ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 70 ปมปัญหาที่แท้จริง
“มีอะไรหรือ” ถังซานสือลิ่วถาม
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาอยู่ตรงหน้าผา เฉินฉางเซิงอยากจะยืนยันว่าชายที่ดูเหมือนนักท่องเที่ยวนี้ใช่หวังจื่อเช่อในตำนานหรือไม่ ชายคนนั้นเพียงแค่ยิ้มเงียบๆ และส่ายหน้า แต่ชายชราที่ตามมากล่าวเตือนอย่างจริงจังว่านี่เป็นความลับสวรรค์ที่ไม่อาจเผยออกไปโดยไม่เสี่ยงที่จะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์…
“เรื่องนี้…ดูเหมือนว่าข้าไม่ควรจะพูดออกไป”
เฉินฉางเซิงหันมาหาถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วและบอกด้วยความกังวล “พวกเจ้าอย่าได้บอกเรื่องนี้กับคนอื่นอีก”
ถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วสบตากันเป็นครั้งที่สามในวันนี้
ห้องตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง
เมื่อเวลาผ่านไปถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วก็พยักหน้า
เมื่อเห็นเช่นนั้นเฉินฉางเซิงก็ผ่อนคลาย เขารู้ดีว่าเพื่อนทั้งสองนั้นหากรับปากสิ่งใดแล้วก็จะต้องทำตามอย่างแน่นอน
“ชะตาของเจ้า…ดีทีเดียว”
เมื่อถังซานสือลิ่วกล่าว น้ำเสียงดูเหมือนจะเสียดายอย่างมาก ถึงกับมีกลิ่นอายของความอิจฉาที่แทบจะสัมผัสไม่ได้อยู่ด้วย เงินนั้นมีอำนาจมากและมีไม่กี่อย่างในโลกที่เขาไม่อาจทำได้ ดังนั้นเขาจึงแทบไม่เคยอิจฉาใคร อย่างไรก็ตาม โชคของเฉินฉางเซิงนั้นก็มากพอที่จะทำให้เขาอิจฉา
หวังจื่อเช่อผู้เป็นตำนานแท้จริงแล้วยังมีชีวิตอยู่และได้ปรากฏขึ้นในโลกอีกครั้งโดยมีเพียงเฉินฉางเซิงเท่านั้นที่ได้เห็น ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเกิดขึ้นในตอนที่ราชามารพยายามที่จะสังหารเขา ในตอนนั้น นอกจากคนอย่างหวังจื่อเช่อที่ปรากฏตัวอย่างแทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ยังมีใครอีกที่จะช่วยเขาได้
นับตั้งแต่เขาจากซีหนิงมาถึงจิงตู เฉินฉางเซิงได้ยินมาหลายครั้งว่าเขานั้นโชคดี แน่นอนว่าเขารู้ว่าตนเองนั้นโชคไม่ดี แต่เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้มาหลายครั้ง เขาก็อดคิดไม่ได้ในบางครั้งว่าบางทีโชคดีที่เขาได้พบเจอนั้นอาจเป็นการชดเชยของดวงดาวให้กับชะตาของเขา
ถังซานสือลิ่วรู้สึกสงสัยจึงถาม “ในเมื่อใต้เท้าหวังยังมีชีวิต ทำไมเขาถึงไม่ปรากฏตัวเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
เจ๋อซิ่วตอบกลับอย่างเรียบเฉยว่า “ทำไมเขาต้องปรากฏตัวด้วย”
ถังซานสือลิ่วย้อน “ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับเผ่ามารหรือเสริมความแข็งแกร่งให้กับต้าโจว…”
เขาหยุดพูดเมื่อเข้าใจความหมายในคำพูดของเจ๋อซิ่ว ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่หวังจื่อเช่อจะหายตัวไป แต่ทั่วทั้งต้าลู่รู้ว่าจักรพรรดินีเทียนไห่นั้นหาได้ชอบเขาสักเท่าไรนัก นอกจากนี้หากเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ราชสำนักต้าโจวจะทำอย่างไรกับเขา
สำหรับเรื่องการสู้กับเผ่ามาร…หวังจื่อเช่อได้ทำมามากเกินพอแล้ว ไม่มีใครในโลกมนุษย์ที่จะสามารถเรียกร้องให้เขาทำอะไรเพิ่มอีก
“ข้าหมดสติไปกี่วัน” ถึงตอนนี้เฉินฉางเซิงเพิ่งจะนึกได้ว่าต้องถามคำถามนี้
ถังซานสือลิ่วยังคงสับสนด้วยความตกใจจากเรื่องที่หวังจื่อเช่อยังมีชีวิต จึงไม่ได้ตอบคำถามของเขา
เจ๋อซิ่วกางนิ้วทั้งห้าออก เผยให้เห็นฝ่ามือทั้งหมด
