ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 66 ท่องเมฆา
ใครจะอยู่ใครจะตาย เมื่อได้ยินคำพูดของบัณฑิตวัยกลางคน ชายที่ดูเหมือนนักท่องเที่ยวก็เงียบไป จ้องมองเทือกเขาที่ห่างไกลเพื่อสงบจิตใจลง ครั้นเขามองดูทะเลเมฆ ก็แผ่ความรู้สึกเหมือนกับคนที่ผ่านเวลามาไม่น้อย เขากล่าวอย่างเรียบเฉย “ใต้เท้ากับฝ่าบาทไม่เหมือนกับเขา ดังนั้นตามเหตุผลแล้วเจ้าไม่ควรปรากฏตัวที่นี่”
บัณฑิตวัยกลางคนไม่ได้ตอบคำถามโดยตรงแต่กลับพูดว่า “เมื่อเห็นว่าเจ้าปรากฏตัวก็ยืนยันได้แล้วว่านี่ไม่ใช่แผนที่วางไว้”
ชายคนนั้นถาม “ด้วยเหตุผลใด”
บัณฑิตวัยกลางคนตอบ “หากเป็นแผนการที่เจ้าวางไว้ วันนี้เราคงพบกับปัญหาแล้ว อย่างน้อยก็เป็นปัญหายิ่งกว่าตอนนี้”
ชายคนนั้นตอบ “ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น เนื่องจากเขาอยู่ข้างฝ่าบาทเสมอ แล้วเขาจะมองแผนของข้าไม่ออกได้อย่างไร”
บัณฑิตวัยกลางคนส่ายหน้า “เขาไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจมาของเรา ดังนั้นครั้งนี้ เราจึงมาด้วยตัวเอง”
ชายคนนั้นรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ถามขึ้น “ฝ่าบาททำตามคำแนะนำของเขาเสมอ ทำไมคราวนี้ถึงไม่ทำ”
บัณฑิตวัยกลางคนเบนสายตาไปที่ภูเขาตรงข้ามหน้าผา หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็ตอบ “เวลาของเรากำลังจะหมดแล้ว”
ชายคนนั้นเห็นด้วย “เวลาของฝ่าบาทนั้นกำลังหมดแล้วจริงๆ”
เมื่อบัณฑิตวัยกลางคนพูดเรื่องเวลา ย่อมเป็นการพูดถึงช่วงเวลาที่กว้างกว่าคนปกติมากนัก ในอีกด้านหนึ่งเมื่อคนผู้นี้พูดถึงเวลา เขาได้ชี้ไปที่ค่ายกลหินสวรรค์ของหานซานที่กำลังทำงานอยู่ หากบัณฑิตวัยกลางคนไม่รีบจากไป เขาก็อาจจบลงด้วยการถูกยอดฝีมือจากโลกมนุษย์ล้อมเอาไว้
“เจ้าคิดจะถ่วงเวลาเราเอาไว้เช่นนั้นหรือ” บัณฑิตวัยกลางคนไม่ได้หันกลับไป น้ำเสียงยังคงเฉยชาแต่ก็มั่นใจและเปี่ยมอำนาจ
ชายคนนั้นทำท่าทางบอกให้ชายชราที่ตามมามาอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็มองไปยังหลังของบัณฑิตวัยกลางคนและกล่าว “ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ข้าไม่ได้สนใจเรื่องราวบนโลก ทั้งท่านกับเทียนไห่น้อยก็เกียจคร้านเกินจะส่งคนมาสังหารข้า ข้าจึงมีความสุขกับชีวิตเป็นอย่างมากและไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใด”
บัณฑิตวัยกลางคนหันกลับมาหาเขาและกล่าว “เจ้ากับเขาต่างก็เป็นคนที่จักรพรรดิผู้นี้หวังจะกำจัดให้เร็วที่สุดหากเป็นไปได้ การที่เจ้ามีชีวิตมาจนถึงวันนนี้ก็เพราะเจ้าฉลาดพอ แน่นอนว่าเจ้าเองก็แข็งแกร่งเช่นกัน หากเราหรือเทียนไห่อยากให้เจ้าตาย เราทั้งสองคงต้องพบกับปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
