ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 96 แล้วพบกัน เร่งรถม้า
สวีโหย่วหรงทิ้งท้ายกับเฉินฉางเซิงก่อนจากไป “เตรียมตัวกลับจิงตูเร่งด่วน ข้ามั่นใจว่าไม่มีผู้ใดในโลกนี้รักษาเจ้าได้”
ภายใต้แสงอรุณอันอบอุ่น โก่วหานสือและศิษย์เขาหลีซานคนอื่นๆ กลับมายังบ้านหลังนี้อีกครั้ง เอ่ยขออนุญาตเข้าไปข้างใน
พรรคกระบี่หลีซานมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เสมอมา และเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนก่อนในเวลานี้ก็กำลังเดินทางไปกับซูหลีอยู่ในโลกอื่น อาจจะด้วยเหตุนี้ และอาจเป็นเพราะว่าพวกเขากำลังจะกลับจิงตูในไม่ช้านี้แล้ว และมีความเป็นไปได้สูงว่าเฉินฉางเซิงอาจไม่มีโอกาสพบโก่วหานสือและคนอื่นๆ อีก ดังนั้นสวีโหย่วหรงจึงอนุญาตให้พวกเขาเข้ามา
เฉินฉางเซิงเอนกายพิงโต๊ะยาว มีผ้าห่มไหมคลุมกาย ครั้นเห็นโก่วหานสือและศิษย์อีกสองคนเดินเข้ามา เขาก็หัวเราะ
โก่วหานสือถาม “การทะลวงผ่านมีปัญหาหรือ”
เฉินฉางเซิงพยักหน้าก่อน ครั้นแล้วก็ส่ายหน้า
กวนเฟยไป๋ทนไม่ไหวจึงถามออกไป “ตกลงมีหรือไม่มี”
เฉินฉางเซิงอธิบาย “ยามที่ข้าทะลวงผ่านนั้นก็มีปัญหาอยู่จริงๆ แต่ไม่รุนแรงนัก เพียงแต่ทำให้ลำบากอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้ก็มิใช่สาเหตุที่แท้จริง”
โก่วหานสือซักไซ้ “แล้วสิ่งใดคือปัญหาที่แท้จริง”
เฉินฉางเซิงปรายตามองกวนเฟยไป๋แล้วกล่าว “พวกเจ้าทุกคนในอดีตเคยกล่าวไว้ว่าข้ามีชะตาที่ดี แต่แท้จริงแล้วชะตาข้าไม่ดีเลย ข้าป่วย”
กวนเฟยไป๋พูดอย่างไม่ชอบใจ “เจ้าป่วยก็รักษาสิ เหตุใดต้องทำตัวน่าสงสารต่อหน้าเราด้วย”
มีเพียงผู้เฒ่าความลับสวรรค์กับสวีโหย่วหรงเท่านั้นที่รู้ว่าสถานการณ์ที่แท้จริงเป็นเช่นไร แม้แต่ถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วก็ยังไม่รู้ ผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้าร่วมการประชุมใหญ่จู่สือริมทะเลสาบสวรรค์ที่เขาหานซานล้วนแล้วแต่เชื่อว่าเฉินฉางเซิงได้ประสบกับปัญหาขณะพยายามทะลวงสู่ขั้นรวบรวมดวงดาว โก่วหานสือและคนอื่นๆ ก็เชื่อเช่นเดียวกัน ใครจะคาดคิด…ใครจะกล้าคิดเล่าว่าชีวิตเขาจะสั้นเพียงนี้
เฉินฉางเซิงเอ่ยพลางหัวร่อ “นั่นก็ถูก และด้วยเหตุนี้ อีกสักครู่ข้าจึงกำลังจะกลับไปจิงตูเพื่อรักษาอาการป่วยของข้า”
“จะลำบากหรือไม่” โก่วหานสือถามพลางมองตาเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงส่ายหน้า “แค่ต้องเดินทางไกลหน่อยก็เท่านั้น จะลำบากได้อย่างไร”
กวนเฟยไป๋กับเหลียงปั้นหูคิด ก็จริง ถึงแม้เฉินฉางเซิงจะยังเยาว์ แต่เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบทอดนิกายหลวง ครั้นการบรรจบกับของเหนือใต้สำเร็จลุล่วง ราชวงศ์ต้าโจวก็เรืองอำนาจ และนิกายหลวงก็มีผู้ศรัทธาเป็นหมื่นล้าน ทั้งยังมีเหมาชิวอวี่และราชันย์แห่งหลิงไห่ ผู้นำแห่งนิกายหลวงทั้งสองอยู่ข้างกายเขา จึงไม่น่าจะมีปัญหาอันใดเกิดขึ้นได้
