ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 8 เข็มทิศแห่งโชคชะตา
ในตอนห้าขวบ สายเลือดแห่งพรสวรรค์ได้ตื่นขึ้น ดูเหมือนว่านางจะหาดวงดาวดวงหนึ่งมาเป็นดาวโชคชะตาของตนอย่างไม่ใส่ใจ แต่ความสว่างของดวงดาวดวงนั้นสามารถอยู่จัดในสามอันดับแรกในรอบร้อยปีได้ ผ่านไปไม่กี่ปี นางก็เรียนจบจากกระทรวงสิบสามชิงเหย้า เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ก็มาที่จิงตูด้วยตัวเอง และพานางจากมือของใต้เท้าสังฆราชกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กลับสถานศึกษาหนานซี
เมื่อมาถึงสถานศึกษาหนานซี ระดับของนางยังหยุดอยู่ที่ขั้นถอดจิต แต่กลับเริ่มต้นไขปริศนาของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ และดูจากบันทึกเหล่านั้นก็สามารถมองออกว่า นางสามารถเข้าใจแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ได้จริงๆ
เขากับนางเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจีขั้นต้นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เขานั้นอาศัยปาฏิหาริย์กับเลือดของมังกรดำ แต่นางอาศัยเพียงพรสวรรค์ของสายเลือดตนกับสติปัญญา
นางเหมือนกับชิวซานจวิน ในการบำเพ็ญเพียรไม่เคยได้พบเจอกับอุปสรรคใดๆ ขอเพียงแค่คิดจะเรียนอะไรก็ล้วนสามารถเรียนได้สำเร็จ
ไม่ว่าจะเป็นปริมาณของปราณแท้ ความแข็งแกร่งของดวงจิต วิชาอาคม พวกเขาล้วนทิ้งคนที่อยู่ในวัยเดียวกันไปไกล
นางเป็นหงส์สวรรค์อย่างแท้จริง
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบเป็นเวลานาน สำหรับการต่อสู้ในอีกเจ็ดวันให้หลังนั้น เขาไม่มีความมั่นใจใดๆ
ในตอนนี้คนจำนวนมากล้วนพูดว่าเขาเป็นอัจฉริยะในการบำเพ็ญเพียร โดยเฉพาะในด้านวิถีกระบี่ แต่เมื่อได้เห็นช่วงชีวิตของสวีโหย่วหรง เขาถึงได้เข้าใจ ว่าอะไรที่เรียกว่าอัจฉริยะที่แท้จริง
ก็เหมือนกับที่ถังซานสือลิ่วพูดเอาไว้ที่โรงเตี๊ยมในสวนหลีจื่อเมื่อปีก่อนนั้น สวีโหย่วหรงก็คือคนที่ทำให้คนอื่นไร้คำพูด
แต่ก็ยังเหมือนที่ถังซานสือลิ่วพูดเอาไว้นั้น การต่อสู้นี้อย่างไรเสียก็ต้องเกิดขึ้น เขาเป็นตัวแทนของสำนักฝึกหลวงกับพระราชวังหลี ต่อให้สู้ไม่ได้ ต่อให้ไม่อยากจะสู้ด้วยอย่างไร ก็จำเป็นต้องสู้ก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน
เขาลุกขึ้นเดินไปที่หน้าตู้เสื้อผ้า เตรียมที่จะหยิบเอาผ้าขนหนูผืนใหม่ออกมาเช็ดหน้า
เขาเป็นคนที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างมาก มีเพียงเรื่องในด้านนี้เท่านั้นที่ค่อนข้างจะปล่อยวางตัวเอง ทุกครั้งที่พบว่าเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น เขาล้วนจะอาบน้ำตัวเองให้สะอาด และก็เลือกที่จะใช้ผ้าขนหนูผืนใหม่
หลังจากที่เปิดประตูตู้เสื้อผ้า เขาก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ เพราะเขาพบว่ามีผ้าขนหนูหายไปหนึ่งผืน
ผ้าขนหนูนับสิบผืนพับซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ นอกจากตัวเขาเองก็คงจะไม่มีใครที่สามารถมองออกว่าผ้าหายไปผืนหนึ่ง
ในคืนวันนั้น สวีโหย่วหรงหยิบผ้าขนหนูผืนหนึ่งไปเช็ดหิมะที่อยู่บนโต๊ะ
เขายืนนิ่งอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้า ยืนอยู่เป็นเวลานาน
ไม่รู้เพราะเหตุใด สุดท้ายเขาก็ไม่ได้หยิบผ้าขนหนูออกมา แล้วค่อยๆ ปิดประตูตู้เสื้อผ้าลง เดินกลับไปที่หน้าต่าง แล้วมองไปยังพระราชวังที่ไม่ไกลออกไป
ในตอนนี้นางก็น่าจะอยู่ในพระราชวังหรือเปล่า
