ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 6 สัญญานัดหมายเจ็ดวัน
“แน่นอนว่าไม่ได้” ถังซานสือลิ่วมองตาของเขาแล้วพูดขึ้น “เจ้ายอมขายหน้าได้ สำนักฝึกหลวงกลับขายหน้าเช่นนี้ไม่ได้ ภายหลังใต้เท้าสังฆราชจะพูดต่อหน้าเหนียงเหนียงได้อย่างไร เจ้าอย่าได้ลืม นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้าเพียงคนเดียว แต่เป็นเรื่องของทั้งนิกายหลวง”
เรื่องนี้ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ล้วนรู้กัน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเลี่ยงไม่พูดต่อหน้านางรำพวกนี้ แต่บรรยากาศตรงนั้นก็ยังเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกกดดันลงมา
ถังซานสือลิ่วอยากให้เฉินฉางเซิงอารมณ์ดีขึ้นมา จึงแย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “อีกอย่างเจ้าไม่อยากวางตัวใหม่หรือ ไม่เห็นหรือว่าแม่นางน้อยทั้งหลายได้ยินที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้ว่าจะยอมแพ้ก็ตกตะลึงกันหมดแล้ว”
ซูม่ออวี๋ที่อยู่ด้านข้างส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “คำพูดนี้ไม่เหมาะ ไม่ว่าใต้เท้าสังฆราชจะถอดสัญญาหมั้นของพวกเขาทั้งสองคนหรือไม่ แต่ในเมื่อเฉินฉางเซิงยืนยันแล้วว่าจะไม่สานต่อการแต่งงานครั้งนี้ เช่นนั้นก็ไม่สามารถใช้คำว่าวางตัวใหม่แล้ว เรื่องเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ไม่เหมาะสม”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นอย่างหมดความสนใจ “พูดล้อเล่นก็เท่านั้น ตอนนี้สำนักฝึกหลวงมีเจ้าทึ่มอย่างพวกเจ้าสองคน เจ๋อซิ่วก็เป็นมือสังหารเลือดเย็น บวกกับเจ้าสมองกล้ามอย่างเซวียนหยวนผ้อ แม้แต่คู่สนทนาของข้าสักคนก็ไม่มี ช่างน่าสงสารจริงๆ”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาก็แย่งถ้วยของเฉินฉางเซิงบนโต๊ะมา แล้วเทน้ำชาที่อยู่ในถ้วยออก เปลี่ยนเป็นรินสุราร้อนแรงที่มาจากด่านตะวันตกแทน
เฉินฉางเซิงโบกมือแล้วพูดขึ้น “ข้าเคยพูดว่าข้าไม่ดื่มสุรา”
ซูม่ออวี๋ที่อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้น “อากาศเย็นหิมะตกหนัก รีบกลับกันเถอะ”
ถังซานสือลิ่วจนใจอย่างมาก จึงพูดขึ้น “ข้ากำลังช่วยเขาลดแรงกดดันนะ”
วันนี้ที่นกกระเรียนขาวบินร่อนลงมาที่ข้างทะเลสาบ สวีโหย่วหรงกลับจิงตู เฉินฉางเซิงก็ยิ่งนิ่งเงียบ แสดงให้เห็นว่าค่อนข้างจะมีเรื่องในใจ เขาถึงได้ตั้งใจจัดงานเลี้ยงในคืนนี้ขึ้นมา หวังว่าจะสามารถลดแรงกดดันของเฉินฉางเซิงไปได้บ้าง ใครจะคิดว่าหลังจากที่มาถึงหอสุรา เฉินฉางเซิงกับซูม่ออวี๋สุราก็ไม่ดื่ม ทั้งยังนั่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตอนที่มองดูนางรำร่ายรำแล้วปรบมือชื่นชมก็ทำอย่างจริงจัง แต่นี่เหมือนการออกมาเที่ยวเสียที่ไหนกัน…