ในยามนี้ ศิษย์สถานศึกษาหนานซีก็เข้ามารายงานว่ารถม้าพร้อมแล้ว และเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ประสงค์จะทราบว่าจะออกเดินทางได้เมื่อไร
กวนเฟยไป๋ขบคิดใคร่ครวญอยู่ทั้งคืน ถึงตอนนี้ก็มิอาจยับยั้งชั่งใจได้อีกต่อไป เขามองเฉินฉางเซิงแล้วถาม “เจ้ากับศิษย์หญิงสวี… ไม่สิ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเจ้าทั้งสอง”
เฉินฉางเซิงครุ่นคิดแต่ก็ไม่รู้จะอธิบายเช่นไร จึงคิดว่าไม่ตอบน่าจะดีที่สุด
โชคดีที่ถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วเตรียมข้าวของสัมภาระเสร็จแล้ว และศิษย์สถานศึกษาหนานซีก็มาเข้าพบ คำถามนั้นจึงจางหายไปในความสับสน
ถังซานสือลิ่วกำลังจะมาช่วยเฉินฉางเซิงลุกขึ้น ทว่าเยี่ยเสี่ยวเหลียนศิษย์หญิงจากสถานศึกษาหนานซีเข้ามาห้ามไว้เสียก่อน
เยี่ยเสี่ยวเหลียนอธิบายอย่างสงบนิ่งจริงจัง “เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์สั่งไว้ว่าหากมิได้รับสั่ง ห้ามผู้ใดแตะต้องตัวเฉินฉางเซิง”
ได้ยินดังนั้นถังซานสือลิ่วก็หงุดหงิดขึ้นมา กล่าวว่า “หากข้าไม่รู้เรื่องน่าโมโหที่เกิดขึ้น เจ้าคิดว่าข้าจะยั้งมือได้เช่นนั้นหรือ”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนมิได้สนใจว่าเรื่องน่าโมโหที่เขากล่าวถึงนั้นคือเรื่องอะไร นางเดินตรงไปยังโต๊ะยาว ช่วยเฉินฉางเซิงให้ลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง ประคองเขาเดินไปจนกระทั่งเขานั่งเรียบร้อยในรถม้า
ก่อนรถม้าจะเคลื่อนตัว เจตจำนงกระบี่ก็พุ่งขึ้นพร้อมกับสายลมยามสาง
กวนไป๋นั่งบนแท่นหิน กล่าวกับเฉินฉางเซิงในรถม้า “ขอโทษด้วย ข้ามิได้ตั้งใจให้จบลงเช่นนี้”
เฉินฉางเซิงตอบกลับไป “มิได้เป็นเพราะศิษย์พี่ ทั้งหมดล้วนเป็นปัญหาของข้าเอง”
กวนไป๋ตอบ “แต่อย่างไรเหตุการณ์ก็ดูเหมือนว่าเป็นเพราะข้า เจ้าคืออนาคตของนิกายหลวง สำคัญยิ่งกว่าข้ามากมายหลายเท่านัก หากข้ามีความสามารถของมนุษย์ในการต่อต้านเผ่ามาร เช่นนั้นแม้ข้าต้องตายสักหมื่นหน ก็คงมิอาจชดใช้ได้หมดสิ้น”
เฉินฉางเซิงกล่าว “ข้าได้ยินว่าศิษย์พี่ใช้เวลาสองสามปีมานี้ทำหน้าที่ในฐานะยอดฝีมือในกองทัพสยบมารแห่งแดนเหนือ ช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้าจะสามารถต่อสู้เคียงข้างศิษย์พี่ได้ เพียงแต่…”
ครั้นกล่าวเช่นนั้น เขาก็กลายเป็นเศร้าสร้อยขึ้นมา
เขายังคงมีสิ่งต่างๆ มากมายที่ยังไม่ได้ทำ มีหลายที่ที่ยังไม่ได้ไป แม้เคยไปยังทุ่งหิมะแดนมารมาแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เคยทำอะไรเพื่อพวกทหารที่นั่นเลย
