ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 79 เมื่อเขาตัดสินใจทะลวงผ่าน เพื่อนเก่าก็มาถึง
ในตอนที่นางเจ็บหนักในสวนโจว สวีโหย่วหรงก็เคยพิงไหล่เฉินฉางเซิง หลังจากนั้นนางก็ไม่ทำตัวใกล้ชิดกับเขาอีก แม้แต่ในคืนหิมะโปรยที่จิงตู
ตอนนี้นางพิงไหล่เขาอย่างแท้จริง ทิ้งน้ำหนักตัวของนางบนไหล่ของเขา
สิ่งที่ถูกส่งถ่ายมาถึงเขา นอกจากความอบอุ่นของหญิงสาวก็ยังมีความสบายและความอารี
เฉินฉางเซิงน้อมรับมาและไม่รู้สึกเศร้าใจอีกต่อไป กล่าวว่า “วางใจเถอะ ข้าไม่เป็นไร”
สวีโหย่วหรงกล่าวเสียงแผ่วเบา “แต่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์คิดเช่นนั้น จักรพรรดินีย่อมต้องคิดไปในทางเดียวกันอย่างแน่นอน”
เฉินฉางเซิงไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวตอบ “ข้าไม่อาจห้ามคนอื่นไม่ให้คิดอะไรตามใจได้”
สวีโหย่วหรงรู้ว่าไม่อาจทำอะไรได้ในเรื่องนี้ นางเองก็ไร้กำลังที่จะห้ามจักรพรรดินีไม่ให้คิดอะไรตามใจเช่นกัน
ดังเช่นที่เฉินฉางเซิงกล่าวในคืนนั้น จักรพรรดินีไม่เคยเป็นคนดีตามสามัญสำนึกทั่วไป จึงยากที่จะพิจารณานางด้วยคุณธรรมความดีทั่วไปได้
“มีข่าวลือว่าเมื่อจักรพรรดิไท่จงขับไล่จักรพรรดินีเข้าสวนร้อยหญ้า นางก็เริ่มรู้จักกับอาจารย์ของข้าและใต้เท้าสังฆราช ถึงได้เรียนรู้วิธีที่จะต่อต้านสวรรค์เปลี่ยนชะตา…หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็คงมีสายสัมพันธ์เชื่อมั่นในตัวอีกฝ่าย ช่วยเหลือพึ่งพากันฝ่าฟันอุปสรรค ไหนเลย…ถึงได้เปลี่ยนมาเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้ากันได้อีกต่อไป”
“เกิดอะไรขึ้นก่อนเหตุการณ์เลือดล้างสำนักฝึกหลวง ไม่มีใครรู้ แต่ข้าได้ยินข่าวลือว่าจักรพรรดินีได้ทำข้อตกลงกับเจ้าสำนักซาง หลังจากนั้นจักรพรรดินีไม่ได้ทำตามคำสัญญา ทั้งสองจึงได้กลายมาเป็นศัตรูกัน”
“ข้อตกลงนั้น…น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตำแหน่งจักรพรรดิ”
“คงจะเป็นเช่นนั้น”
“เหตุใดจักรพรรดินีไม่ต้องการที่จะคืนตำแหน่งจักรพรรดิให้กับเชื้อพระวงศ์”
“ข้าได้ถามนางเช่นนี้เมื่อหลายปีก่อน จักรพรรดินีตอบว่าเพราะไม่มีเชื้อพระวงศ์เฉินคนไหนที่แบกรับภาระหน้าที่จักรพรรดิได้”
“เชื้อพระวงศ์หลายร้อยคนกระจายอยู่ตามแว่นแคว้นต่างๆ จะไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถแบกรับภาระหน้าที่ต่อบ้านเมืองได้เลยหรือ”
เฉินฉางเซิงไม่ได้ถามออกไปจนหมด
สวีโหย่วหรงเข้าใจความหมายของเขา “ไม่มี”
เฉินฉางเซิงกล่าว “ข้าได้ยินว่าเซียงอ๋องผู้มีสายเลือดเดียวกับเฉินหลิวอ๋องนั้นมีชื่อเสียงดีทีเดียว”