มองดูนางรำที่ร่ายรำอยู่กลางห้องโถงไม่หยุดผู้นั้น อยู่ๆ เขาก็เผยรอยยิ้มออกมา ดูสง่างามน่าหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก มองจนดวงตาของนางรำที่อยู่ในอ้อมอกยิ่งเพิ่มความรักใคร่ขึ้นมา ก็เป็นเวลาเดียวกับที่เขากำลังแย้มยิ้ม นิ้วมือของเขางอลง แล้วก็ดีดถั่วที่อยู่ในจานเม็ดหนึ่งออกไป
ไร้ซึ่งสุ้มเสียง ถั่วเม็ดนั้นก็พุ่งเข้าไปที่หัวเข่าของนางรำ นางล้มลงมาไม่แรง เพียงแต่ตำแหน่งนั้นอ่อนไหวเกินไป นางรำวางเท้าได้ไม่มั่นคง ก็เลยเซล้มลงมาในอ้อมกอดของเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงรีบพยุงนาง แล้วถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “แม่นางไม่เป็นอะไรนะ”
นางรำนางนั้นก็เป็นคนที่เคยชินกับเรื่องชู้สาว ความรู้ก็กว้างขวาง ไหนเลยจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก่อนอื่นเลยก็มองถังซานสือลิ่วอย่างขุ่นเคืองแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็มองเฉินฉางเซิงอย่างอ่อนโยน แล้วพูดขึ้นเสียงเบาด้วยลมหายใจหอมราวดอกกล้วยไม้ “ดูเหมือนว่าข้าน้อยจะเมาเสียแล้ว”
เวลาเดียวกับที่พูด แขนทั้งสองข้างของนางก็คล้องไปที่คอของเฉินฉางเซิงอย่างเป็นธรรมชาติ คนทั้งตัวก็คร่อมอยู่ในอ้อมกอดของเขา
หยกงามอยู่ในอก เฉินฉางเซิงไม่รู้สึกเคลิบเคลิ้ม เพียงแค่รู้สึกไม่ค่อยชินกับอึดอัด
เขาเตรียมจะพยุงนางรำไปนั่งที่ด้านข้างอย่างมีมารยาท ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าไกลออกไปในค่ำคืนหิมะโปรยนี้มีใครกำลังมองมาที่เขา
ดวงตาคู่นั้น ดวงตา…ที่อาจจะไม่ได้มีอยู่และไม่ได้เย็นเยียบคู่นั้น กลับทำให้ส่วนลึกในใจของเขาเกิดความไม่สงบอย่างรุนแรง ดังนั้นนาทีถัดมา ในจิตใต้สำนึกอันบริสุทธิ์ กระทั่งเหมือนกับการตอบสนองตามสัญชาตญาณ เขาได้ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เขาเพียงแค่อยากจะแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้มีความคิดเกินเลยใดๆ กับนางรำ มือทั้งสองข้างก็ไม่ได้สัมผัสร่างของนาง แต่กลับคิดไม่ถึงว่า การกระทำเช่นนี้เมื่ออยู่ในสายตาของผู้อื่นแล้วจะดูน่าขบขันขนาดไหน
ในหอสุราเงียบลงไปก่อนครู่หนึ่ง หลังจากนั้นในห้องโถงใหญ่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา โดยเฉพาะถังซานสือลิ่วยิ่งหัวเราะเสียจนน้ำตาเกือบจะไหลออกมา
……
……