แน่ทีเดียวว่ากวนไป๋ย่อมไม่เข้าใจความแฝงในคำพูดนั้น “สักวันคงมีโอกาส แล้วพบกันที่ทุ่งหิมะในอนาคต”
เฉินฉางเซิงพยักหน้า “แล้วพบกัน”
โก่วหานสือและคนอื่นๆ หยุดฝีเท้าแล้วบอกลาเขา
เฉินฉางเซิงมองทุกคนด้วยในหน้าสงบนิ่ง ทว่าอารมณ์ยิ่งละห้อยสร้อยเศร้าลงกว่าก่อน เขาใคร่ครวญกับตนเอง เป็นไปได้อย่างมากว่าข้าอาจไม่ได้พบทุกคนอีก
โก่วหานสืออยู่ใต้ต้นสน ทอดสายตามองขบวนรถม้าค่อยๆ เคลื่อนหายไปจากเส้นทางภูเขาจนลิบตา ใบหน้าเขานิ่งขรึม
กวนเฟยไป๋สับสนอยู่บ้าง “ไม่ว่าเขาจะบาดเจ็บร้ายแรงเพียงไร ป่วยหนักแค่ไหน หลังจากกลับคืนสู่จิงตู สังฆราชย่อมรักษาเขาด้วยตัวเองและเขาจะหายดีเป็นแน่แท้ แล้วศิษย์พี่ยังกังวลสิ่งใดอยู่อีกเล่า”
“เฉินฉางเซิงเป็นศิษย์เจ้าสำนักซาง และเจ้าสำนักซางก็คือนักพรตจี้ เราเคยเห็นความปราดเปรื่องด้านการแพทย์ของเขาแล้ว และเขาถือได้ว่าเป็นหมอเทวดา อีกทั้งศิษย์น้องหญิงสวีก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์มานานจนช่ำชอง หากทั้งสองมิอาจรักษาเขาได้ จะมีผู้ใดรักษาได้เล่า หากสังฆราชทำได้จริง แล้วเหตุใดศิษย์น้องหญิงสวีต้องกลับจิงตูพร้อมกับเขาด้วย”
โก่วหานสือกล่าวพลางพินิจพิเคราะห์ความคิดของตน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ ใบหน้าเขาขุ่นมัวลง เจียนจะกลายเป็นถมึงทึง
ครั้นได้ยินดังนั้น กวนเฟยไป๋ก็รู้สึกตัวขึ้นมา แล้วปรายตามองไปยังปลายเส้นทางภูเขา สดับฟังเสียงกีบเท้าดังกับๆ แผ่วเบาลงแล้วก็ถาม “เราควรทำอย่างไร อยากตามไปถามหรือไม่”
โก่วหานสือตอบ “ในเมื่อเขาไม่อยากพูด ถามไปจะได้ประโยชน์อะไร”
ขบวนรถม้ามุ่งหน้าลงใต้อย่างรวดเร็ว เหยียบย่ำลูกไม้ใบไม้ไประหว่างทาง เส้นทางภูเขาดารดาษด้วยรอยกีบเท้าม้ากอปรกับลูกไม้ใบไม้ที่ถูกบดขยี้
เฉินฉางเซิงไม่ได้อยู่ในรถม้าของนิกายหลวง ทว่าอยู่ในราชรถของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ มีศิษย์สถานศึกษาหนานซีคอยคุ้มครองเขา เตรียมพร้อมสร้างค่ายกลกระบี่ไว้ทุกขณะ ผ้าม่านมิอาจห้ามสายตาคนไม่ให้สงสัยใคร่รู้ได้ แต่กระบี่ของพวกเขาปิดกั้นสายตาเหล่านั้นจากการรบกวนคนภายใน
เฉกเช่นในบ้านริมทะเลสาบ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์สั่งห้ามมิให้ผู้ใดสัมผัสตัวเฉินฉางเซิง
ตามกฎแล้ว แม้สวีโหย่วหรงจะเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ด้วยฐานะสูงส่งยิ่ง แต่เฉินฉางเซิงก็เป็นถึงว่าที่สังฆราช เพราะฉะนั้นคนของนิกายหลวงจึงไม่มีเหตุผลที่จะยอมรับการจัดการเช่นนี้ แต่อาจเป็นเพราะว่าเคยมีสัญญาหมั้นหมายมาก่อน หรือไม่ก็เพราะเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มิอาจต่อต้านได้ เหมาชิวอวี่และราชันย์แห่งหลิงไห่จึงมิได้ทำอะไรเป็นการโต้แย้งแต่อย่างไร