“นั่นเป็นแค่ชื่อเสียงภายนอกเท่านั้น” เมื่อพูดเรื่องเซียงอ๋อง ความดูถูกก็ปรากฏขึ้นบนคิ้วของสวีโหย่วหรง “ในความเป็นจริง อ๋องผู้นี้มักมากในกามและไร้ยางอายนับตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขานั้นเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียร วงตะวันของเขาบรรลุความสำเร็จขั้นสูงตั้งแต่อายุแค่สิบขวบ แต่ทว่าด้วยนิสัยของเขาเช่นนั้น เขาไม่มีหวังที่จะเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ในชาตินี้”
“การเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นสำคัญมากต่อการสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิเช่นนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว สำคัญอย่างที่สุด”
“ทำไม”
“หากต้องการจะเป็นผู้นำของมนุษยชาติ สิ่งแรกที่ต้องมีไม่ใช่คุณธรรมแต่เป็นความแข็งแกร่ง”
……
……
การจะเป็นผู้นำของมนุษยชาติ ความแข็งแกร่งนั้นจำเป็นอย่างมาก
นี่ไม่ยากที่จะเข้าใจได้ เผ่ามารอยู่ทางตอนเหนือ เจตจำนงชั่วร้ายไม่เคยหายไป ความสงบที่มีอาจถูกทำลาย โลกนี้อาจตกเข้าสู่ไฟสงครามไม่รู้จบได้ทุกขณะ
ด้วยเหตุที่คล้ายคลึงกัน หากอยากจะมีชีวิตที่ดี หลีกเลี่ยงความไม่สบายใจและหวาดกลัว ก็จำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งให้มากขึ้น
สิ่งภายนอกทำได้เพียงแค่ช่วยปรับอารมณ์ เสริมความมั่นใจ ทว่าไม่อาจแก้ไขปัญหาพื้นฐานได้
มิตรภาพและความรักนั้นงดงาม และในบางโอกาสก็สามารถช่วยชีวิตหรือวิญญาณของคนได้ ทว่าความแข็งแกร่งของตัวเองก็ยังเป็นสิ่งที่พึ่งพิงได้มากกว่า
ตั้งแต่เข้าสู่เขาหานซาน เผชิญหน้ากับราชามาร ได้รู้ความลับมากมายจากผู้เฒ่าความลับสวรรค์ เฉินฉางเซิงต้องเผชิญกับแรงกดดันเกินจินตนาการ ถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง
เขาต้องก้าวหน้าขึ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยที่สุด เขาก็ไม่อาจเป็นเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับราชามารบนเส้นทางภูเขา ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะตอบโต้ ไม่ว่าเขาจะมีของวิเศษในครอบครองมากมายเพียงไร เขาก็ไม่อาจใช้มันได้อย่างเต็มกำลัง และทำได้แค่รอความตาย
เขาตัดสินใจว่าระหว่างการประชุมใหญ่จู่สือ เขาจะหาโอกาสที่จะทะลวงผ่านสู่ขั้นรวบรวมดวงดาว
ย้อนกลับไปตอนที่เขาได้รับร่มกระดาษทองจากผู้อาวุโสถังในเมืองเวิ่นสุ่ย เขาเพิ่งอยู่ระดับทะลวงอเวจีขั้นสูง แต่ก็สามารถที่จะต้านรับการโจมตีเต็มกำลังของผู้บำเพ็ญเพียรระดับรวบรวมดวงดาวขั้นสูงได้ หากเขาสามารถทะลวงผ่านเข้าสู่ระดับรวบรวมดวงดาว เมื่ออยู่ต่อหน้าราชามาร…กับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ร่มกระดาษทองอาจช่วยให้เขามีชีวิตต่อไปอีกครู่หนึ่ง