ชายผู้นั้นตอบ “ใช่แล้ว ในอีกไม่ช้าเทียนไห่กับอิ๋นจะมาและเจ้าก็จะพบกับปัญหา”
บัณฑิตวัยกลางคนตอบอย่างไม่แยแสว่า “พวกเขาจะไม่มา อย่างมากก็มีแค่ขยะอย่างจูลั่วที่จะมา”
ชายผู้นั้นพลันหันมามองเฉินฉางเซิงและถาม “เหตุใดฝ่าบาทต้องการจะสังหารผู้เยาว์คนนี้”
บัณฑิตวัยกลางคนยังมองไปที่ชายคนนั้นและกล่าว “เมื่อเราลงมือ เราต้องอธิบายให้เจ้าฟังด้วยหรือ เจ้าหาใช่จักรพรรดิเฉิน”
ชายผู้นั้นหัวเราะและกล่าว “ในตอนนั้นข้าเคยขอให้ฝ่าบาทบอกเหตุผล วันนี้ข้าก็ต้องถามฝ่าบาทถึงเหตุผล โปรดอย่าได้คิดว่าเป็นการล่วงเกิน”
ในคำพูดที่กล่าวนี้รวมถึงตลอดบทสนทนาที่ผ่านมาคำว่า ‘ฝ่าบาท’ ได้ถูกกล่าวมาหลายครั้งแต่ไม่ได้หมายถึงฝ่าบาทคนเดียวกัน
บัณฑิตวัยกลางคนเย้ย “ไม่แปลกเลยที่จักรพรรดิเฉินของเจ้าไม่เคยชอบเจ้าเลย”
ชายผู้นั้นตอบ “เรื่องเก่าเน่าเปื่อยพวกนี้จะขุดขึ้นมาพูดอีกทำไม ฝ่าบาท เวลาของท่านนั้นกำลังหมดลงแล้วจริงๆ”
บัณฑิตวัยกลางคนมองเขาอย่างสุขุมและถาม “เจ้าอยากจะช่วยชีวิตผู้เยาว์คนนี้เช่นนั้นหรือ”
ชายผู้นั้นยืนยัน “ถูกต้องแล้ว”
บัณฑิตวัยกลางคนถามด้วยสีหน้าเฉยเมย “แลกกับอะไร”
“แน่นอนว่า…เป็นเวลาของฝ่าบาท เวลาก็คือชีวิตของท่าน” ชายผู้นั้นชี้แจง
บัณฑิตวัยกลางคนตอบ “พันปีก่อนเจ้าบุกฝ่าปัญหามากมายนำกองทัพทหารม้าเดินทางพันลี้ผ่านทุ่งหิมะด้วยวัตถุประสงค์เดียวก็คือสังหารเรา…วันนี้นับว่ามีโอกาสดีกว่าตอนนั้นมาก เราไม่เข้าใจเหตุใดเจ้าจึงยอมสละโอกาสนี้เพียงเพื่อเด็กน้อยที่ไม่สำคัญคนหนึ่ง”
“หากเขาเป็นเพียงเด็กน้อยที่ไม่สำคัญคนหนึ่ง เหตุใดฝ่าบาทถึงได้เดินทางมาสังหารเขาด้วยตัวเองเล่า แม้ว่าข้าจะไม่ทราบสาเหตุ ข้าก็ยังบอกได้ว่าเขานั้นมีความสำคัญต่อมนุษยชาติอย่างแน่นอน”
ชายคนนั้นกล่าวต่อ “ชีวิตของผู้บำเพ็ญเพียรนั้นต้องสำคัญกว่าเขาเป็นธรรมดา แต่ปัญหาก็คือข้าไม่ใช่ใต้เท้าบนยอดเขาที่นั่งคำนวณโชคชะตา ข้าไม่เชื่อว่าการใช้ชีวิตของคนผู้นี้แลกกับชีวิตของฝ่าบาทนั้นเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง ในความเป็นจริงการจะกำหนดราคาให้กับสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั้นก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
บัณฑิตวัยกลางคนตอบ “แม้ว่าคำพูดนี้จะไร้สาระแต่ก็มีเหตุผลอยู่บ้าง”
คำพูดไร้สาระจะมีเหตุผลได้อย่างไร คนทั่วไปเช่นเฉินฉางเซิงกับชายชราขี้ขลาดด้านหลังชายผู้นั้นไม่อาจที่จะเข้าใจได้ แต่คนทั้งสองที่สนทนากันอยู่เข้าใจ
