ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 88 ดวงดาวกลางแสงแดด
ไม่กี่วันก่อนบนเกาะที่ทะเลสาบ ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ได้กล่าวกับเฉินฉางเซิงว่าหากเขาต้องการจะชะลอการปะทุของอาการบาดเจ็บ เขาต้องไม่บำเพ็ญอีกต่อไป ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ไม่คาดคิดว่า เฉินฉางเซิงไม่เพียงแต่ไม่ฟังคำของเขา ทว่ากลับยังฟืนก้าวต่อไป ในเวลาอันสั้นเขาก็เตรียมที่จะทะลวงผ่านแล้ว ผู้เฒ่าความลับสวรรค์อดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้
ทว่ามันก็สายเกินไปแล้ว ยามลมทะเลสาบพัดต้องชุดนักพรตของเขา เฉินฉางเซิงยังคงหลับตา ดังหนึ่งว่าไม่ได้อยู่ในโลกนี้อีกต่อไป
จิตของเขากลับสู่จุดเริ่มต้น ห้วงแห่งจิตสงบนิ่งล้ำลึก
ด้วยความคิดเพียงเล็กน้อย ห้วงแห่งจิตก็เริ่มสั่นกระเพื่อมจนแทบกลายเป็นคลื่นยักษ์ที่เกินจินตนาการ คลื่นนี้สูงเท่าตึกสิบชั้นมีพลังอันน่าตกตะลึงในยามที่มันพุ่งเข้าหาท้องฟ้าหม่นมัวด้านบน
แม้กระนั้นท้องฟ้าก็ยังไกลเกินไป ไม่ว่าคลื่นจะใหญ่เพียงไร ก็ไม่อาจสัมผัสได้ ครั้นไปถึงจุดสูงสุด ก็ได้แต่ตกลงมาด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่ง แตกกระจายเป็นฟองจำนวนนับไม่ถ้วนบนพื้นผิวทะเล
ละอองน้ำลอยขึ้นจากทะเล หากไม่หลุดพ้นจากทะเล มันก็ไม่อาจทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้
ในเวลาปกติ หากเขาต้องการส่งจิตสัมผัสขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็ไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าไร ทว่าวันนี้ เขาจำเป็นต้องส่งจิตสัมผัสที่มากกว่าออกไป
ดังนั้นเขาจึงใช้ความคิดอีกครั้ง เปลี่ยนให้กลายเป็นอาวุธแหลมคม กระบี่ และดาบจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้น…พวกมันก็ฟาดฟันไปตามความคิดของเขา
พายุใหญ่เกิดขึ้นในห้วงแห่งจิต สายลมรุนแรงมากมายมหาศาลกรีดร้องไปตามเส้นขอบฟ้า เปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่เหมือนกระบวนท่าที่แท้จริงจำนวนนับไม่ถ้วน ฟาดฟันใส่คลื่นปั่นพ่วนที่ลอยสูงขึ้น
กระบี่แท้สำนักฝึกหลวง ประตูภูเขาของหลีซาน ลำนำชาวประมงสามบทเพลง กระบี่น้ำค้างแข็งของพรรคภูเขาหิมะ กระบี่ทลายทัพของสำนักเด็ดดารา กระบี่แสงชั่วพริบตาของสำนักเทียนเต้า เพลงกระบี่ดอกเหมยบานสามหนของสถานศึกษาหนานซี…
เพลงกระบี่นับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นในความวุ่นวาย ร่ายระบำอย่างบ้าคลั่งไปทั่วทะเล!
คลื่นสูงสิบชั้นส่ายไหวภายใต้การฟาดฟัน และค่อยๆ ตัดขาดออกจากทะเล แต่กระนั้น ก็ยังมีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งที่ไม่อาจตัดให้ขาดอย่างสิ้นเชิงได้
เสียงร้องอย่างตั้งใจดังมาจากท้องทะเล และเจตจำนงดาบก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้า!
กระบวนท่าแรกของเพลงดาบสองท่อน ต้นกำเนิด!
นี่เป็นเพลงดาบที่ทรงพลังที่สุดในโลก! ต่อหน้าดาบนี้ ทุกสิ่งต้องขาดเป็นสองท่อนอย่างไม่อาจเลี่ยงได้!
