ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 73 คำของผู้เฒ่าความลับสวรรค์
หลังจากตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมา ถังซานสือลิ่วมีถุงดำสองถุงใต้ดวงตา เดินไปหาเฉินฉางเซิง
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า” เฉินฉางเซิงรู้สึกเป็นห่วงสุขภาพเขาอย่างยิ่ง
ถังซานสือลิ่วตอบด้วยความอ่อนล้าอย่างยิ่ง “การดูต้นทางนั้นเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อยมาก ครั้งหน้าพวกเจ้าช่วยเข้านอนให้เร็วหน่อยได้ไหม”
ได้ยินเช่นนั้นเฉินฉางเซิงก็รู้สึกอับอายและรู้สึกผิดอยู่บ้าง กล่าวว่า “ก็แค่ไม่กี่วันเท่านั้น”
“แค่ไม่กี่วัน?” ถังซานสือลิ่วเสียงดังขึ้นตามความโกรธที่เพิ่มขึ้น “ในจิงตู เจ้าก็บอกว่าแค่ไม่กี่วัน แล้วตอนนี้ก็ยังบอกว่าไม่กี่วัน! บอกทีซิ ไม่กี่วันนี่มันกี่วันกันแน่ กี่วัน! เจ้าจะปิดบังเรื่องนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
เฉินฉางเซิงพูดอะไรไม่ออก
ถังซานสือลิ่วกล่าวกับเขาอย่างขมขื่นเกินทน “ถือว่าข้าขอร้องเจ้าให้รีบบอกเรื่องนี้ให้โลกรู้ การเก็บความลับนั้นช่างเจ็บปวดเหลือเกิน”
เฉินฉางเซิงกล่าวอย่างปลอบโยน “ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าในตอนนี้ แต่…”
ได้ยินคำว่า ‘เข้าใจ’ ถังซานสือลิ่วก็ฉุนกึกขึ้นมาทันที เขาตะโกน “อะไรนะ เข้าใจความรู้สึกของข้าเช่นนั้นหรือ ช่างหัวความเข้าใจของเจ้าสิ! ช่างหัวความรู้สึกของเจ้า! นี่มันเรื่องของเจ้าทั้งนั้น! ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าทั้งนั้น! เจ้าเป็นคนที่ได้ประโยชน์ทั้งหมด! หิมะในสำนักฝึกหลวง ลมบนยอดเขาหานซาน เป็นข้าที่ต้อนทนลำบาก! หากเจ้ามีความสามารถก็เอาพุทราเชื่อมนั่นมาให้ข้ากิน!”
ตอนแรกเฉินฉางเซิงรู้สึกอับอายอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินคำว่า ‘พุทราเชื่อม’ เขาก็ตื่นตัวขึ้นมาในทันที จ้องกลับไปแล้วถาม “เจ้าว่าอะไรนะ”
ถังซานสือลิ่วรู้ตัวว่าพลั้งปากไป แต่ไม่มีทางที่เขาจะยอมแพ้ง่ายๆ “อะไรกัน ข้าไม่สามารถหาประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ จากการช่วยดูต้นทางให้เจ้าอย่างนั้นหรือ”
เฉินฉางเซิงรู้สึกไร้หนทางขึ้นมา “เราไม่ได้คุยกันตั้งแต่แรกหรอกหรือ แอบฟังไม่สมควร แอบดูไม่สมควร”
ถังซานสือลิ่วรู้สึกตกใจก็กล่าว “เจ้าทำเรื่องไม่สมควรกับนางอย่างนั้นหรือ”
ในตอนนั้นเจ๋อซิ่วก็เดินเข้ามา เห็นท่าทีพร้อมสู้ของพวกเขาจึงถามขึ้น “พวกเจ้าจะสู้กันเหรอ”
“เปล่า” ถังซานสือลิ่วอาศัยบันไดนี้ลงจากเวที อธิบายว่า “ข้าเคยขอให้เขาช่วยตรวจดูว่าคนที่นับถืออยู่ไหน แต่ตอนนี้เขากลับปฏิเสธที่จะบอกข้า”
คนที่นับถือที่เขากล่าวก็คือหลิวชิง
หลังจากการออกเดินทางติดต่อกันของซูหลีและสตรีลึกลับ มือสังหารที่เคยรั้งอันดับสามของโลกก็กลายเป็นมือสังหารอันดับหนึ่งในรายชื่อมือสังหาร
แต่หัวหน้ามือสังหารก็ยังเป็นมือสังหาร นักฆ่าอันดับหนึ่งก็ยังเป็นนักฆ่า ไม่อาจเผยตัวต่อแสงสว่างได้
ดังเช่นที่เจ๋อซิ่วเคยพูดไว้ มือสังหารที่เข้าร่วมการประชุมใหญ่จู่สือก็เท่ากับมาหาที่ตาย
เฉินฉางเซิงเคยขอให้ผู้ดูแลของหอความลับสวรรค์ช่วยดูแลเรื่องนี้ให้ ทว่าไม่นานหลังจากผู้ดูแลรับปาก ราชามารก็ทำให้เขากลายเป็นหยดเลือดบนพื้นดิน
เมื่อคิดถึงการที่หลิวชิงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากราชามารและฐานะที่พิเศษเฉพาะของเขาแล้ว ทั้งสามก็อดเป็นห่วงไม่ได้