พวกเขาต่างก็เป็นคนที่โดดเด่นซึ่งมีชีวิตมายาวนาน ดังนั้นวิธีการที่พวกเขาทำเรื่องต่างๆ จึงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน คาดไม่ถึงว่าบัณฑิตวัยกลางคนจะหันกลับโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยและจากไปโดยไม่สนใจแต่อย่างไร เขาออกจากเมืองเสวี่ยเหล่ามายังหานซานเป็นการกระทำที่สำคัญและเสี่ยงมาก แต่กลับต้องกลับไปโดยไม่ได้รับประโยชน์ใดเลย เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากถึงเพียงไหน
แต่ไม่ว่าเรื่องนั้นจะยอมรับได้ยากสักเพียงใด ก็ยังต้องยอมรับเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว
บัณฑิตวัยกลางคนรู้ว่าสิ่งที่ชายผู้นั้นพูดถูกต้อง ทุกสิ่งที่ชายผู้นี้พูดและทำมาตลอดชีวิตนั้นดูเหมือนจะถูกต้องเสมอมา
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะจากไป
……
……
ครั้นมองดูร่างของบัณฑิตวัยกลางคนหายไปในหมอกมืดมิดและได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนครั่นจางหายไปจากระยะไกล หลังจากผ่านไปนานชายที่ดูเหมือนนักท่องเที่ยวผู้นั้นจึงยืนยันได้ว่าบัณฑิตวัยกลางคนได้จากไปไกลและไม่หันกลับมาอีก เขาถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนโศกเศร้าอย่างยิ่ง
“เขาสามารถทะลวงผ่านค่ายกลหินสวรรค์ของหานซานได้เช่นนั้นหรือ”
ชายชราที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังตลอดเวลากล้าที่จะยืนตรงขึ้นในที่สุด แต่ก็ยังหวาดกลัวอยู่บ้างและถามว่า “หากเขาไม่อาจทะลวงผ่านไปได้ เขาจะกลับมาหรือไม่”
ชายคนนั้นยิ้มและกล่าว “ความลับสวรรค์ยกย่องตนเองว่าสูงส่งเสมอมา การประเมินตัวเองสูงไปจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”
ชายชราเข้าใจความหมายของเขา เขาบอกว่าตราบใดที่บัณฑิตวัยกลางคนไม่ถูกรบกวน เขาก็จำเป็นต้องใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพื่อทะลวงผ่านค่ายกลและจากไป เขาอดสงสัยไม่ได้จึงถามขึ้น “หากเป็นเช่นนั้น หากใต้เท้าลงมือเมื่อครู่ ย่อมเป็นโอกาสอันดีที่จะสังหารเขา”
“พันปีก่อนไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจ สิ่งที่ต้องการมากที่สุดก็คือสังหารเขา แต่…สถานการณ์ในตอนนี้นั้นต่างไป”
“ต่างไปอย่างไร”
“เขาพ่ายแพ้ให้พี่ใหญ่ครั้งหนึ่งและเสียความเป็นผู้ไร้พ่ายไป เขายังชราแล้วอีกด้วย”
“แต่…ข้าก็ยังคิดว่ามันน่าเสียดาย”
“นอกจากนั้น หากเราต่อสู้กัน จะเกิดอะไรขึ้นกับหนุ่มน้อยผู้นั้น” ชายคนนั้นชี้ไปที่เฉินฉางเซิงในยามที่พูด
ชายชราหันไปทางเฉินฉางเซิงและกล่าวอย่างเย็นชาและดูถูก “ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าเด็กน้อยนี่ที่ทำให้มือเท้าของใต้เท้าถูกมัดเอาไว้”
