ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 59 มองครั้งเดียว หิมะเย็นโปรยปราย
เฉินฉางเซิงไม่ทันสังเกตว่าท้องฟ้าพลันเปลี่ยนเป็นมืดดำ
เพราะเขากำลังอยู่ในอาการตกใจ
หลิวชิงเป็นมือสังหารอันดับสามในโลกนี้ มีเพลงกระบี่ที่สั่งสอนโดยตัวซูหลีเอง เขามีพรสวรรค์สูงมาก การบำเพ็ญตนก็ล้ำลึก ที่สำคัญที่สุดก็คือเขามีจิตใจที่มั่นคงหนักแน่น ตอนที่อยู่ในเมืองสวินหยาง เขากล้าลงมือออกกระบี่สังหารจูลั่ว แล้วไฉนตอนนี้ในยามล่อแหลม เขากลับยังไม่กล้าโจมตีบัณฑิตวัยกลางคนผู้นี้
หรือว่าบัณฑิตวัยกลางคนผู้นี้ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่า น่าเกรงขามยิ่งกว่าจูลั่ว
จูลั่วเป็นหนึ่งในแปดมรสุม คนที่แข็งแกร่งกว่าเขาใช้นิ้วมือสองข้างก็นับได้ครบ
หรือว่าบัณฑิตวัยกลางคนผู้นี้จะเป็นเปี๋ยยั่งหงหรือว่าหนานเถี่ย หรือบางทีเขาอาจจะเป็นผู้เฒ่าความลับสวรรค์
ไม่ บัณฑิตวัยกลางคนไม่เหมือนกับคนจากแปดมรสุม
“หรือว่าจะเป็นองค์จักรพรรดิขาว” ถังซานสือลิ่วพูดด้วยสีหน้าน่าเกลียด
อันที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องคิดให้มากนัก คำตอบที่แท้จริงก็ออกจะชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแค่ว่าไม่มีใครบนภูเขานี้จะคาดคิดถึง ไม่มีเหตุผลที่ผู้ทรงอำนาจเพียงนั้นจะปรากฏกายขึ้นบนหานซาน ปรากฏขึ้นที่นี่ ปรากฏขึ้นตรงฝั่งนั้นของลำธาร
ณ ริมลำธาร นอกจากหลิวชิงยังมีคนอยู่อีกหลายคน เสี่ยวเต๋อและยอดฝีมือเผ่าปีศาจสิบกว่าคนซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
ยอดฝีมือเผ่าปีศาจสิบกว่าคนกระจายกันอยู่บนพื้นหญ้าริมลำธาร ทว่าเสี่ยวเต๋อยืนอยู่ในลำธารตามลำพัง
ยอดฝีมือเผ่าปีศาจผู้นี้ใช้ท่าทีขุ่นเคืองปกปิดความหยิ่งผยองภายใน ความสงบสำรวมเหนือล้ำเกินจินตนาการ เป็นผู้ยึดมั่นในความเป็นจริงอย่างที่สุด ในที่สุดก็ฉีกกระชากความจอมปลอมทั้งหมดในยามที่จ้องมองหลังของบัณฑิตวัยกลางคนตรงหน้า ความระแวดระวังและเป็นกังวลฉายชัดอยู่บนใบหน้า นัยน์ตาส่องแสงสีน้ำตาลสะท้อนความว่างเปล่าและสิ้นหวัง
ร่างกายของเขามีรอยแผลกระบี่ หลิวชิงที่สร้างบาดแผลนี้ให้กับเขากำลังหลั่งเลือดจากมุมดวงตาภายใต้แรงกดดันยิ่งใหญ่ของบัณฑิตวัยกลางคน ไม่อาจแม้แต่จะใช้กระบี่โจมตีออกไป เสี่ยวเต๋อรู้ดีว่าความแตกต่างกระหว่างเขากับบัณฑิตวัยกลางคนนั้นกว้างใหญ่เพียงใดจึงได้รู้สึกสิ้นหวัง
แต่สิ้นหวังก็ไม่ได้หมายความว่ายอมแพ้ ร่างกายเขาห่อหุ้มไปด้วยความดุร้ายกระหายการต่อสู้
เขาสมอย่างยิ่งที่เป็นยอดฝีมืออันดับห้าบนประกาศเซียวเหยา บนเส้นทางภูเขา เขามีการแสดงออกที่ต่ำกว่าชื่อเสียงของตัวเองไปมาก ทว่าตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับเงาแห่งความตายที่แท้จริง เมื่อเผชิญหน้ากับความมืดมิดที่ปกคลุมหานซาน กลับแสดงท่าทีไร้ความกลัวออกมา