สวีโหย่วหรงยืนอยู่ที่ข้างหน้าต่าง มองดูภาพเหตุการณ์ในหอสุรา ในตอนที่นางรำผู้นั้นนั่งลงไปในอ้อมกอดของเฉินฉางเซิง ต่อให้เส้นทางแห่งจิตของนางจะมั่นคงสงบนิ่งสักแค่ไหน ก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นมา
แต่ในนาทีถัดมา เมื่อนางได้เห็นท่าทางชูมือทั้งสองข้างขึ้นสูงของเฉินฉางเซิง ได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังมาจากนอกกำแพงนั่น ก็เผยรอยยิ้มออกมา เพียงแต่นางพยายามฝืนเอาไว้ไม่ให้ส่งเสียงหัวเราะออกมา
ม่ออวี่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของนางทั้งหมด พลันพูดขึ้น “อยากหัวเราะก็หัวเราะสิ จะกลั้นไว้ทำไม”
สวีโหย่วหรงยังมองไปทางหอสุรา มองดูท่าทางลำบากใจของเฉินฉางเซิง เมื่อได้ยินคำพูดของม่ออวี่ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว พลันส่งเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
ม่ออวี่ถูกเสียงหัวเราะของนางทำเอาตกอกตกใจไป จึงกุมหน้าอกแล้วพูดขึ้น “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม ทำไมถึงได้หัวเราะเหมือนคุณป้าเช่นนี้…”
เสียงหัวเราะของสวีโหย่วหรงค่อนข้างจะผึ่งผาย หรือจะพูดว่าเสียงดังดี สรุปแล้ว เสียงหัวเราะของนางไม่เหมือนกับเด็กสาวอายุสิบหกปี แต่ยิ่งเหมือนกับคุณป้าที่ขายปาท่องโก๋น้ำเต้าหู้อยู่ที่ปากทางของตรอกไป๋ฮวาผู้นั้น หรือจะพูดให้ตรงกว่าก็คือ เหมือนคุณป้าที่เล่นไพ่นกกระจอกกับนางในเมืองเล็กๆ ผู้นั้น
สวีโหย่วหรงเขินอายอยู่บ้าง จึงแสร้งทำเป็นสงบแล้วพูดขึ้น “เจ้าดูเขาสิ ยังกับเจ้าโง่ก็ไม่ปาน”
ไหนเลยม่ออวี่จะคำนึงถึงเรื่องที่จะไปดูเฉินฉางเซิง เพียงแค่มองนางก็มองจนเหม่อไปแล้ว
นางจำได้อย่างชัดเจน ในปีนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับสวีโหย่วหรง สวีโหย่วหรงเพิ่งจะห้าขวบ ในตอนนั้นนางยังเป็นเด็กน้อยนางหนึ่ง แต่มักจะนั่งอยู่อย่างสงบ อ่านหนังสือแล้วก็บำเพ็ญเพียร ศักดิ์สิทธิ์สงบนิ่ง ราวกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวน้อย
เวลาไหนกันที่จะเคยเห็นนางมีท่าทางเช่นนี้
“เจ้าคงจะไม่ได้…ชอบคนผู้นั้นขึ้นมาจริงๆ หรอกนะ”
ม่ออวี่ตกตะลึง และก็กังวลเป็นอย่างมาก
……
……
งานเลี้ยงยามค่ำคืนในหอสุรา หลังจากเสียงหัวเราะในครั้งนี้ก็จบลง พวกเฉินฉางเซิงทั้งสามคนก็ปีนกำแพงกลับมาที่สำนักฝึกหลวง
เพิ่งจะเดินเข้ามาในอาคารหลังเล็ก ประตูของห้องที่อยู่ด้านข้างก็เปิดออก พวกเขามองเข้าไป ก็พบว่าเจ๋อซิ่วกำลังยืนพิงอยู่ตรงนั้น
“ในที่สุดวันนี้ก็มีอารมณ์ลุกขึ้นมาเดินแล้วหรือ” ถังซานสือลิ่วพูดล้อเลียนขึ้น