แน่นอนว่าเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ เฉินฉางเซิงเองก็ไม่ได้คัดค้านแผนการนี้ ถังซานสือลิ่วผู้ล่วงรู้ความลับของพวกเขา ย่อมไม่คัดค้าน ในขณะที่เจ๋อซิ่วนั้นยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เขาหานซานห้าร้อยลี้อยู่เบื้องหลังขบวนรถม้าที่วิ่งไปอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านประตูอันมีอักษรเขียนว่า ‘หอความลับสวรรค์’ แล้ว ขนวนก็มาถึงหมู่บ้านตีนเขาอย่างฉับพลัน ผู้ศรัทธาในหมู่บ้านล้วนพากันคุกเข่าลงตามข้างทางประดุจเกลียวคลื่น แม้แต่ชาวนาในไร่นาก็ยังคุกเข่าลง ทว่าการกระทำของพวกเขามิอาจทำให้รถม้าที่มีเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และว่าที่สังฆราชประทับอยู่ชะลอช้าลงได้แม้แต่เพียงนิดเดียว สุดท้ายพวกชาวบ้านก็เห็นเพียงฝุ่นคลุ้งและขบวนรถม้าที่เลือนราง
พายุหิมะอันเยือกเย็นของทุ่งหิมะขวางกั้นเขาหานซานเอาไว้ และที่ราบแดนเหนือช่วงต้นฤดูสารทก็ยังคงเขียวชอุ่มอยู่ ใกล้ๆ กันนั้นสามารถมองเห็นต้นไม้ออกผลมากมายและเถาถั่วแตกยอดอ่อน ทว่าหากมองไกลออกไป ก็จะเห็นว่าความเขียวขจีที่บ่งบอกถึงชีวิตนั้น ค่อยๆ แห้งแล้งลงประกอบกับพายุทรายที่เส้นขอบฟ้า อันเป็นเฉกเช่นดินแดนรกร้างว่างเปล่าที่ซึ่งเกิดการต่อสู้ระหว่างมนุษย์และเผ่ามารก่อนหน้านี้
ผ้าม่านสะบัดขึ้นลงครั้นเมื่อสายโกรกพัดเข้ามา ทว่าสายลมมิอาจพัดต้องใบหน้าเขาได้ เฉินฉางเซิงรู้ว่าราชรถคันนี้มีค่ายกลบางอย่างอยู่ เพื่อบ่งบอกถึงสถานะและเกียรติยศของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ แต่กระนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่ามันฟุ่มเฟือยเกินไป เขาอยากพูดอะไรสักหน่อย แต่ดูจะเป็นการไม่เหมาะสม เมื่อเขามองเห็นทัศนียภาพกว้างใหญ่ไกลออกไป ความคิดเขาก็ล่องลอยไปที่อื่น
เขามองดูที่ราบซึ่งดูเหมือนจะมีกองทหารม้ามากมายนับไม่ถ้วนแล้วเอ่ยว่า “เมื่อวานนี้ความลับสวรรค์มองดูข้าใกล้ตายอย่างเย็นชา เช่นนั้นแล้ว… ผู้ที่ภักดีต่อจักรพรรดินีหลายคนก็คงอยากให้ข้าตายเช่นกัน ใช่หรือไม่”
กองทัพของราชวงศ์ต้าโจวล้วนแต่อยู่ใต้บังคับบัญชาของขุนพลเทพสามสิบนายทั้งสิ้น นอกจากฮั่นชิงผู้รักษาการณ์สุสานเทียนซูแล้ว ขุนพลเทพทุกคนก็เป็นเฉกเช่นชิวซานจวินและสวีโหย่วหรง ล้วนแต่ภักดีต่อองค์จักรพรรดินี
ในการเดินทางจากหานซานสู่จิงตูอันแสนยาวนาน พวกเขาจะผ่านหุบเขาโตรกธารและเมืองยุทธศาสตร์มากมาย หากทั้งสองฝ่ายเกิดขัดใจกันขึ้นมา ขบวนรถม้าอาจถูกไพร่พลทหารโจมตีเมื่อไรก็ได้ ดูเอาเถิด แม้แต่การเดินทางกลับนครจิงตูของเขาก็ยังไม่เรียบง่ายเลย