ภายในทะเลสาบสวรรค์มีเกาะอยู่เกาะหนึ่ง สวนบนเกาะอบอวลไปด้วยหมอกอุ่นที่ไม่เคยจางหายไป อยู่บนเกาะนั้นแม้ไม่เรียกว่าสบายแต่ก็ช่วยในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บจากวิชาที่เย็นเยียบของราชามาร สามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วในที่แห่งนี้
ในครั้งนี้ หลิวชิงอยู่บนเกาะนั้นรักษาอาการบาดเจ็บบนร่าง
เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเฉินฉางเซิงกับเพื่อน ยิ่งไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาขอร้องให้หอความลับสวรรค์ปล่อยเขา
อันดับมือสังหารนั้นเป็นประกาศของหอความลับสวรรค์ แต่น้อยคนนักที่จะคำนึงถึงความจริงเรื่องนี้
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าหลิวชิงและถาม “เมื่อซูหลีจากไปแล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป”
หลิวชิงไม่ใช่สมาชิกของหอความลับสวรรค์ แต่เขาก็ทำหลายเรื่องให้กับหอความลับสวรรค์
อันที่จริงแล้ว แม้แต่ซูหลีก็ยังทำบางอย่างให้กับหอความลับสวรรค์มาก่อน
หลิวชิงคิดทบทวนคำถามนี้ ในที่สุดก็ตอบ “หากใต้เท้าไม่คัดค้าน ข้าจะไปยังจิงตู”
“ไปทำอะไรที่จิงตู”
“ฆ่าเทียนไห่”
“เช่นนั้นข้าคัดค้าน”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์กล่าวอย่างสุขุม “จักรพรรดินีเป็นเพื่อนที่ดีของข้า และข้าก็ไม่อยากให้เจ้าไปตาย”
หลิวชิงตอบ “เช่นนั้นก็ไว้ค่อยว่ากันเรื่องนี้”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์พลันถามขึ้น “เฉินฉางเซิง…เป็นคนเช่นไรกัน”
หลิวชิงครุ่นคิดอย่างจริงจังเป็นเวลานานก่อนจะตอบในที่สุด “เขาเป็นคนดี”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกประหลาดใจกับคำตอบนี้
ไม่ว่าจะเป็นซูหลี หลิวชิงหรือตัวเขาเอง ไม่มีใครเรียกได้ว่าเป็นคนดี
ที่พวกเขารังเกียจที่สุดก็คือพวกที่เรียกว่าคนดี
แต่เมื่อหลิวชิงบอกว่าเฉินฉางเซิงเป็นคนดี เขาไม่เห็นความประชดเย้ยหยันบนใบหน้าของหลิวชิงแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ความจริงใจและนับถือเท่านั้น
คำตอบนี้สำคัญมาก อย่างน้อยก็สำหรับผู้เฒ่าความลับสวรรค์
“เมื่อสหายน้อยผู้นี้มีเมตตากับโลกใบนี้ ข้าก็ควรเป็นตัวแทนของโลกใบนี้ตอบแทนความเมตตาของเขา”
“ใต้เท้ามีความเมตตาตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“ครั้นย่างสู่ความตาย แม้แต่คำพูดก็ยังเมตตา อย่าว่าแต่เจตนาคน”
……
……
เรือลำหนึ่งลอยอยู่บนผิวทะเลสาบ แล่นฝ่าหมอกหนา ราวกับลอยผ่านแดนเซียน
เฉินฉางเซิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหมอกและน้ำบรรจุไว้ด้วยค่ายกลป้องกัน เมื่อเขาผ่านเกาะเล็กๆ ในทะเลสาบ ก็มองเห็นศิษย์ของหอความลับสวรรค์กำลังคำนับอยู่
ใช้เวลาไม่นานเขาก็มาถึงเกาะที่อยู่ตรงกลางทะเลสาบ ที่แห่งนี้ยังเป็นที่ซึ่งอบอุ่นที่สุดในเทือกเขาอันหนาวเย็นนี้ อาจเรียกได้ว่าร้อนระอุด้วยซ้ำ
เมื่อเขาเดินไปตามหมอกอบอุ่นเหยียบลงบนก้อนหินลื่น คำถามมากมายก็ผุดขึ้นในหัวเขา เหตุใดผู้เฒ่าความลับสวรรค์ถึงได้รีบร้อนอยากพบเขา ยิ่งเขาเพิ่งฟื้นจากการหมดสติเช่นนี้แล้วด้วย ตัวผู้เฒ่าความลับสวรรค์เองก็น่าจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ในขณะที่เขาคิดถึงคำถามเหล่านี้ เขาก็ค่อยๆ ลืมความร้อนรอบกายไป
