราชและลงมือกับเฉินฉางเซิง
หากจะกล่าวให้ชัดเจนกว่านี้ก็คือ ใครกันที่มีคุณสมบัติมากพอจะรับปากเสี่ยวเต๋อถึงผลประโยชน์ในอนาคตได้
คนผู้นี้ หรือคนพวกนี้ แสดงบทบาทออกมาอย่างชัดเจน แน่นอนว่าต้องเป็นคู่แข่งไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งสังฆราชหรือตำแหน่งจักรพรรดิของต้าโจว
ยกตัวอย่างเช่น ตระกูลเทียนไห่ในนครจิงตูที่ห่างไกลออกไป หรือราชันย์แห่งหลิงไห่ที่อยู่ใกล้แค่ตีนเขา
เนื่องจากกฎที่หอความลับสวรรค์กำหนดไว้ ผู้แข็งแกร่งจากนิกายหลวงจึงไม่อาจเข้ามาในเขาหานซานได้ ในตอนนี้เมื่อคิดดูแล้วเรื่องนี้ช่างน่าสนใจอย่างยิ่ง
เพราะว่ามีเรื่องบังเอิญมากเกินไป
กล่าวได้ว่าต่อให้คนวางแผนออกจะหยาบกระด้างไปบ้าง แต่ในความไม่ระวังนี้ก็มีเรื่องบังเอิญมากเกินไป
หากมิใช่เพราะหลิวชิงปรากฏตัวขึ้นมาอย่างฉับพลันบนเขาหานซานด้วยเหตุผลบางอย่าง แผนนี้ก็อาจจะสำเร็จได้จริง
“โชคของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว” ถังซานสือลิ่วพยักหน้า
เจ๋อซิ่วเถียง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับโชคเลย”
ใช่แล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาได้เดินทางลงใต้ร่วมกันเป็นหมื่นลี้ ต่อสู้ร่วมกันในพายุเมืองสวินหยาง และเฉินฉางเซิงไม่เคยทิ้งซูหลีกลับไปยังจิงตู ตอนนี้เขาจะโชคดีได้อย่างไร
ผู้คนเดินไปตามทางเดินภูเขา เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรคุ้นเคยกันดี ต่างก็พูดคุยถึงความปั่นป่วนที่เพิ่งเกิดขึ้น
ที่ส่วนหน้าสุด เฉินฉางเซิงพูดกับผู้ดูแลจากหอความลับสวรรค์ “ข้าพอมี…ความสัมพันธ์กับผู้อาวุโสเมื่อครู่อยู่บ้าง เป็นไปได้หรือไม่….”
ผู้ดูแลรีบตอบ “แน่นอนว่าไม่มีปัญหา เรื่องในเมืองสวินหยางเป็นที่รู้ไปทั่วทั้งโลกแล้ว ต่อให้เราไม่เห็นแก่หน้าซูหลี เราต้องต้องเห็นแก่หน้าท่าน”
อันที่จริงแล้วเฉินฉางเซิงรู้ดีว่าหอความลับสวรรค์นั้นเห็นแก่หน้าของซูหลี เพียงแต่ว่าเขาเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้น
“แน่นอนว่าเขาไม่อาจสังหารผู้ใดในเขาหานซาน ต่อให้เขาพบเจอกับศัตรูก็ทำได้แค่หนีไปเท่านั้น”
ผู้ดูแลกล่าวเสริม “ไม่เช่นนั้นแล้วต่อให้เป็นหน้าของใต้เท้าสังฆราชกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์รวมกันก็ยังไม่อาจเอามาใช้อ้างได้”
เมื่อผู้รับใช้ให้คำสัญญาเช่นนี้ เฉินฉางเซิงก็ผ่อนคลายมากขึ้น
เขาไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะได้พบกับหลิวชิงอีกครั้งอย่างรวดเร็วเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น หลิวชิงในตอนนี้ก็อยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่ง
เส้นทางภูเขาคดเคี้ยวเล็กน้อย ตรงหน้าพวกเขาเป็นลำธารใส บนหน้าผาอีกฝั่งของลำธารมีต้นไม้เติบโตอยู่ทั่วไปหมด พื้นดินปกคลุมไปด้วยใบไม้เหลืองที่เปลี่ยนจากสีอ่อนเป็นสีแก่ งดงามจนร่มเงาและสีสันดูเหมือนจะพร่าเลือนผสานเข้าด้วยกัน ต้นไม้ออกผลนานับชนิด กิ่งที่เต็มไปด้วยลูกไม้โก่งโค้งประหนึ่งจะหักลงได้ทุกเมื่อ
ใกล้กับลำธารมีต้นพลับหลายร้อยต้นเติบโต กิ่งก้านเต็มไปด้วยลูกพลับ ดูราวกับโคมสีเหลืองจำนวนนับไม่ถ้วน
หลิวชิงยืนอยู่ริมลำธาร จ้องมองตรงไปยังโคมไฟสีเหลืองจำนวนนับไม่ถ้วนตรงหน้า พลางกำกระบี่ไว้ในมือ ในหน้าขาวซีดเผือดไร้เลือดฝาด ลมหายใจกระชั้นถี่รัว ไหล่ทั้งสองห่อต่ำยิ่งนัก ไม่ใช่เพราะมันทำให้เขาชักกระบี่ได้เร็วขึ้น แต่เป็นเพราะเขากำลังจะหมดแรง ประหนึ่งมีภูเขาที่มองไม่เห็นกดทับลงมาบนร่างก็มิปาน
เลือดไหลเป็นสายออกจากหูและมุมของดวงตาไม่ยอมหยุด
ศีรษะเป็นเสมือนผลไม้หนักบนต้นไม้พวกนั้น พร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเวลาเพราะมันสุกงอมเต็มที หรืออาจเพราะมันหนักเกินไป ทำให้กิ่งไม้หักและหลุดร่วงลงจากคอ
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจบลงด้วยความตาย
มือขวาของหลิวชิงที่ถือกระบี่เอาไว้สั่นอยู่ตลอด เขาจวนถึงจุดที่ไม่อาจทนได้อีกต่อไป
แม้แต่ตอนนี้ เขาก็ยังไม่โจมตี
เพราะเขาไม่สามารถโจมตีได้
ในเวลาเดียวกัน เขาไม่กล้าที่จะโจมตีคนผู้นี้
ท่ามกลางใบไม้เหลืองบนเขามีบัณฑิตวัยกลางคนยืนอยู่
มือทั้งสองประสานกันอยู่ด้านหลัง มองดูลูกพลับที่เหมือนกับโคมไฟเหล่านั้น เสมือนหนึ่งกำลังดูว่ามันสุกงอมดีหรือยัง
มีจี้ห้อยอยู่ที่เข็มขัด หากสังเกตดูให้ดีบางทีอาจพบว่ามันคือผนึก
บัณฑิตวัยกลางคนผู้นี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรโดดเด่น ทว่าเมื่อเฉินฉางเซิงจ้องมองเขา ท้องฟ้าเหนือภูเขาพลันมืดลง
เขาเป็นใครกัน