ต่อหน้าบัณฑิตวัยกลางคน ชายชราสงบเงียบตลอดมา กับคนที่อยู่ด้านข้างเขา เขาก็ให้ความเคารพเป็นอย่างมาก ทว่าคำพูดและสีหน้าที่มีต่อเฉินฉางเซิงนั้นหยาบคายยิ่กนัก
หลังจากการสอบใหญ่ เมื่อมีท่าทีว่าเขาจะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดของสังฆราช ไม่มีใครในโลกกล้าปฏิบัติต่อเฉินฉางเซิงอย่างหยาบคายเช่นนี้ แม้แต่คู่ต่อสู้ของเขาก็ยังคงรักษาท่าทีที่เหมาะสมเอาไว้ มีทางเดียวที่จะอธิบายได้ก็คือ ชายชราผู้นี้พบเห็นคนที่ทรงพลังอำนาจมามากมาย ดังนั้นเขาจึงไม่หวั่นเกรงต่อฐานะของเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงไม่ตอบเพราะเขากำลังตกตะลึง ไม่อาจที่จะหาวิธีใดมาตอบกลับไปได้ ในความเป็นจริงเมื่อนักท่องเที่ยวผู้นี้พูดกับบัณฑิตวัยกลางคน เฉินฉางเซิงก็พบว่าตนเองนั้นพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว การที่สามารถทำให้บัณฑิตวัยกลางคนถอยไปได้ด้วยการพูดไม่กี่คำ จะหาคนที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้จากที่ไหนในโลกปัจจุบันนี้
เขารู้ว่าบัณฑิตวัยกลางคนเป็นใคร เมื่อได้ยินคำสนทนานั้น เขาก็พอจะเดาได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของนักท่องเที่ยวคนนี้คือใคร
เขาตกตะลึงเกินไปจนไม่กล้าปักใจเชื่อข้อสรุปของตนเอง
ชายผู้นั้นได้กล่าวกับบัณฑิตวัยกลางคนว่าพวกเขาไม่ควรจะพูดเรื่องเก่าเน่าเปื่อยอีกต่อไป…ไม่สิ เรื่องนั้นเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่ถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์! พวกเขาต่างก็เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่มีชื่ออยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ และบันทึกนั้นยังเขียนถึงพวกเขาเอาไว้อย่างมากมายที่สุดในตำแหน่งที่สำคัญที่สุด!
“สหายน้อย เหตุใดเขาจึงต้องการสังหารเจ้า”
ในตอนนี้ เสียงอ่อนโยนก็ดังก้องไปตามหน้าผา ปลุกเฉินฉางเซิงให้ตื่นขึ้นจากความตกตะลึง
เขาจ้องมองไปทางชายซึ่งเดินมาหาเขา ปากอ้าค้างไม่อาจพูดได้เป็นเวลานาน
ชายผู้นี้ดูหล่อเหลาสง่างาม คิ้วทั้งสองกระดำกระด่างจากลมฝนอยู่บ้าง ยามพูดริมฝีปากก็ดูเหมือนจะแผ่กลิ่นอายของตำรับตำรา เปี่ยมล้นด้วยปัญญาที่ยากจะบรรยายได้
เมื่อเฉินฉางเซิงจ้องมองดูหน้าของเขา ก็พบว่าตนเองไม่อาจคิดหาคำตอบได้ เขาได้แต่มองอย่างตกตะลึง แม้แต่มือที่กำกระบี่สั้นเอาไว้ก็ยังสั่นเทาเล็กน้อย
ทุกคนที่พลันเห็นตำนานซึ่งคิดว่าตายไปแล้วปรากฏขึ้นตรงหน้า ก็คงรู้สึกแบบเดียวกันนี้ นี่ไม่ต้องพูดถึงการที่คนในตำนานผู้นี้เป็นคนที่เขาชื่นชอบที่สุดให้ความเคารพมากที่สุด