สายตาเสี่ยวเต๋อจับจ้องไปที่มือขวาของหลิวชิง
มือหลิวชิงถือกระบี่อย่างสั่นเทาราวกับไร้เรี่ยวแรง
เสี่ยวเต๋อกำลังรอโอกาส
เขารู้ว่ามีแต่ต้องร่วมมือกับชายในชุดเขียวครามที่ใช้กระบี่ทำร้ายเขาเท่านั้น จึงจะพอมีหวังเล็กน้อยบ้าง คว้าโอกาสที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในการเอาชีวิตรอดไปต่อหน้าบัณฑิตวัยกลางคนผู้นี้ ชายในชุดเขียวครามยิ่งไม่อยากจะยอมแพ้กว่าเขาเสียอีก ไม่ว่ามือที่จับกระบี่จะสั่นเพียงใด จะต้องมีจุดหนึ่งที่มันกลับมามั่นคงนิ่มนวล
น่าเสียดายที่บัณฑิตวัยกลางคนไม่ให้โอกาสพวกเขาทำเช่นนั้น
เมื่อมือของหลิวชิงเริ่มมั่นคงขึ้นและลมหายใจของเสี่ยวเต๋อก็แข็งแรงมากขึ้น บัณฑิตวัยกลางคนก็หันกลับมา
ก่อนหน้านี้บัณฑิตวัยกลางคนเอามือไพล่หลังสายตาจ้องมองไปทางลูกพลับที่ดูเหมือนกับโคมไฟ ราวกับทหารที่เกษียณกลับไปยังบ้านเกิด
ชั่วขณะต่อมา บัณฑิตวัยกลางคนก็หันมาทางพวกเขา สีหน้าสงบราบเรียบ กลับคืนสู่ท่าทีของยอดฝีมือไร้ผู้ต้าน
บัณฑิตวัยกลางคนมีลักษณะที่ยากจะบรรยายด้วยคำพูด เพราะแม้แต่ยอดฝีมือระดับสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาวอย่างหลิวชิงกับเสี่ยวเต๋อ ก็ยังรู้สึกว่าใบหน้าของเขามีชั้นความมืดอ่อนจางปกคลุมอยู่ ทำให้ยากที่จะเห็นได้ชัดเจน ส่วนเฉินฉางเซิงกับพวกบนทางภูเขานั้น เรียกได้ว่าไร้ความสามารถจะมองเห็นใบหน้าชายผู้นี้ได้
พวกเขาเห็นเพียงแค่ว่าใบหน้าของบัณฑิตวัยกลางคน…คือโลก
บนใบหน้าของบัณฑิตวัยกลางคน มีตัวอักษรที่สว่างสดใส ล้วนแต่เกิดขึ้นมาจากภูเขาและแม่น้ำ ชั่วขณะหนึ่งเป็นผืนทรายเหลืองกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ขณะต่อมากลายเป็นทะเลที่พลุ่งพล่านปั่นป่วน ทุกอย่างในโลกเคลื่อนไปตามวงโค้งของคิ้วหรือรอยร่องริมฝีปาก เป็นภาพที่แจ่มชัดหาใดเปรียบ ทว่าบรรจุไว้ด้วยกลิ่นอายที่นิ่งเย็นอย่างที่สุด
เพราะภาพของโลกที่หลากหลายนี้ไม่มีแม้แต่คนคนเดียวให้เห็น
คนเดียวก็ไม่มี
ทุกคนล้วนตายแล้ว
เมื่อได้เห็นใบหน้าของบัณฑิตวัยกลางคน หลิวชิงก็ยืนยันสิ่งที่เขาสงสัยได้ ใบหน้าก็ซีดขาวกว่าเดิม โลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปาก
เขากัดลิ้นตนเอง เพราะมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่ช่วยให้รักษาสติเอาไว้ได้
ในส่วนลึกของดวงตาเสี่ยวเต๋อเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างบ้าคลั่ง สีเลือดเริ่มปรากฏขึ้น นี่เป็นสัญญาณว่าเขากำลังใช้วิชาลับโลหิตของเผ่าปีศาจ!