……
……
ในพระราชวังของต้าโจวมีตำหนักอยู่มากมาย แต่มีเพียงพวกคนเก่าคนแก่ในพระราชวังที่ยังจำได้ ในนั้นมีอยู่ตำหนักหนึ่งที่ตั้งใจเก็บเอาไว้ให้สวีโหย่วหรง
ตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักนี้ก็ค่อนข้างจะไกลออกไป มีความเงียบสงบเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นสวนที่พิเศษอย่างมาก ทิวทัศน์ที่อยู่นอกหน้าต่างก็งดงามอย่างถึงที่สุด
นี่เป็นเรื่องที่เมื่อสิบกว่าปีก่อนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ตัดสินใจเอาไว้แล้ว ภายหลังเมื่อสวีโหย่วหรงไปที่เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว องค์หญิงผิงกั๋วก็คิดจะย้ายเข้ามาพักในตำหนักนั้น แต่ก็ไม่ได้สมปรารถนา
สวีโหย่วหรงในตอนนี้ก็นั่งอยู่ในตำหนักแห่งนั้น ที่นอกหน้าต่างมีหิมะโปรยปรายลงมา กิ่งไม้ถูกคลุมไปด้วยหิมะ ช่างดูงดงามเป็นอย่างมาก นางกลับไม่มีอารมณ์จะมาชมวิวทิวทัศน์
สายตาของนางมาหยุดที่เข็มทิศแห่งโชคชะตาที่อยู่ตรงหน้า
นิ้วมือของนางขยับผ่านเข็มทิศชีวิตไปเบาๆ ตามการเคลื่อนไหว เส้นทางที่ซับซ้อนกับแผนภาพที่ซับซ้อนที่แสดงอยู่บนเข็มทิศแห่งโชคชะตาเหล่านั้นก็กำลังเกิดเปลี่ยนแปลงไป ราวกับสายน้ำที่บ้างก็รวมตัวกันบ้างก็กระจายตัวออกไป เหมือนกับหมู่เมฆที่ยากจะจับต้อง กระทั่งในบางครั้งก็เหมือนกับคัมภีร์สวรรค์
เส้นทางที่เคลื่อนไหวต่างกันเหล่านั้น แสดงถึงปัจจัยจำนวนนับไม่ถ้วน เนื้อหามีถึงในเวลานาทีนี้ แสดงถึงประวัติศาสตร์ของนิกายหลวง การสืบทอดของพระราชวังหลี อดีตของสำนักฝึกหลวง ซางสิงโจว ใต้เท้าสังฆราช ซูหลี ศิษย์พี่ที่อยู่ในข่าวลือผู้นั้น ถังซานสือลิ่ว หอเฉิงหู ข้อมูลจำนวนนับไม่ถ้วนที่เกี่ยวข้องกับเฉินฉางเซิง แน่นอนว่าก็ยังมีเพลงกระบี่เหล่านั้นที่เฉินฉางเซิงถนัดเป็นที่สุด
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง นางยังคงมองเข็มทิศแห่งโชคชะตาอย่างสงบ ทำการอนุมานและคำนวณ
จนกระทั่งถึงเวลาที่นานอย่างมากในภายหลัง หิมะที่นอกหน้าต่างเริ่มหยุดลง เมฆในท้องฟ้ายามราตรีก็กระจายไป แสงของดวงดาวส่องลงมาบนหิมะที่ทับถมบนพื้นของพระราชวัง สะท้อนเข้ามาภายในห้อง สุดท้ายก็ตกลงระหว่างเข็มทิศแห่งโชคชะตา
นางยืนขึ้นมา ไพล่มือทั้งสองข้างไปด้านหลังแล้วเดินออกไปนอกตำหนัก
เข็มทิศแห่งโชคชะตายังลงวางอยู่บนโต๊ะอย่างสงบ เส้นทางกับแผนภาพที่เคลื่อนไหวเหล่านั้นค่อยๆ หยุดลงมา
นั่นคือแผนภาพดวงดาว
……
……
เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาตลอดหกวันเต็มทั้งในพระราชวังกับสำนักฝึกหลวง
ข้างกายของเฉินฉางเซิงเต็มไปด้วยกองกระดาษ บนกระดาษเหล่านั้นเขียนเต็มไปด้วยตัวเลขกับคำพูด เขายุ่งจนถึงขั้นไม่ทันได้อาบน้ำ แต่ก็ยังคงไม่หยุดที่จะทำการคำนวณ เหน็ดเหนื่อยแต่กลับมีความมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ
สวีโหย่วหรงเองก็ใช้เข็มทิศแห่งโชคชะตาทำการคำนวณและอนุมานไม่หยุด จนท้ายที่สุดได้รับแผนผังดวงดาวกว่าสิบเจ็ดภาพ ทุกภาพของแผนผังดวงดาวล้วนชี้ไปที่ชัยชนะอย่างไม่ต้องสงสัย
บรรยากาศของจิงตูคึกคักขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศของพระราชวังกับสำนักฝึกหลวงก็ยิ่งตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ
เพราะว่าคนจำนวนมากล้วนมองเห็นเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงเตรียมการเพื่อการต่อสู้ครั้งนี้เป็นเวลานานอย่างมาก เพื่อเรื่องนี้ได้ทุ่มเทแรงใจไปเท่าไหร่