เจ๋อซิ่วไม่ได้สนใจเขา แต่มองไปทางเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น “นางเคยมาที่นี่”
“ใคร” เฉินฉางเซิงค่อนข้างจะไม่ค่อยเข้าใจ
“สวีโหย่วหรง”
เมื่อพูดชื่อนี้เสร็จ เจ๋อซิ่วก็ปิดประตูห้อง ดูท่าทางแล้วน่าจะกลับไปนอนต่อ
หลังจากที่ทั้งสามคนได้ยินชื่อนี้ก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก มองดูประตูห้องที่ปิดสนิท ก็รู้ว่าในคืนนี้ตนเองคงยากที่จะนอนให้หลับแล้ว
ถังซานสือลิ่วเดินกลับมาที่หน้าอาคารหลังเล็ก ขมวดคิ้วแล้วมองไปรอบด้าน หลังจากนั้นก็มองไปทางเฉินฉางเซิงอย่างรู้สึกผิดแล้วพูดขึ้น “เป็นไปได้ว่าจะเห็นที่พวกเราดื่มสุรากันเมื่อครู่ ขอโทษด้วย”
เฉินฉางเซิงกุมหน้าแล้วพูดขึ้น “ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ไปๆ เจ้าก็จะลากข้าให้ไปจนได้”
ถังซานสือลิ่วเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาก็ไม่พอใจขึ้นมา แล้วพูดขึ้น “เจ้าก็ไม่ได้จะแต่งกับนาง และก็ไม่เห็นว่านางจะอยากแต่งกับเจ้า เจ้าจะกลัวอะไรนาง”
ในตอนนี้เฉินฉางเซิงถึงได้สติขึ้นมา ในใจก็คิดว่าใช่แล้ว จึงรู้สึกขายหน้าท่าทางกุมหน้าของตนเมื่อครู่ว่าช่างน่าขายหน้านัก เขาจึงแสร้งทำเป็นสงบแล้วพูดขึ้น “ถูกแล้ว ต่อให้เห็นแล้วจะทำไม”
ถังซานสือลิ่วพูดล้อเลียนขึ้นมา “จะมาแสร้งทำเป็นผู้ชายอกสามศอกอะไร มีปัญญาก็เอามือวางบนร่างของสตรีให้ได้สิ”
“ข้ามีโรครักสะอาด” เฉินฉางเซิงมองเขากับซูม่ออวี๋แล้วตั้งใจอธิบาย “ข้าไม่ได้รังเกียจว่าพวกนางนั้นสกปรก เพียงแต่ในใจผ่านด่านนั้นไปไม่ได้”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นอย่างไม่พอใจนัก “แน่นอนว่าพวกข้ารู้ เจ้าไม่ได้รังเกียจว่าพวกนางสกปรก แต่เจ้ารังเกียจว่าทุกคนสกปรก”
ซูม่ออวี๋ที่นิ่งเงียบมาตลอด ในตอนนี้พลันถามขึ้นอย่างกะทันหัน “เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มาที่สำนักฝึกหลวงทำไม”
“ใช่สิ” ถังซานสือลิ่วไม่พูดถากถางต่อ เขามองเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง “นางโกรธมากหรือเปล่า ดังนั้นถึงได้แอบเข้ามา เตรียมที่จะใช้กระบี่แทงเจ้าให้ตาย”
ให้หลังเขาก็พูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “นั่นเป็นการวางแผนฆ่าสามีของตัวเองเลยจริงๆ”
คำพูดนี้ของเขาดูเหมือนจะไม่ได้ถากถาง แต่ที่จริงแล้วกลับถากถางมากยิ่งกว่าเดิม
ซูม่ออวี๋ดูเหมือนจะเฉลียวฉลาด ที่จริงแล้วก็ยังคงทึ่มอยู่ “เพิ่งจะพูดไป ในเมื่อสัญญาหมั้นไม่นับแล้ว เฉินฉางเซิงก็ไม่อาจจะมองเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เป็นคู่หมั้นได้ เช่นนั้นต่อให้นางมาเพื่อแทงเฉินฉางเซิงให้ตาย ก็ไม่นับว่าเป็นการฆ่าสามีของตน สามารถพูดได้เพียงว่าเป็นการฆ่าคนโดยเจตนา”
