ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 93 การต่อสู้ครั้งนี้ข้าจะสู้แทนเขาเอง (3)
“เรื่องอะไร” สวีโหย่วหรงไม่ได้เงยหน้าขึ้นหรือแม้แต่กะพริบตา
“มีคนต้องการบุกเข้ามา เป็น…คนจากสำนักฝึกหลวง” เยี่ยเสี่ยวเหลียนตอบอย่างไม่สบายใจ
สวีโหย่วหรงรู้ดีว่าคนที่กล้าพุ่งเข้าค่ายกลกระบี่ของสถานศึกษาหนานซี และอยากพบเฉินฉางเซิงมีเพียงเจ๋อซิ่วเท่านั้น นางตอบไปอย่างไม่แยแสว่า “ตัดขาเขาทิ้ง”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนถาม “แล้วมุขนายกทั้งสองเล่า”
นี่พูดถึงเหมาชิวอวี่กับราชันย์แห่งหลิงไห่ ในฐานะผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายหลวง แม้แต่สถานศึกษาหนานซีก็ต้องให้ความเคารพพวกเขา
สวีโหย่วหรงไม่ตอบเพราะนางได้ออกคำสั่งไปแล้ว
นางเพียงแค่มองดูเฉินฉางเซิงที่นอนซมอยู่
เยี่ยเสี่ยวเหลียนมองร่างงดงามผ่านประตู รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
นางมีพรสวรรค์ไม่เลว เมื่อครั้งยังเล็กก็ได้เข้าสู่วัดฉือเจี้ยนเพื่อเริ่มการบำเพ็ญเพียร
วัดฉือเจี้ยนนั้นอยู่ใกล้กับลานฝึกกระบี่ของหลีซาน เมื่อนางยังเด็ก มักได้เห็นชิวซานจวินฝึกกระบี่อยู่ที่นั่น เช่นเดียวกับเด็กหญิงทั้งหลาย นางได้กลายเป็นหนึ่งในผู้คลั่งไคล้ชิวซานจวิน ซึ่งเป็นเหตุให้นางพูดจาหยาบคายกับเฉินฉางเซิงที่พระราชวังหลี จนถูกถังซานสือลิ่วด่าจนต้องร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสงสารอย่างที่สุด
หลังจากนั้นก็มีเรื่องมากมายเกิดขึ้น นางได้เข้าไปในสวนโจวและสิ่งที่นางเคารพนับถือในตอนนี้…ก็รวมคนที่ชื่อเฉินฉางเซิงด้วย
บางทีอาจเพราะเหตุนี้ นางจึงปกปิดความอิจฉาที่มีต่อสวีโหย่วหรงเอาไว้ตลอดมา แต่เพราะว่าสถานะของพวกนางต่างกันเกินไป นางจึงได้ไม่อาจส่งเสียงอุทธรณ์ได้
ในฤดูใบไม้ผลิหลังจากได้บทสรุปของการสอบใหญ่ในปีนั้น นางได้ย้ายจากวัดฉือเจี้ยนมาสถานศึกษาหนานซี ยิ่งไม่อาจเผยความรู้สึกเช่นนั้นกับสวีโหย่วหรง เมื่อเวลาผ่านไป ความอิจฉาที่นางซ่อนเอาไว้ลึกๆ ในใจก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ในที่สุดเป้าหมายในการเคารพบูชาก็ได้เปลี่ยนจากชิวซานจวินและเฉินฉางเซิงมาเป็นสวีโหย่วหรง
เช่นเดียวกับคนทั่วไปในจิงตูและศิษย์พี่ทั้งหลายในสถานศึกษาหนานซี
ในตอนนี้ เมื่อเห็นสวีโหย่วหรงนั่งอยู่ข้างเกาอี้ยาว ก็รู้สึกว่านางช่างสูงส่ง
หากม่ออวี่มาเห็นและได้ยินคำสั่งของสวีโหย่วหรง เห็นร่างของนาง คงรู้สึกว่านางยิ่งโตยิ่งเหมือนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
ไม่นานหลังจากเยี่ยเสี่ยวเหลียนจากไป เสียงภายนอกก็ค่อยๆ เงียบลง
สวีโหย่วหรงจ้องมองเฉินฉางเซิงอยู่เงียบๆ ตระหนักว่าเขาจะขมวดคิ้วอยู่เป็นระยะๆ ดูเหมือนว่าแม้จะหมดสติ เขาก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ไม่คลาย
ทักษะการแพทย์ของนางไม่อาจเทียบเฉินฉางเซิง แต่ก็ยังถือว่าดีทีเดียว หลังจากจับมือของเฉินฉางเซิงอยู่นานและสัมผัสชีพจรเขาอยู่เงียบๆ นางก็ยืนยันแล้วว่าสิ่งที่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์คาดเดานั้นถูกต้อง
เส้นลมปราณทั้งหมดขาดสะบั้น แล้วจะรักษาได้อย่างไร