ข้อสันนิษฐานของเขาได้รับการยืนยันแล้ว ดังนั้นต่อให้พวกเขาร่วมมือกัน ก็ไม่มีโอกาสที่จะรอดชีวิตไปได้ พวกเขาถูกบังคับให้ใช้วิชาที่ลับที่สุด ทรงพลังที่สุด นำทุกอย่างออกมาเดิมพันกับคู่ต่อสู้ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกเศร้าก็คือ ต่อให้พวกเขาทุ่มเททุกอย่าง ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปบนโลกนี้ พวกเขาทำได้แค่ประวิงเวลาเพื่อให้นักปราชญ์ได้เรียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนลำธารเล็กๆ สายนี้ มีแต่วิธีนี้ที่พวกเขาจะตายโดยไม่ตัดพ้อ…ได้ตายในมือของผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็นับว่าตายโดยไม่มีอะไรให้ตัดพ้อ
บัณฑิตวัยกลางคนไม่สนเรื่องความคิดของหลิวชิงกับเสี่ยวเต๋อแม้แต่น้อย เขาไม่ได้มองดูคนทั้งสองด้วยซ้ำ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้บำเพ็ญระดับสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาวและเตรียมตัวที่จะทุ่มเททุกอย่างก็ตาม
สายตาของเขาทอดไกลออกไปบนเส้นทางภูเขา มองยังร่างเฉินฉางเซิง
แค่มองครั้งเดียวเกล็ดหิมะก็เริ่มโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าอันมืดมัว ตกลงบนเส้นทางภูเขาและร่างของเฉินฉางเซิง
ในแสงน่าขนลุกอันมืดมิดนี้ เกล็ดหิมะที่ร่วงลงจากท้องฟ้าดูขาวเป็นอย่างยิ่งแต่กระนั้นก็อันตรายอย่างที่สุด
อุณหภูมิของเส้นทางภูเขาลดลงอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นหนาวยะเยือก เฉินฉางเซิงและพวกรู้สึกว่าร่างกายแข็งทื่อขึ้นมาอย่างฉับพลัน แม้แต่ปราณแท้ที่ไหลเวียนอยู่ในเส้นลมปราณก็ยังไหลช้าลง หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ในเวลาแค่ไม่กี่ลมหายใจ แม้จะเดินก็คงทำได้ยาก นับประสาอะไรให้ต่อสู้
หลังจากสัมผัสได้ถึงอันตรายที่น่าหวาดกลัว เป็นธรรมดาที่พวกเขาปรารถนาจะหนีไป ทว่าเบื้องบนเบื้องล่างของเส้นทางภูเขาล้วนมีแต่หิมะ ไม่มีที่ใดให้หนีไปได้ นั่นเป็นเพราะแม้ว่าเกล็ดหิมะจะดูอ่อนโยนแต่ในความเป็นจริงแล้ว เกล็ดหิมะบางเบานี้บรรจุเอาไว้ด้วยพลังแห่งฟ้าดินที่เกินจินตนาการ
ในตอนนี้มีคลื่นพลังปราณที่ซ่อนเร้นปรากฏขึ้นบนเส้นทางภูเขา
ในเวลาหนึ่ง ผู้ดูแลของหอความลับสวรรค์ได้ส่งดวงจิตไปสัมผัสของวิเศษที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ เตรียมพร้อมที่จะส่งสัญญาณเตือนไปยังส่วนลึกของหานซาน
ไอพลังปราณที่ถูกส่งออกมาจากของวิเศษถูกทำลายเป็นชิ้นๆ ด้วยเกล็ดหิมะที่ร่วงลงมาและแขนขวาของผู้ดูแลก็ถูกบดขยี้เป็นเลือดเนื้อในทันที!
“มีศัตรู!” ผู้ดูแลตะโกนไปยังส่วนลึกของหานซานด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธและสิ้นหวัง
ก่อนที่เสียงตะโกนของเขาจะไปไกล ก็ถูกเกล็ดหิมะที่ตกลงมาอย่างช้าๆ หั่นเป็นเศษเล็กๆ กลิ้งไปบนพื้นดินราวกับฝุ่นผง
ในเวลาเดียวกัน เลือดก็พุ่งออกมาจากริมฝีปากของผู้ดูแลก็ถูกแช่แข็งกลายเป็นเม็ดสีแดงเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนกระเด็นกระดอนไปตามทางภูเขา
ร่างกายของผู้ดูแลล้มลงช้าๆ ไม่หายใจอีกต่อไป
เสียงร้องอย่างตกใจดังขึ้นบนเส้นทางภูเขา
ผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้าร่วมการประชุมใหญ่จู่สือต่างก็รู้สึกโกรธบัณฑิตวัยกลางคนที่อยู่อีกฝั่งของลำธาร
พวกเขาไม่อาจมองเห็นใบหน้าของบัณฑิตวัยกลางคน แต่สัมผัสได้ถึงความเฉยชาไม่แยแสของบัณฑิตวัยกลางคนผู้นั้น
การทำให้หิมะตกโดยการมองเพียงครั้งเดียว สร้างค่ายกลที่กักขังคนทั้งหมดบนทางภูเขา และสังหารผู้ดูแลของหอความลับสวรรค์อย่างง่ายดาย สำหรับคนผู้นี้แล้วเรื่องทั้งหมดนี้ดูเหมือนกับเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
นับจากตอนที่สายตานั้นจับจ้องมา บัณฑิตวัยกลางคนก็ไม่ละสายตาไปจากเฉินฉางเซิงเลย
นี่หมายความว่าอย่างไรกัน