คลื่นใหญ่ตัดขาดจากทะเลได้ในที่สุด ครั้นแล้วก็เริ่มลอยขึ้น!
……
……
เมื่อคลื่นใหญ่ตัดขาดออกจากทะเล ก็จะกลายเป็นมวลน้ำที่บริสุทธิ์เฉกเช่นทะเลสาบนอกแดนลี้ลับของเขา
เมื่อตัดการเชื่อมโยงกับห้วงแห่งจิต มวลน้ำทะเลก็เหมือนกับจะเสียน้ำหนักทั้งหมดไป ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าหม่นมัว ลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไกลออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วมันก็ไปตามทางซึ่งมันไม่อาจก้าวขึ้นไปได้มาเป็นเวลานานก่อนหน้านี้ แต่กลับมั่นคงขึ้นทุกวัน ไปถึงทะเลดวงดาวในส่วนลึกของท้องฟ้า
มวลน้ำนี้คือแก่นแท้ของดวงจิต วิญญาณของเขา ของที่มีค่าที่สุดของเขา
ครั้นมาถึงทะเลดวงดาวแล้ว ดวงจิตเขาก็ไม่หยุด ยังคงเดินหน้าต่อไปแม้ดูเชื่องช้าทว่าอันที่จริงแล้วรวดเร็วอย่างน่าทึ่ง หลังจากผ่านไปนาน ก็มาถึงจุดที่อยู่ตรงสุดขอบของทะเลดวงดาว
ที่แห่งนี้ห่างจากพื้นดินอย่างหาใดเปรียบมิได้ เป็นอีกด้านหนึ่งของทะเลดวงดาว
เลยทะเลดวงดาวไปคือความว่างเปล่า แต่เลยความว่างเปล่าไปเล่า
เฉินฉางเซิงมองไกลออกไป รู้สึกเสมือนว่าเขาสามารถรับรู้ได้อย่างแผ่วเบาถึงดวงดาวนับไม่ถ้วนจากฝั่งนั้น
เมื่อแรกนั้น ในห้องสมุดของสำนักฝึกหลวง ในคืนที่เขาจุดไฟดาวชะตา เขาก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันนี้ เฉกเช่นว่าเขามองแสงไฟพร่างพราวของเมืองใหญ่
น่าเสียดายที่มันไกลเกินไป ด้วยความแข็งแกร่งและความมั่นคงของดวงจิตในตอนนี้ เขาไม่อาจไปถึงอีกฝั่ง ไม่อาจเจาะทะลวงขีดจำกัดของโลกนี้
เขาถอนสายตาจากมาและหันไปยังมุมที่ไม่โดดเด่นตรงขอบของทะเลดวงดาว ที่นั่นมีดาวที่ไม่โดดเด่น ทั้งเล็กทั้งแดงราวกับผลแอปเปิล
นี่คือดาวชะตาของเขา
ดวงจิตของเขาค่อยๆ เข้าใกล้มัน
มวลน้ำทะเลตกลงสู่ดาวดวงน้อยสีแดง ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้อุณหภูมิลดลงและดับไฟ แต่กลับทำให้เพลิงสีแดงบนผิวดาวลุกโชนมากขึ้น!
ลมทองคำพบน้ำค้างฤดูใบไม้ร่วง ก่อเกิดน้ำใสกลมกลืนที่แผ่รัศมีไร้ขีดจำกัดสู่อวกาศอันมืดมิด
เหนือล้ำกว่าขอบเขตแห่งมิติและเวลา รัศมีจำนวนมากแผ่จากขอบที่ห่างไกลของทะเลดวงดาวมายังพื้นดินและไหลรินเข้าสู่ร่างกาย!
ตู้ม! ร่างเฉินฉางเซิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นจมลงไปในพื้นดินครึ่งฉื่อในทันที
นี่เป็นเพราะพื้นดินในรัศมีสามจั้งรอบกายเขาก็จมลงไปด้วย!