นางหันหน้าไปยังความมืดมิดนอกหน้าต่าง เนื่องจากมองไม่ค่อยเห็นดวงดาว นางจึงเข้าใจได้ว่าท้องฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยเมฆ
หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่มีใครอยู่ข้างนอกเพื่อแอบดู นางก็หันหน้ากลับมาและถอดเสื้อผ้าของเฉินฉางเซิงออก
ชุดนักพรตขาดวิ่นของเขาถูกโยนลงบนพื้น และกางเกงชั้นในก็ถูกถอดออกเช่นกัน
ตลอดกระบวนการนิ้วมือของนางมั่นคงแน่วแน่ เคลื่อนไหวอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการลังเล ไม่มีความเขินอายบนใบหน้าขาวซีดงดงาม
ผิวพรรณของเฉินฉางเซิงเรียบเนียนอย่างมาก เฉกเช่นผิวของเด็กทารก บอบบางปานจะถูกลมบาดขาดได้ แม้จะผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดและได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง ผิวของเขาก็ยังไม่มีรอยช้ำหรือบาดแผลแม้แต่น้อย แสดงให้เห็นว่าเขาได้ผ่านการชำระไขกระดูกที่สมบูรณ์ที่สุด มีเพียงแค่ชั้นสีชมพูบางๆ ดูราวกับเครื่องเคลือบที่ได้รับความนิยมในเมืองเสวี่ยเหล่า
ผิวพรรณเช่นนี้อาจเป็นความฝันของหญิงสาววัยขบเผาะทุกคน ทว่าสวีโหย่วหรงกลับเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดมากขึ้น
เพราะชั้นสีชมพูนี้ไม่ได้หมายถึงผิวที่อ่อนนุ่ม หากแต่เป็นเพราะมีเลือดไหลอยู่ภายใต้ชั้นผิวของเฉินฉางเซิง
เลือดที่ไหลออกจากเส้นลมปราณที่ขาดกำลังซึมผ่านร่างกายของเขาช้าๆ อาจซึมผ่านผิวหนังหรือไหลออกมาทางดวงตาและจมูกได้ทุกขณะ
เลือดเหล่านี้มิใช่เลือดทั่วไปแต่เป็นเลือดแท้ ทุกหยดล้วนบรรจุไว้ด้วยวิญญาณเทพของเขา
สวีโหย่วหรงนึกถึงสิ่งที่เฉินฉางเซิงเคยบอกนางตอนอยู่ในสุสานโจว สีหน้านางก็เคร่งเครียดยิ่งขึ้น ใบหน้าซีดขาวกว่าเดิม ประกายความหวาดหวั่นปรากฏขึ้นในดวงตากระจ่างใสของนางในที่สุด
นี่เป็นเรื่องที่เฉินฉางเซิงเป็นห่วงมากที่สุดมาตลอดชีวิต และเป็นสิ่งที่นางห่วงที่สุดในตอนนี้เช่นกัน
เมื่อครู่นางได้จงใจถามถึงเจตนาของผู้เฒ่าความลับสวรรค์ ไม่ลังเลแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อเขา นั่นเป็นเพราะนางต้องการบีบให้ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ออกจากบ้านหลังนี้ไป
ตอนอยู่ในจิงตู เฉินฉางเซิงเคยบอกนางว่าเลือดที่เขาหลั่งออกมาในตอนนี้ไม่ได้มีกลิ่นรุนแรงมากอีกต่อไปแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว
บางทีอาจเป็นในขณะที่เขาทะลวงผ่านได้สำเร็จและนำแสงดาวไร้ขอบเขตเข้าสู่ร่างกาย
นางไม่คิดที่จะยืนยันสิ่งที่นางคาดเดาว่าเป็นจริงหรือไม่ เพราะนางไม่อาจเสี่ยงทำเช่นนั้น นางไม่อาจปล่อยให้เลือดของเฉินฉางเซิงไหลออกมาจากร่างกายได้
แสงอ่อนจางที่เปี่ยมไปด้วยเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกมาจากฝ่ามือของนางปกคลุมไปทั่วร่างของเฉินฉางเซิง
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ได้บอกนางว่าเส้นลมปราณของเฉินฉางเซิงได้ขาดหมดแล้ว ความแข็งแกร่งแม้เพียงเล็กน้อย แม้แต่แสงศักดิ์สิทธิ์ หากเข้าไปในเส้นลมปราณก็จะทำให้เขาต้องแบกรับภาระมากขึ้นและทำให้การบาดเจ็บเลวร้ายลงกว่าเดิม