กลายเป็นว่าเขาหมดสติไปนานถึงห้าวัน ในเวลาห้าวันนี้ใครจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนเขาหานซาน เฉินฉางเซิงถาม “มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่”
เจ๋อซิ่วคิดถึงคำถามนี้ ก็พบว่าจำเป็นต้องพูดมากมายเกินไป ดังนั้นเขาจึงส่ายหน้าและใช้มือตบหลังถังซานสือลิ่วเพื่อปลุกให้ตื่นจากภวังค์
ถังซานสือลิ่วพูดถึงสถานการณ์ตึงเครียดทั่วต้าลู่และรวมถึงบรรยากาศอึดอัดบนเขาหานซาน
“เช่นนั้นแล้ว…การประชุมใหญ่จู่สือยังดำเนินต่อไปหรือไม่”
“ด้วยฐานะของเหมาชิวอวี่กับราชันย์แห่งหลิงไห่ หากเจ้ายังหมดสติอยู่ พวกเขาจะนำเจ้ากลับไปยังจิงตูและการประชุมย่อมต้องจบลงเป็นธรรมดา แต่ตอนนี้เจ้าก็ฟื้นแล้ว”
“ทุกคนที่มาร่วมการประชุมใหญ่จู่สือมาถึงแล้วเช่นนั้นหรือ พวกเขาได้พบอันตรายอะไรหรือไม่”
ถังซานสือลิ่วมองดูเขาอย่างลึกซึ้งและกล่าว “ทุกคนที่ควรจะมาต่างก็มาถึงแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร”
เมื่อได้ยินข่าวว่าเฉินฉางเซิงฟื้นขึ้นมาแล้ว เหมาชิวอวี่กับราชันย์แห่งหลิงไห่ก็มายังบ้านเพื่อสอบถาม ครั้นยืนยันแล้วว่าเขาไม่เป็นไร พวกเขาก็ถอนคำร้องที่จะกลับไปจิงตู คนสำคัญของหอความลับสวรรค์ก็มาเยี่ยมเยือนเช่นกัน พวกเขามีท่าทีเคารพอย่างมาก อ่อนน้อมอย่างยิ่ง ถึงกับกล่าวว่าในอีกไม่กี่วันผู้เฒ่าความลับสวรรค์จะมาด้วยตัวเอง…
เฉินฉางเซิงค่อนข้างสับสน ต่อให้เขาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งสังฆราช ก็ไม่จำเป็นที่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์จะมาหาเขาด้วยตัวเอง นี่ยังไม่นับเรื่องที่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์เป็นถึงผู้นำของแปดมรสุม มีฐานะสูงถึงเพียงนั้น และเป็นไปไม่ได้ที่เมื่อราชามารทำลายค่ายกลออกไปเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วผู้เฒ่าความลับสวรรค์จะไม่ได้รับบาดเจ็บเลย
เมื่อเขาคิดถึงปัญหาเหล่านี้และคิดถึงปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย เวลาก็ผ่านไป กระทั่งถึงยามดึกดื่นค่อนคืน ทุกคนภายในและภายนอกบ้านหลังนี้ได้หลับกันแล้ว ในขณะที่คนจากนิกายหลวงและยอดฝีมือของหอความลับสวรรค์ยังคงเดินยามตรวจตราอย่างระแวดระวังอยู่ไม่ไกล ทุกอย่างเงียบสงบจนสามารถได้ยินเสียงน้ำในทะเลสาบกระทบหิน
ยามที่ฟื้นขึ้นมา เฉินฉางเซิงได้ถามถังซานสือลิ่วว่าทุกคนที่มาร่วมงานประชุมใหญ่จู่สือมาถึงหรือยังและได้รับอันตรายอันใดหรือไม่ เมื่อถังซานสือลิ่วตอบว่าทุกคนที่ควรมาก็มาหมดแล้ว คำพูดนี้ดูเหมือนจะมีความหมายลึกซึ้ง เพราะว่าเขารู้ดีว่าคนที่เฉินฉางเซิงต้องการถามถึงนั้นคือใคร
ทุกคนบนยอดเขาได้หลับแล้ว คนที่ควรมาก็ได้มาถึงแล้ว
หน้าต่างถูกผลักเปิดออก สายลมอบอุ่นจากทะเลสาบพัดเข้ามา นำมาพร้อมเงาร่างอันอ่อนช้อยงดงาม
ร่างนั้นลอยมาตามลมจนกระทั่งลอยมาถึงเตียงของเขา นั่งลงและถามเบาๆ “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เฉินฉางเซิงจ้องมองดวงตาที่เหมือนกับน้ำกระจ่างใสทั้งสองดวง เห็นความห่วงใยอย่างลึกล้ำในดวงตานาง และพลันพบว่าการได้รับบาดเจ็บนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากจะทนรับได้เสียทีเดียว
“ข้าสบายดี จริงๆ นะ”
ผู้มาย่อมเป็นสวีโหย่วหรง
ได้ยินเฉินฉางเซิงกล่าวว่าเขาสบายดีนั้นไม่ได้ทำให้นางรู้สึกโล่งใจ นางหลับตายกมือขวาขึ้น แตะลงบนอากาศตรงจุดที่อยู่ระหว่างคิ้วของเฉินฉางเซิง
แสงศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ลอยลงมาและไหลไปตามร่างกายของเฉินฉางเซิง
จำนวนคนที่สามารถใช้เคล็ดวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ได้จนถึงระดับนี้นั้นมีน้อยมาก นอกเหนือจากสังฆราชกับสามมุขนายกจากกระทรวงสิบสามชิงเหย้าแล้ว นางนับได้ว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าสายลมวสันต์โชยพัดมาสัมผัสร่าง ปราณแท้ไหลเวียนอย่างเป็นสุขไปตามเส้นลมปราณราวกลับน้ำในลำธารกลางวสันตฤดู อาการบาดเจ็บก็ค่อยๆ ฟื้นฟู
“ขอบคุณ”
“คนผู้นั้นเป็นใครกัน”
เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนก่อนได้ออกเดินทางไปกับซูหลี สถานศึกษาหนานซีจึงอยู่ภายใต้การนำของสวีโหย่วหรงผู้อ่อนเยาว์ ข่าวสารบางอย่างจึงไม่ค่อยจะแม่นยำนัก
“น่าจะเป็นราชามาร” เฉินฉางเซิงตอบ
ในห้องเงียบงันยิ่ง หลังจากผ่านไปนาน สวีโหย่วหรงก็ยื่นมือออกมาวางลงบนหลังมือของเฉินฉางเซิง กล่าวว่า “เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
เห็นได้ชัดว่านางไม่เคยปลอบโยนใครมาก่อน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการจับมือหรือว่าน้ำเสียงนั้นค่อนข้างจะกระอักกระอ่วนและเงอะงะไปบ้าง
นางไม่ได้ถามเฉินฉางเซิงว่าเขารอดมาได้อย่างไร แต่เฉินฉางเซิงก็ไม่คิดที่จะปิดบังนาง แม้ว่าเขาจะบอกกับถังซานสือลิ่วและเจ๋อซิ่วไปเมื่อตอนกลางวันว่าเรื่องนี้ไม่อาจบอกกับคนอื่นก็ตาม
“ข้าอาจได้พบกับใต้เท้าหวังจื่อเช่อ”
ได้ยินเช่นนั้น สวีโหย่วหรงก็ตกใจอย่างแท้จริง จากเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่และน่ากลัวที่บัณฑิตวัยกลางคนแสดงออกมาริมลำธาร ความแข็งแกร่งที่ไม่อาจเทียบได้ที่เขาได้แสดงออกมา การตอบสนองที่ยอดฝีมือในโลกมนุษย์มีต่อเขา นางก็คาดเดาได้นานแล้วว่าบัณฑิตวัยกลางคนนั้นต้องเป็นราชามาร นางเพียงต้องฟังจากปากของเฉินฉางเซิงเป็นการยืนยันเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยคิดว่าจะได้ยินข่าวที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินที่หวังจื่อเช่อยังไม่ตายจากเฉินฉางเซิง
สำหรับนางแล้ว ข่าวนี้น่าตกใจยิ่งกว่าการปรากฏตัวของราชามารเสียอีก
หวังจื่อเช่อมีความพิเศษในประวัติศาสตร์โลกมนุษย์ ในยามที่เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจได้ร่วมมือกันต่อสู้กับเผ่ามาร จักรพรรดิไท่จงได้เป็นผู้บัญชาการทัพ ในขณะที่หวังจื่อเช่อเป็นรองผู้บัญชาการ เขานำกองทัพพันธมิตรข้ามทุ่งหิมะเป็นระยะทางกว่าหมื่นลี้ด้วยตัวเอง ตะลุยไปจนถึงเมืองเสวี่ยเหล่า เพียงผลงานนี้อย่างเดียวเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดิไท่จงแม้เพียงนิดเดียว อาจเรียกได้ว่าเหนือกว่าด้วยซ้ำ หากไม่ใช่การกบฏที่สวนร้อยหญ้าและสาเหตุอันซับซ้อนอื่นๆ หากมิใช่เพราะจักรพรรดิไท่จงทั้งกลัวทั้งไม่พอใจเขา เขาคงได้ตำแหน่งแรกในหอหลิงเยียนไปอย่างแน่นอน
แม้ว่าข่าวนี้จะน่าตกใจอย่างมาก สวีโหย่วหรงก็ตื่นจากภวังค์ได้อย่างรวดเร็ว นางถาม “เหตุใดราชามารถึงได้มาสังหารเจ้า”
สำหรับถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่ว การที่เฉินฉางเซิงเอาชีวิตรอดจากราชามารมาได้อย่างไรนั้นสำคัญที่สุด และพวกเขาเชื่อว่านี่เป็นคำถามที่ทุกคนสนใจใคร่รู้ที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม สวีโหย่วหรงนั้นใจเย็นยิ่งกว่า มีสติยิ่งกว่า ดังนั้นนางจึงถามถึงปมปัญหาที่แท้จริงได้อย่างตรงไปตรงมา
……