เมื่อมาถึงสวนและได้เห็นผู้เฒ่าความลับสวรรค์ เขาก็เข้าใจเรื่องบางอย่างได้ในที่สุด แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้รับคำตอบ เขาก็มีเบาะแส ฤดูร้อนปีก่อนหอความลับสวรรค์ได้ส่งผู้ดูแลชรามายังสำนักฝึกหลวงเพื่อตรวจดูกระบี่ไร้ราคี กลายเป็นว่าผู้ดูแลชราผู้นั้นกลับเป็นตัวผู้เฒ่าความลับสวรรค์เอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ย่อมไม่ได้มาเพื่อตรวจดูกระบี่แต่มาเพื่อดูคน มาเพื่อดูเขา
ผู้ดูแลที่รับหน้าที่นำทางเฉินฉางเซิงเชิญเขาเข้าไปอย่างเคารพนบนอบ จากนั้นก็ถอยไปอย่างเงียบงัน
เฉินฉางเซิงนั่งลงเงียบๆ ราวกับผู้เยาว์ที่เชื่อฟัง
หากเป็นเมื่อสองปีก่อน เขาคงไม่อาจรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้ต่อหน้าคนสำคัญเช่นผู้เฒ่าความลับสวรรค์ได้
แต่ในตอนนี้ เขาเคยพบเจอบุคคลในตำนานมามากมาย แม้แต่ตำนานอย่างราชามารกับหวังจื่อเช่อก็เจอมาแล้ว
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์สังเกตเห็นว่าเฉินฉางเซิงถึงแม้จะเดินผ่านหมอกร้อนมาแต่คอเสื้อก็ยังชิดกับคอเสื้อผ้ายังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย เขาพอใจทีเดียว
“ข้าพบผู้กล้ามามากมายนับไม่ถ้วน แต่เจ้าก็ไม่ด้อยไปกว่าคนพวกนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว”
ไม่มีการพูดหยอกล้อหรือพยายามหยั่งเชิงอีกฝ่าย คนสำคัญผู้นี้ ซึ่งเป็นชายที่มีอายุมากที่สุดในต้าลู่ยุคปัจจุบันได้เริ่มบทสนทนาขึ้น ผู้เฒ่าความลับสวรรค์มองดูเฉินฉางเซิงและกล่าว “ข้าได้เห็นภูเขามามาก ภูเขาที่ข้าชอบมากที่สุดก็ยังเป็นเขาหลางหยาที่ตงไห่ และมันยังเป็นรางวัลที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มอบให้ข้าหลังจากเดินทางไปพบเจ้าที่จิงตู”
ถึงตอนนี้เฉินฉางเซิงจึงตระหนักได้ว่ามีการแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นเบื้องหลังเรื่องนี้และนั่นทำให้เขาตกตะลึง
เป็นที่รู้กันไปทั่วโลกว่าผู้เฒ่าความลับสวรรค์มีความฉลาดปราดเปรื่องเกินจินตนาการและมีการบำเพ็ญเพียรที่สะท้านฟ้าดิน ในสายตาของคนจำนวนมาก หากมีคนที่สามารถมองทะลุดวงชะตา คนผู้นั้นต้องเป็นผู้เฒ่าความลับสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้เชิญผู้เฒ่าความลับสวรรค์มาดูเขาและจ่ายด้วยเขาทั้งลูก แต่ราคานี้ก็ไม่นับว่ามากเกินไป
เขาย่อมอยากรู้ว่าผู้เฒ่าความลับสวรรค์มองเห็นความลับใดในตัวเขา ณ ตอนนั้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะเป็นว่าที่สังฆราช ต่อหน้าผู้เฒ่าความลับสวรรค์เขาก็ยังเป็นเพียงแค่ผู้เยาว์ และจังหวะการสนทนาย่อมไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา เขามีคำถามมากมายอยากถามผู้อาวุโสคนนี้ แต่ผู้อาวุโสก็มีคำถามมากมายจะถามเขาเช่นเดียวกัน
“ในเมื่อราชามารไม่ยอมจากไปในตอนแรก เหตุใดเขาถึงมาจากไปในตอนหลัง” ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ถาม
หลังจากเฉินฉางเซิงฟื้นขึ้นมา คำถามนี้ก็ทำให้ถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วเป็นห่วงที่สุด เพราะการที่เขารอดมาได้นั้นเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง
ต่อให้ผู้เฒ่าความลับสวรรค์สามารถคำนวณโลกนี้ได้ ก็ไม่อาจคำนวณว่าเฉินฉางเซิงรอดชีวิตมาได้อย่างไร
นั่นเป็นเพราะเขาไม่อาจคำนวณได้ว่าหวังจื่อเช่อยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งยังมาปรากฏตัวขึ้นที่หานซาน ปรากฏกายขึ้นที่หน้าผาแห่งนั้น