แต่นางก็ยังคงใช้วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ลังเล ไม่ใช่เพราะนางไม่เชื่อในสิ่งที่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์กล่าว ทว่าเป็นเพราะแสงศักดิ์สิทธิ์นี้แตกต่างออกไป
แสงกระจ่างใสตกลงบนร่างของเฉินฉางเซิงแต่ไม่ได้เข้าสู่ร่างกาย หยุดอยู่กลางอากาศใกล้กับร่างกายของเขาอย่างที่สุด ระยะห่างไม่ถึงหนึ่งในสิบของความหนาของเส้นผม
ฝ่ามือของสวีโหย่วหรงเคลื่อนไหวช้าๆ แสงกระจ่างใสก็เคลื่อนตามไป ค่อยๆ ห่อหุ้มร่างของเฉินฉางเซิงเอาไว้ภายใน ไม่เหลือช่องว่างเลยแม้แต่น้อย
วิชานี้ต้องใช้การควบคุมที่มั่นคงอย่างยิ่ง และต้องมีดวงจิตที่แข็งแกร่งมั่นคง ใจต้องเย็นอย่างที่สุด น้อยคนนักที่จะสามารถทำได้สำเร็จ
เส้นทางแห่งจิตของสวีโหย่วหรงส่องสว่างเจิดจ้า แต่หลังจากที่ใช้วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์นี้ ใบหน้านางก็ขาวซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
ชั้นสีชมพูอ่อนบนร่างของเฉินฉางเซิงจางลงกว่าเดิมหลังจากถูกห่อหุ้มด้วยชั้นแสงศักดิ์สิทธิ์
ต่อให้กลิ่นของเลือดแท้ไหลซึมผ่านรูขุมขนออกมา มันก็จะถูกกักเอาไว้อย่างสมบูรณ์โดยแสงศักดิ์สิทธิ์นี้
เมื่อยืนยันแล้วว่าปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้วอย่างน้อยก็ช่วงระยะเวลาหนึ่ง สีหน้าสวีโหย่วหรงจึงผ่อนคลายลงได้ในที่สุด
ลมจากทะเลสาบพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ปัดเป่าเส้นผมที่ริมขมับของนางจนยุ่งเหยิง ชูกลิ่นเหงื่อหอมหวนบนแก้มที่ผัดแป้งของนาง นางดูงดงามอย่างมาก
ด้วยสายลมบนเขาหานซานนี้เอง มวลเมฆบนท้องฟ้ายามราตรีจึงสลายไปในทันที แสงสีเงินสาดส่องลงมาและป่าสนก็กลายเป็นทะเลสีเงิน เป็นภาพอันวิจิตรงดงาม
บางทีอาจเป็นเพราะเหล่าสัตว์อสูรในป่าเขาได้กลิ่นบางอย่างหรือตกใจกับแสงดาวที่ทอดลงมาอย่างฉับพลัน พวกมันจึงส่งเสียงหอนขึ้นสู่ท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยดวงดาวอย่างรัญจวนใจ
เสียงกรอบแกรบดังขึ้นลึกเข้าไปในทะเลสีเงินของป่าสน
ใบไม้จำนวนมากบดบังร่างกายส่วนใหญ่ของเจ้าสิ่งนี้เอาไว้ แต่ส่วนที่เผยให้เห็นก็ดูงดงามชดช้อยยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อรวมกับแสงดาวสีเงิน ยิ่งดูบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก
ดวงตาปรากฏขึ้นท่ามกลางใบไม้ที่หนาแน่น เปี่ยมด้วยปัญญาแจ่มใส แต่เมื่อดวงตานี้มองไปที่บ้านริมทะเลสาบ ก็เผยให้เห็นประกายความขุ่นมัว
ดวงตาได้กลิ่นหอมนั้นอย่างชัดเจน ยินดีที่จะเดินทางพันลี้ ไม่สนใจพวกลิงหลังตรงที่รวมตัวกันอยู่ริมทะเลสาบ…แต่ทำไมกลิ่นนั้นถึงได้หายไป
หลังจากเวลาผ่านไปนาน มันก็ยอมแพ้ในที่สุดและหันหลังกลับไปยังทะเลต้นสน อาศัยต้นไม้เพื่อบดบังร่างกายและร่องรอยของมัน
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงดาว มีเพียงแค่เขาสีเงินที่เห็นได้อย่างเลือนรางผ่านช่องว่างของใบไม้
สัตว์อสูรของหานซานส่งเสียงหอนสู่ท้องฟ้าพร่างดาวราวกับถูกรบกวนด้วยสิ่งที่ไม่อาจบรรยายได้
ปลาในทะเลสาบสวรรค์ก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่อาจบรรยายได้ ว่ายวนไปมาอยู่ในน้ำใกล้บ้านหลังนั้น