หกวันได้ผ่านไป ก็มาถึงวันที่เจ็ด วันที่เจ็ดก็คือวันที่จะเริ่มการประลองขึ้น
ยามเช้าตรู่ผ่านไปได้ไม่นาน สถานที่อื่นในจิงตูก็เงียบลงมา ชาวเมืองจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนเดินไปตามทางน้ำไหล
สถานที่ประลองของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงในครั้งนี้อยู่บนสะพานหน่ายเหอ ก็อยู่บนทางน้ำไหล ในสายตาของทุกคน ที่นี่ก็เหมาะจะเป็นสนามประลองมากที่สุด
ไม่ใช่เพราะทิวทัศน์ของสะพานหน่ายเหอนั้นมีชื่อเสียง คู่ควรที่จะเป็นสนามประลองของการประลองที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะต้องถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ แต่เป็นเพราะตำแหน่งที่ตั้งของสะพานหน่ายเหอ
ทางด้านตะวันตกของสะพานหน่ายเหอคือพระราชวังหลี ทางตะวันออกคือพระราชวัง และระยะห่างจากพระราชวังทั้งสองก็เท่ากัน
การเลือกที่นี่เป็นสนามประลอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีความหมายแฝงอยู่ และก็เพื่อความเป็นธรรม
สวีโหย่วหรงพักอยู่ในพระราชวังมาโดยตลอด อีกครู่หนึ่งให้หลังก็น่าจะเดินออกมาจากพระราชวัง แต่เฉินฉางเซิงไม่ได้เดินทางมาจากพระราชวังหลี แต่ออกมาจากสำนักฝึกหลวง เขาก็ทำเหมือนกับตามปกติ ตื่นขึ้นมาตอนยามห้า สงบจิตอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ลืมตาขึ้น ภายใต้สายตาที่กระตือรือร้นของเซวียนหยวนผ้อ เขาก็กินบะหมี่เนื้อไปสองชามใหญ่ๆ ภายใต้การช่วยเหลือของซูม่ออวี๋ เขาก็นำเครื่องแบบของสำนักฝึกหลวงมาสวมใส่ ไม่ว่าจะเป็นคอเสื้อที่โผล่ออกมา ความยาวของชุดคลุม หรือจะเป็นความต่างของความสูงระหว่างชายเสื้อกับรองเท้า ก็ตรงกับข้อเรียกร้องที่เข้มงวดอย่างสมบูรณ์แบบ
ถังซานสือลิ่วไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่ยืนอยู่ที่ด้านข้าง ในมือถือไม้จิ้มฟันแคะฟันไม่หยุด ในเวลาเดียวกันก็บ่นพึมพำว่าเนื้อวัวในวันนี้ตุ๋นได้ไม่เปื่อยเลย
ประตูของสำนักฝึกหลวงค่อยๆ เปิดออก เฉินฉางเซิงเดินออกไปพร้อมกับพวกถังซานสือลิ่วและพวกนักเรียนใหม่ เดินผ่านตรอกไป่ฮวา เข้าไปยังถนนสายหลัก หลังจากนั้นก็อยู่ภายใต้การจับจ้องของสายตาจำนวนนับไม่ถ้วน มุ่งหน้าเดินไปตามทางน้ำไหล
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ในมือของถังซานสือลิ่วก็มีชามน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋สองตัวเพิ่มขึ้นมา
อาจารย์ซินที่อยู่บนถนนได้เห็นภาพนี้เข้า ก็ส่ายหัวพลางพูดขึ้นอย่างจนใจ “ในเวลาที่ตึงเครียดเช่นนี้ เจ้าถึงกับยังไม่ลืมเรื่องนี้อีก”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “มีอะไรให้กังวล อย่างไรเสียก็มีแค่แพ้ชนะ ไม่ได้มีความเป็นความตายมาเกี่ยว ยิ่งไปกว่านั้นแต่ไหนแต่ไรมาอาหารเลิศรสก็อยู่เหนือความเป็นความตาย”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้ ความรู้สึกของเฉินฉางเซิงก็สงบลงไปมาก
แต่ในวันนี้ทั่วทั้งจิงตูได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะไม่อาจสงบลงได้อีก
ข่าวที่เฉินฉางเซิงออกมาจากสำนักฝึกหลวง ได้กระจายไปทั่วจิงตูตามความเร็วของสายลมในฤดูหนาว
“เฉินฉางเซิงออกจากตรอกไป่ฮวาแล้ว”
“นักเรียนของสำนักฝึกหลวงก็ตามมาด้วย”
“คนของทางพระราชวังหลีเข้ามารับเขาแล้ว”
“พวกเขามาถึงสระหมึกแล้ว”
“ผ่านสวนเทียนทงไปแล้ว”
“เฉินฉางเซิงจะมาถึงอารามมังกรหวนแล้ว”