เฉินฉางเซิงได้รับปากชายชราคนนั้นว่าจะไม่เผยเรื่องนี้ให้คนอื่นทราบ ถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วนั้นเป็นอุบัติเหตุ สวีโหย่วหรงนับเป็นข้อยกเว้น
แม้ว่าผู้เฒ่าความลับสวรรค์จะเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้อาวุโสกว่าเขาหลายรุ่น แต่ก็ไม่ใช่อุบัติเหตุหรือข้อยกเว้น ดังนั้นเฉินฉางเซิงจึงไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่ส่ายหน้า
นี่เป็นท่าทีที่ตรงไปตรงมา ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ก็ไม่โกรธ เขามองดูเฉินฉางเซิงอย่างใช้ความคิด ดวงตาสงบเยือกเย็นมีความรับรู้อย่างน่าเหลือเชื่อ ราวกับจะมองทะลุได้ทุกความลับ “หากเจ้าไม่อยากพูดว่ารอดชีวิตมาได้อย่างไร ก็บอกทีว่าทำไมราชามารถถึงอยากจะสังหารเจ้า”
เฉินฉางเซิงคิดในใจ ราชามารไม่ได้มาสังหารข้าสักหน่อย จากนั้นเขาจึงส่ายหน้าอีกครั้ง
นี่ก็เป็นท่าทีที่ตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง เขาไม่ต้องการจะพูดคุยเรื่องพวกนี้เพราะมันเกี่ยวข้องกับความลับและความกลัวที่สุดของเขา
“บางทีเจ้าอาจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น เมื่อราชามารกลับไปยังเมืองเสวี่ยเหล่า เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนแล้ว”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์หยุดแค่นั้น ราวกับจะให้เวลาเขาได้ซึมซับข้อมูลอันน่าตกใจนี้
เฉินฉางเซิงตกใจอย่างแท้จริง ราชามารบาดเจ็บหนักเช่นนั้นหรือ เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขาทะลวงผ่านค่ายกลหินสวรรค์ของหานซานกันแน่
“เขาได้พบกับจักรพรรดิขาว”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ไม่ได้ให้เวลาเขาคิดมากนักและกล่าวต่อในทันที “หรือหากจะพูดให้ชัดเจนขึ้น จักรพรรดิขาวได้รอเขาอยู่ที่ทุ่งหิมะมาตลอดเวลา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวใจของเฉินฉางเซิงก็ตกวูบลง แม้อยู่ในสวนกลางเกาะซึ่งได้รับความอบอุ่นจากน้ำพุร้อน เขาก็ยังรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา
“ดูเหมือนว่าการที่ราชามารออกจากเมืองเสวี่ยเหล่าและมายังหานซานเพื่อสังหารเจ้านั้นอยู่ในการคิดคำนวณของใครบางคน เขา…ตกหลุมพรางเข้าแล้ว”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์มองดวงตาของเฉินฉางเซิงแล้วกล่าว “แต่ข้าไม่รู้เรื่องหลุมพรางนี้ จักรพรรดินีเองก็ไม่รู้เช่นกัน แล้วเจ้ารู้หรือไม่”
เฉินฉางเซิงสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ ส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินคำถามนี้
ระหว่างการสนทนานี้ เขาส่ายหน้าสามครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างไปจากสองครั้งก่อน เขารู้สึกสิ้นหวัง ไม่สบายใจ ไม่อยากที่จะคิดอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ผู้เฒ่าความลับสวรรค์มองเข้าไปในตาเขาและกล่าวต่อ
“ในเมื่อเป็นหลุมพราง คนที่ขุดหลุมพรางย่อมรู้ว่ามีบางอย่างบนร่างของเจ้าที่ราชามารต้องการ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงใหญ่หลวงก็ต้องชิงมา อะไรกันที่อยู่บนร่างของเจ้า มีคนกี่คนบนโลกที่รู้เรื่องนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องตอบ แต่ข้าแนะนำให้เจ้าคิดให้รอบคอบ”
เฉินฉางเซิงก้มหน้า ไม่ได้พูดอะไรอยู่เป็นเวลานาน
……