เวลาครู่หนึ่งนี้อาจไม่นานนัก อาจยาวเพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น แต่สำหรับเขา เวลานี้ก็สำคัญอย่างที่สุด
เพราะนอกจากร่มกระดาษทองแล้ว เขายังมีหมื่นกระบี่ในซ่อนคม แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่เปลี่ยนเป็นลูกปัดหิน ที่สำคัญก็คือเขามีสวนโจว
หลังจากเขาทะลวงผ่านสู่ระดับรวบรวมดวงดาว แม้แต่คนแข็งแกร่งอย่างราชามารหรือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็คงยากที่จะตัดการเชื่อมต่อของเขากับมิตินั้น
เช่นนั้นแล้วหากเขาสู้ต่อได้แม้เป็นเวลาสั้นๆ เขาก็สามารถหนีเข้าสู่สวนโจวได้
นี่คือความจำเป็นและแรงกดดันจากภายนอก
การที่เขาตัดสินใจจะทะลวงเข้าสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวนั้นเป็นเรื่องจากภายในจิตใจเสียมากกว่า
มีแต่แข็งแกร่งขึ้นเขาจึงจะสงบลงเมื่อเผชิญหน้ากับเส้นทางที่เลื่อนลอยไม่ชัดเจนตรงหน้า
แรงกดดันทางจิตใจทั้งจากภายในและภายนอกนั้นชัดเจนและรุนแรง
ส่วนคำพูดของผู้เฒ่าความลับสวรรค์ที่บอกเขาในสวนนั้น เขาจงใจลืมมันไปนานแล้ว
หากเขาเลิกบำเพ็ญและสลายปราณแท้ทั้งหมดในกาย เขาสามารถชะลอการเสียหายของเส้นลมปราณพิการได้ระยะเวลาหนึ่ง แล้วระยะเวลาหนึ่งนั้นนานเพียงใด หนึ่งปี? สองปี? ยี่สิบปีกับยี่สิบสองปีจะแตกต่างกันอย่างไร
ที่สำคัญต่อให้เขาต้องการดิ้นรนหนีความตายไปเช่นนั้น ก็เท่ากับเขาทิ้งทุกอย่างเพียงเพื่อมีชีวิตอยู่
……
……
หลังจากตัดสินใจได้ เฉินฉางเซิงก็ใช้อำนาจจิตที่เกินจินตนาการของเขาขับไล่ความกดดันที่น่ากลัวและคืนสู่ท่าทีปกติ
แต่สวีโหย่วหรง ถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุด ยังไม่อาจวางใจได้ ถึงขนาดเป็นห่วงขึ้นมา
เพราะความสงบเช่นนี้ออกจะไร้เหตุผล มันสงบจนน่ากลัวดังเช่นทะเลก่อนพายุ
พายุไม่ได้พัดมา แต่ผู้เข้าร่วมการประชุมใหญ่จู่สือได้มาถึงอย่างต่อเนื่อง
ตามเหตุผลแล้ว เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มาเข้าร่วมการประชุมใหญ่จู่สือควรมาถึงหลายวันก่อนแล้ว แต่เพราะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ค่ายกลหินสวรรค์ได้ปิดผนึกหานซานเอาไว้ระยะเวลาหนึ่ง ส่งผลให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่โชคไม่ดีหรืออาจจะโชคดีอย่างที่สุดเหล่านี้ ถูกกันไว้นอกหานซานอยู่ระยะเวลาหนึ่ง
ด้วยสถานะของเฉินฉางเซิงในปัจจุบัน เขาย่อมไม่ต้องไปต้อนรับใคร เขาอยู่ในห้องเพื่อพักฟื้น เตรียมที่จะทะลวงสู่ระดับขั้นต่อไป เป็นธรรมดาที่ผู้อื่นจะไปหาข่าวมารายงานเขา