ปลาดำหลายร้อยตัวห้อมล้อมเม็ดพุทราที่อยู่บนทรายละเอียดใต้น้ำตื้น กัดเล็มเม็ดพุทรานั้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เม็ดพุทราเคลื่อนไกลออกไปเรื่อยๆ จนหายไปในส่วนลึกของทะเลสาบ
สวีโหย่วหรงนำเอาถุงผ้าออกมาจากแขนเสื้อ หยิบเอาพุทราเชื่อมออกมาโยนเข้าปากและเริ่มดูดมัน
หวานมาก
ในเวลาเช่นนี้ น้ำตาลสามารถช่วยสงบจิตใจได้ และนางก็ชอบกินของหวาน ครั้งแรกที่นางถูกพาไปยังยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังเป็นเด็กเล็กมาก ยามที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อาจารย์ของนางถามว่าจะรักษาความเป็นหนึ่งเดียวกับเส้นทางแห่งจิตได้อย่างไร นางมองไปที่กล่องพุทราเชื่อมบนโต๊ะด้านหลังของอาจารย์และบิดกายตอบอย่างเขินอาย “มีแต่พุทราเชื่อมที่ทำได้”
ครั้นคิดถึงวัยเด็กในยามที่กำลังดูดพุทราเชื่อม นางก็เริ่มหัวเราะ
จากนั้นก็จำได้ว่าเมื่อไม่กี่คืนก่อน นางก็นั่งข้างกายเฉินฉางเซิงที่ริมทะเลสาบและกินพุทราเชื่อมเช่นกัน แต่นางจะรักษาเส้นทางแห่งจิตเอาไว้ได้อย่างไร…จิตใจนางเริ่มสับสน
แต่มันก็ยังคงหวานมากอยู่ดี
นางหันไปทางเฉินฉางเซิงบนเก้าอี้ยาวพลางคิดในใจ แม้ว่าเขาจะไม่หล่อเหลาเช่นศิษย์พี่ แต่ก็หล่อทีเดียว ข้ามองดูเขา มองเห็นเสน่ห์ที่มากกว่า
แม้ว่ายังหลับอยู่ เฉินฉางเซิงก็หน้านิ่วคิ้วขมวด ดูเหมือนว่าเจ็บปวดอยู่ลึกๆ
สวีโหย่วหรงขมวดคิ้วมุ่น ปลายนิ้ววางลงบนริมฝีปากขา สัมผัสอย่างแผ่วเบาราวกับแมลงตอมดอกไม้ก่อนจะดึงมือกลับมา
“ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตาย” นางกล่าวกับเขา
ด้วยว่ากำลังดูดกินพุทราเชื่อม เสียงนางจึงไม่ชัดเจนแต่ก็กระจ่างใสอย่างมาก
ครั้นปิดกั้นกลิ่นจากเลือดของเฉินฉางเซิงแล้ว ก็หมายความว่านางจัดการปัญหาแรกไปแล้ว ต่อไปนางต้องแก้ปัญหาที่หนักหนากว่า
หากเขายังคงเสียเลือดต่อไปเช่นนี้ ต่อให้เป็นเลือดที่ไหลจากอวัยวะภายใน เขาก็ยังต้องตายจากการเสียเลือดมากเกินไป
จะหยุดการเสียเลือดได้อย่างไร นี่เป็นปัญหาที่แก้ยากมาก เพราะร่างกายของเขาไม่อาจทนรับวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ได้
และต่อให้สามารถหยุดการเสียเลือดได้ จะชดเชยเลือดที่เสียไปอย่างไร นี่ก็เป็นปัญหายากอีกอย่างหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาเสียเลือดมากเกินไป ดังนั้นการทำงานของร่างกายย่อมไม่อาจสร้างเลือดชดเชยได้ทัน
คนอื่นอาจจะไร้กำลังที่จะแก้ปัญหานี้ เช่นเดียวกับที่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ได้กล่าวไว้ เช่นเดียวกับการโจมตีของกวนไป๋ วิถีสวรรค์ไม่อาจฝืน
สุดท้ายแล้ววิถีสวรรค์จะไม่อาจฝืนจริงๆ หรือ
สวีโหย่วหรงอยากจะต่อสู้กับวิถีสวรรค์ดูสักครั้ง เช่นเดียวกับที่นางได้รับกระบี่นี้แทนเขา
นางมีศรัทธา
เพราะเขาได้สอนนางไว้ยามที่เขาได้ช่วยชีวิตนางในตอนนั้น
นางนำธนูถงออกมา และเอานิ้วชี้ขวากรีดข้อมือซ้ายเป็นรอยเล็กๆ
โลหิตปรากฏขึ้นบนข้อมือสีขาวนวลของนาง จากนั้นก็เริ่มขยายออก เลือดไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
เลือดแท้หงส์สวรรค์ลุกไหม้เมื่อสัมผัสกับสายลม แผ่รังสีจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา ส่องสว่างร่างนางอย่างชัดเจน งดงามเกินจะเปรียบเปรย
……