ที่จริงสัญญาหมั้นฉบับนั้น เฉินฉางเซิงได้ขอให้ใต้เท้าสังฆราชถอดถอนไปแล้ว แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง ตั้งแต่ต้นจนจบเขาถึงไม่ได้ประกาศเรื่องนี้ออกไป
ซูม่ออวี๋มองถังซานสือลิ่วแล้วพูดขึ้นต่ออย่างลึกซึ้ง “อีกทั้งอย่างไรเสียนางก็เป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เจ้าน่าจะเคารพนางสักหน่อย”
ถังซานสือลิ่วเลิกคิ้วพูดขึ้น “นอกจากต่อสู้เก่งกว่าข้า ข้าก็มองไม่ออกว่ามีเหตุผลอะไรที่จะต้องเคารพนาง”
ก็เป็นในตอนนี้เอง เสียงของเจ๋อซิ่วก็ดังออกมาจากภายในประตู
“ข้าเคารพสวีโหย่วหรงเป็นอย่างมากมาโดยตลอด ดังนั้นพวกเจ้าก็ควรจะเคารพนาง”
……
……
เรื่องราวได้พัฒนาไปไวกว่าที่คิดไว้มาก เช้าตรู่ของวันที่สอง ก็มีศิษย์จากกระทรวงสิบสามชิงเหย้ากับสถานศึกษาหนานซีมาเยือนสำนักฝึกหลวง
เมื่อคิดว่าสวีโหย่วหรงเคยเข้ามาก่อน กระทั่งเป็นไปได้ว่าเคยเข้าไปในห้องของตน เฉินฉางเซิงก็รู้สึกไม่ปกติอยู่บ้าง ขนาดที่เมื่อคืนก็นอนหลับไม่สนิทเท่าไหร่ ในตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าศิษย์ทั้งสามคนของกระทรวงสิบสามชิงเหย้ากับสถานศึกษาหนานซี ขอบตาก็ค่อนข้างดำคล้ำ มองดูแล้วมีความอ่อนแรงอยู่บ้าง ศิษย์พี่หญิงที่มาจากสถานศึกษาหนานซีผู้นั้นคิดถึงหอสุราที่เห็นตอนก่อนจะเข้าสำนักเหล่านั้น ก็เกิดการคาดเดาขึ้นมา สายตาที่มองเขาจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความดูถูกอยู่บ้าง
ศิษย์พี่หญิงจากกระทรวงสิบสามชิงเหย้าผู้นั้น เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วเคยเจอที่สวนโจวมาก่อน ก็นับว่ารู้จักกัน นางจึงยิ้มขึ้นมาอย่างค่อนข้างจะอึดอัด ไม่ได้พูดคุยอะไรก็ส่งจดหมายมาให้แล้ว
ตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนที่นิกายหลวงจัดการประลองระหว่างสำนักขึ้น สำนักฝึกหลวงก็ได้รับจดหมายประเภทนี้มานับไม่ถ้วน แต่ตอนที่เฉินฉางเซิงรับจดหมายฉบับนี้มา ก็ยังคงรู้สึกหนักหน่วงอยู่บ้าง
จดหมายก็คือสาสน์ท้าประลองที่เห็นได้ทั่วไป แต่คนนั้นกลับพิเศษอย่างมาก ซึ่งนั่นก็คือสวีโหย่วหรง
ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ล้วนรอคอยการต่อสู้ครั้งนี้ มันก็มาอย่างเด็ดขาดเช่นนี้แล้ว
เฉินฉางเซิงเปิดอ่านดูอย่างจริงจังรอบหนึ่ง ดูจากตัวอักษรแล้วน่าจะไม่ใช่ลายมือของสวีโหย่วหรง ในนั้นก็ไม่ได้มีเนื้อหาอะไรเป็นพิเศษ ที่สำคัญที่สุดก็คือวันเวลากับสถานที่
เวลาคือเจ็ดวันให้หลัง
สถานที่คือบนสะพานหน่ายเหอ