จงฮุ่ยเดินนำอาจารย์สองคนที่ถูกส่งมาจากสำนักต้นไหว ที่ทำให้เฉินฉางเซิงรู้สึกเสียดายก็คือหวังผ้อไม่ได้มาอย่างที่คิดไว้จริงๆ ดูเหมือนว่าหินสวรรค์ของหานซานไม่อาจมอบการหยั่งรู้ให้แก่ยอดฝีมือระดับเขาได้
คนจากสำนักกระบี่หลีซานก็มาถึงแล้ว ชิวซานจวินที่ไม่ปรากฏตัวกายต่อสาธารณชนมาระยะหนึ่งก็ไม่ได้เข้าร่วมเช่นกัน ด้วยเหตุบางอย่างเฉินฉางเซิงรู้สึกโล่งอก เขาเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำตัวอย่างไรเมื่อเห็นสวีโหย่วหรงคุยกับบุตรแห่งสวรรค์
คนจากหลีซานที่มาก็ล้วนเป็นเพื่อนเก่าหรือคนรู้จัก
โก่วหานสือ กวนเฟยไป๋และเหลียงปั้นหูล้วนมาแล้ว
เมื่อได้ยินข่าวนี้ เฉินฉางเซิงก็รู้สึกยินดี “เฉกเช่นงานชุมนุมไม้เลื้อยหรือการสอบใหญ่เมื่อสองปีก่อน ล้วนเป็นคนเดิมๆ”
เจ๋อซิ่วตอบ “ขาดไปคนหนึ่ง”
เฉินฉางเซิงมองกลับไปอย่างเหม่อลอยและพบว่าใบหน้าของเจ๋อซิ่วนั้นออกจะเย็นเยียบทีเดียว เขาตระหนักว่าชีเจียนไม่ปรากฏตัว…
ถังซานสือลิ่วตบไหล่เจ๋อซิ่วเพื่อปลอบโยนเขา
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ที่ริมระเบียง มองภาพความตื่นเต้นที่อยู่ไกลออกไปและได้ยินเสียงไม่ชัดเจนของกวนเฟยไป๋ เขาอยากจะไปหาแต่ไม่อาจไปได้ ยังคงเป็นคำเดิม สถานะของเขาในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ด้วยฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งสังฆราช ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสจากค่ายพรรคสำนักใดหรือผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์อย่างเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ ก็ไม่สะดวกนักที่เขาจะเป็นฝ่ายไปพบพวกเขาก่อน
“ไม่มีอะไร โก่วหานสือทำตัวถูกต้องเสมอมา เขาย่อมมาพบเจ้าในทันที”
ถังซานสือลิ่วกล่าว จากนั้นก็มองไปที่เจ๋อซิ่วและเตือน “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกอย่างไร และก็ไม่เคยชอบคนพวกนั้น แต่ในช่วงนี้เจ้าช่วยไม่ทำหน้าไม่รับแขกสักหน่อยได้หรือไม่ สุดท้ายแล้วเราก็เป็นตัวแทนของสำนักฝึกหลวง ดังนั้นเราต้องรักษาหน้าของเฉินฉางเซิง”
เป็นดั่งที่ถังซานสือลิ่วกล่าวไว้ เมื่อโก่วหานสือกับพวกจากสำนักหลีซานได้รับการต้อนรับเข้าสู่ทะเลสาบจากหอความลับสวรรค์แล้ว พวกเขาก็ไม่พักผ่อน เพียงแค่ล้างหน้าล้างตาและเดินทางมาพบในทันที
เช่นเดียวกับถังซานสือลิ่วคาดไว้ สีหน้าของเจ๋อซิ่วนั้นน่าเกลียดอย่างมาก
สีหน้ากวนเฟยไป๋ก็น่าเกลียดอย่างมากเช่นกัน เพราะเขาต้องทำตามโก่วหานสือและคำนับเฉินฉางเซิง