ลมทะเลสาบส่งเสียงหวีดหวิว หมุนวนอยู่รอบกายเขา ทำให้ชุดนักพรตของเขากระพืออย่างรุนแรง สายลมไหลเข้าสู่ฝักกระบี่ กระบี่ก็ส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้นออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน
ฝุ่นปลิวไปในอากาศ พุ่งตรงขึ้นฟ้าราวกับควันดำ ทำให้ดวงตะวันเจิดจ้าด้านบนหม่นแสงลง
คนที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยบังเอิญและเห็นว่าบนท้องฟ้าหม่นมัวมีแสงดาวราวกับท้องฟ้ายามราตรีอยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์
ปัญหาก็คือนี่เป็นเวลากลางวัน แล้วเหตุใดจึงมองเห็นแสงดาวได้ มีดวงดาวที่สว่างเพียงนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ
คนผู้นั้นส่ายหน้าไล่ความคิดเหลวไหลนี้ออกจากหัว เลื่อนสายตาไปมองที่เวที
ในตอนนี้มีเพียงผู้เฒ่าความลับสวรรค์ที่ไม่ได้มองไปที่เฉินฉางเซิงซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ หากแต่จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแทน
และมีเพียงเขาที่ยืนยันได้ว่ามีดวงดาวปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าหม่นมัวนี้จริงๆ
ทะเลดวงดาวบรรจุไว้ด้วยพลังแห่งชะตาอันลึกลับ แม้แต่เขาก็ไม่อาจระบุได้ว่าดวงดาวนั้นอยู่ที่ใด ทว่าเขารู้เหตุที่มันปรากฏขึ้น
……
……
ในวันธรรมดาวันหนึ่งช่วงปลายฤดูร้อน ภายใต้แสงตะวันเจิดจ้า ใครจะสังเกตเห็นแสงแวบหนึ่งของดวงดาวได้ ต่อให้สังเกตเห็น ใครจะกล้าเชื่อสายตาตัวเอง
ที่ชานเมืองจิงตู กลางทุ่งหญ้าป่าเขา สังฆราชยืนอยู่ตรงหน้าหลุมศพมุขนายกเหมยลี่ซา ยามที่เขามองดูชื่อเพื่อนเก่าบนป้ายหลุมศพ ดวงตาก็ซ่อนไว้ด้วยความเป็นกังวล “ในตอนนั้น เรากังวลว่าเขาจะเติบโตเร็วเกินไป ในตอนนี้ดูเหมือนความกังวลของข้าจะไม่ได้ไร้ที่มา”
บนแท่นกานลู่ จุดที่สูงที่สุดในจิงตู จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยืนเอามือไพล่หลัง จ้องมองไปยังจุดหนึ่งบนท้องฟ้า แสงแดดเจิดจ้าแต่นางก็ไม่กะพริบตา จากวันนั้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่จักรพรรดิไท่จงขับไล่นางออกจากวังหลวงและส่งนางไปอยู่ในสวนร้อยหญ้า นางก็ไม่กลัวที่จะมองไปยังดวงอาทิตย์อีกต่อไป วันนี้ นางไม่ได้มองไปที่ดวงอาทิตย์ด้วยซ้ำ ม่ออวี่ยืนอยู่ด้านหลังนาง มองดูหลังของนาง คิดอย่างไม่สบายใจ จักรพรรดินีเห็นอะไรเมื่อครู่นี้ ถึงนิ่งเงียบไปนานเพียงนี้
ในตำหนักอันโอ่อ่าที่สุดได้รับการคุ้มกันมากที่สุดในเมืองเสวี่ยเหล่า ราชามารนั่งอยู่บนเก้าอี้รับฟังผู้ใต้บังคับบัญชาที่ภักดีที่สุดรายงานความเคลื่อนไหวประหลาดของผู้บัญชาการทหารเผ่ามารในช่วงนี้ รวมถึงความขัดแย้งระหว่างชุดดำกับเหล่าขุนนาง เขานิ่งเงียบ ยังคงมีท่าทางดั่งบัณฑิตวัยกลางคนเฉกเช่นตอนอยู่ที่หานซาน ทว่าใบหน้าขาวซีดกว่า ภูเขาแม่น้ำพังทลาย รู้สึกเบื่อขึ้นมา เขาโบกมือเป็นสัญญาณให้ผู้ใต้บังคับบัญชาออกไป จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นมองสูงขึ้นไปในตำหนัก หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็เดินไปยังต้นไม้
มันคือต้นพลับที่เขานำกลับมาจากริมลำธารบนเขาหานซาน
เขามองไปที่ลูกพลับหนักบนกิ่งและขมวดคิ้ว “สุกงอมรวดเร็วถึงเพียงนี้?”