เสียงของเขาสั่นเทาในยามที่กล่าว “ใต้เท้าคือ…”
ชายผู้นั้นยิ้มและส่ายหน้า สื่อว่าเขาไม่จำเป็นต้องถาม
“ไม่อาจกล่าวได้ มิเช่นนั้นเราอาจชักพาความโกรธเกรี้ยวของสวรรค์” ชายชราที่อยู่ด้านข้างกล่าวเตือน สีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดจริงจังไม่เหมือนกับว่ากำลังล้อเล่น
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ แต่เขาก็ปิดปากอย่างเชื่อฟังเกรงว่าหากเอ่ยอะไรออกไป เขาอาจเปิดเผยความลับสวรรค์และอาจนำปัญหาบางอย่างมาสู่คนผู้นี้ จากนั้นเขาก็ม้วนด้านหน้าของชุดยาวขึ้นหมอบลงตรงหน้าชายผู้นั้นและเตรียมทำความเคารพ
ชายคนนั้นไม่ยอมให้เขาคุกเข่าลง คว้าแขนของเขาเอาไว้และยิ้มอยู่เงียบๆ
สายตามองเห็นบางอย่างบนร่างกายของเฉินฉางเซิงและคิ้วก็เลิกขึ้นช้าๆ ราวกับเขาได้เห็นบางอย่างที่น่าสนใจมาก
สุดท้ายแล้วเขาก็ส่ายหน้า ถอนหายใจเบาๆ หันกลับแล้วเริ่มเดินออกไปจากหน้าผา
ชายชราก็เดินตามหลังเขาไป
เฉินฉางเซิงรีบตามไปแต่ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าชายผู้นั้นกับชายชราเดินตรงเข้าไปสู่เหวลึกนอกหน้าผา
ในเวลานี้ความมืดที่ปกคลุมหานซานก็ค่อยๆ จางลงเหมือนกับว่าหานซานกำลังจะได้พบกับรุ่งอรุณเป็นครั้งที่สอง
เมฆขาวจากที่ใดไม่ทราบลอยขึ้นมาจากลำธารด้านล่าง
ชายผู้นั้นกับชายชราเดินออกจากหน้าผาและตกลงไปบนเมฆ
เมฆขาวลอยไกลออกไปอย่างเนิบนาบ
ความหมายของการท่องเมฆา[1]เป็นเช่นนี้นี่เอง
……
……
ลมภูเขาค่อนข้างเย็นเมื่อแสงแดดเผยออกมาอีกครั้งหนึ่ง คาดเดาได้ว่าบัณฑิตวัยกลางคนได้ทะลวงผ่านค่ายกลหินสวรรค์และกลับไปทางเหนือแล้ว
เฉินฉางเซิงไม่ได้รู้สึกยินดีที่รอดชีวิตมาได้หรือแม้แต่คิดเรื่องนี้ด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่ยืนอยู่ตรงหน้าผาจ้องมองไปยังเมฆขาวเบื้องหน้าที่ค่อยๆ หายไปอย่างเหม่อลอย
ก่อนหน้านี้ หลังจากตื่นขึ้นจากความตะลึง เขาก็มีเรื่องมากมายที่ต้องการจะพูดกับชายที่เหมือนกับนักท่องเที่ยว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเวลา เขาอยากจะบอกว่า ‘ข้าได้ไปยังหอหลิงเยียน ได้เห็นรูปของใต้เท้าและยังได้อ่านบันทึกของใต้เท้า อีกทั้งยังนำหินสีดำที่ใต้เท้าทิ้งไว้ออกมา…’
เมื่อคิดแล้วเขาก็ลูบคลำกำไลลูกปัดหินและมองไปที่หินสีดำไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน หลังจากนั้นเขาก็ประสานมือและโค้งคำนับไปในทิศทางที่เมฆขาวหายไป แล้วก็หันกลับเดินไปตามหน้าผา ในทิศทางตรงกันข้ามกับทะเลเมฆ ทว่ายังไม่จะย่างก้าวที่สอง เขากลับทรุดลงกับพื้น
[1] โดยปกติ 云游 แปลว่า เที่ยวเตร่ แต่หากแปลแยกทีละอักษร จะได้ว่า ท่องเมฆา