สีหน้าเหลียงปั้นหูก็ค่อนข้างซับซ้อนเป็นผลมาจากเหตุการณ์ในสวนโจว แม้ว่าเหลียงเสี้ยวเซียวนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าฆ่าตัวตาย การตายของเขาก็เกี่ยวข้องกับเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงนั่งเก้าอี้รับการคำนับจากศิษย์สำนักกระบี่หลีซาน
ในเวลาเพียงปีเดียวกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย
บนทางเดินภูเขาเมื่อจงฮุ่ยคำนับให้กับเขา เขาก็ตอบกลับด้วยกิริยาที่ควรจะแสดงต่อคนในวัยเดียวกัน แล้วเหตุใดเขาถึงต้องเปลี่ยนท่าทีในตอนนี้
ครั้นเห็นเฉินฉางเซิงคำนับกลับอย่างจริงจัง โดยไม่มีความไม่เต็มใจแม้แต่น้อย สีหน้าเหลียงปั้นหูก็ผ่อนคลายลง สีหน้ากวนเฟยไป๋ก็ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นสีหน้าของเจ๋อซิ่วยังคงน่าเกลียดเช่นเดิม สีหน้าของเขาก็กลับสู่ความน่าเกลียดอีกครั้ง คำพูดของเขานั้นยากที่จะฟังได้
“ข้าเตือนเจ้า อย่าได้คิดว่าจะล้ำเส้นมาข้องเกี่ยวกับศิษย์น้องของข้าอีก!”
ก่อนหน้านี้ถังซานสือลิ่วได้เตือนให้เจ๋อซิ่วใจเย็นเอาไว้ ทว่าเมื่อเขาได้ยินคำพูดของกวนเฟยไป๋ เขาก็ลืมคำว่า ‘ใจเย็น’ แล้วกล่าวเย้ยหยันกวนเฟยไป๋ “ล้ำเส้นหมายความว่าอย่างไร ศิษย์น้องของเจ้าเป็นองค์หญิงหรือ ต่อให้นางเป็นหลานสาวของราชามาร ก็ไม่มีใครในเมืองเสวี่ยเหล่ายอมรับนาง!”
ในเรื่องปะทะคารม มีคนไม่มากนักที่สามารถสู้ถังซานสือลิ่วได้
เหตุผลหลักก็คือเขาเป็นทายาทของตระกูลที่มีอำนาจและมีเบื้องหลังล้ำลึกแต่กลับไม่มีพฤติกรรมอย่างทายาทตระกูลชั้นสูง ไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่า ‘ชื่อเสียง’ แม้แต่น้อย
เหตุผลที่สองก็เพราะคำพูดของเขาแหลมคมเกินไป โดยเฉพาะการโจมตีจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม ยากนักที่จะต่อต้านป้องกันได้
ยกตัวอย่างเช่น คำโต้แย้งเมื่อครู่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งคิดขึ้นมาแต่ก็พลิกกลับแต่กลางคัน จากนั้นก็ใช้การโจมตีเพียงครั้งเดียวแทงเข้าใส่ความลับใหญ่ที่สุดและน่ารำคาญที่สุดของสำนักกระบี่หลีซาน
แม้แต่คนที่อารมณ์ดีอย่างโก่วหานสือยังอดขมวดคิ้วมองดูเขาไม่ได้
แม้แต่คนที่คุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้อย่างเฉินฉางเซิงก็ยังอดส่ายหน้าไม่ได้ ได้แต่มองออกไปนอกห้องโถงรับแขกแห่งนี้
นักบวชนิกายหลวงและศิษย์สำนักกระบี่หลีซานที่ติดตามโก่วหานสือและพวกต่างรีบถอยออกไปจากบ้านจนหมด
ทั้งสองฝ่ายเพิ่งพบกัน แต่ก็มีลางว่าการใช้วิจารณญาณทั้งหมดจะถูกละทิ้งไป ใครจะไปรู้ว่าในบ้านจะมีอะไรเกิดขึ้นในบ้านต่อไป
บางทีคนที่เกี่ยวข้องอาจไม่สนใจ แต่นักบวชและศิษย์เหล่านี้ไม่กล้าที่จะร่วมด้วย แม้แต่ฟังก็ยังไม่กล้า