สวีโหย่วหรงยังคงบาดเจ็บจากการรักษา นางแทบไม่ได้นอนพักทั้งคืน ร่างกายอ่อนระโหยโรยแรงอย่างที่สุด และหลังจากออกจากหานซานแล้ว นางจึงหลับตาพักผ่อน ครั้นได้ยินเสียงทอดถอนใจของเขา นางจึงลืมตาแล้วทอดมองไกลออกไป ก่อนเอ่ยว่า “นั่นขึ้นอยู่กับว่าความลับสวรรค์จะแจ้งจิงตูเรื่องของเจ้าหรือไม่ เขาจะแจ้งกับใคร และข่าวนี้จะไปถึงจวนขุนพลเทพก่อนเราไปถึงจิงตูหรือไม่ แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจ ถึงแม้ว่าการรอดชีวิตของเจ้าจะมีผลกระทบต่อจักรพรรดินี แต่ทำไมการดำรงอยู่ของเจ้าจึงต้องมีผลกระทบต่อนางด้วยเล่า”
เฉินฉางเซิงมองเข้าไปในตานางแล้วกล่าว “ข้าได้อ่านบันทึกของหวังจือเซ่อในหอหลิงเยียนแล้ว”
นี่เป็นความลับที่อาจารย์บอกแก่เขาที่เขาไม่เคยบอกใครมาก่อน กระนั้นก็ไม่เคยคิดจะปิดบังสวีโหย่วหรง เลือดเขาไหลเวียนอยู่ในกาย และเลือดนางก็ไหลรวมกับเลือดเขา ไม่มีสิ่งใดที่ดีไปกว่าการหลอมรวมเลือดแล้วที่จะทำให้เชื่อใจกันและกัน
นานทีเดียวกว่าเขาจะจบประโยค
สวีโหย่วหรงมองเขาก่อนกล่าว “เจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าพูด แม้ว่าจักรพรรดินีจะเปลี่ยนชะตาได้ในตอนนั้นจริง แต่มันก็มิอาจเป็นเพราะข่าวที่เล่าลือกันในตลาด”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์คือผู้ปกครองโลกมนุษย์โดยพฤตินัยมากว่าสองร้อยปีแล้ว แม้ผลงานในการทำสงครามกับเผ่ามารของนางจะไม่เป็นที่น่าพอใจ ทั้งนางยังปฏิบัติกับศัตรูด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมอย่างที่สุด แต่กระนั้นการปกครองคนของนางก็ถือได้ว่ายอดเยี่ยมไร้ที่ติ แม้แต่ศัตรูก็ยังไม่อาจครหานางได้ในเรื่องนี้ ทว่าตอนนี้มีคำร้องเรียนส่งมาถึงนางทั้งในและนอกวังหลวงอย่างมากมาย นางไม่ได้รับแม้แต่ความเคารพรักจากชาวบ้านธรรมดา ผู้สนับสนุนเรื่องนี้ก็คือผู้เป็นตำนานชั่วร้ายรอบกายนาง โดยเฉพาะผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุด
ลือกันว่าเพื่อจะท้าทายสวรรค์พลิกโชคชะตามาเป็นจักรพรรดิหญิงของโลก จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้ยกบุตรของตนให้แก่ท้องฟ้าดวงดาว ถึงขนาดบีบคอลูกชายคนแรกจนขาดใจตาย ครั้นแล้วจึงได้สำเร็จกลายมาเป็นจักรพรรดินี…
“ข้าก็ไม่อาจจินตนาการถึงเรื่องเลวร้ายเพียงนั้นได้ และไม่คิดจะใช้ข่าวลือปรักปรำจักรพรรดินี แต่เจ้าควรรู้ไว้ว่าจักรพรรดินีก็อยู่กับจักรพรรดิเซียนมาหลายปีแล้ว กระนั้นก็ยังไม่มีทายาทแม้แต่คนเดียว”
เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “จักรพรรดินีอาจมิได้กระทำการเลวทรามเช่นฆ่าลูกตนเองอย่างสมัครใจ แต่ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่านี่คือราคาที่เทียนเต้าต้องการจากนาง หรือไม่ก็เป็นสิ่งที่ต้องใช้เพื่อท้าทายสวรรค์เปลี่ยนโชคชะตา”
สวีโหย่วหรงถาม “เจ้าต้องการพูดสิ่งใด”
เฉินฉางเซิงมองไปยังที่ราบเขียวขจีใกล้ๆ และทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาลไกลออกไป หลังจากเงียบงันอยู่นาน เขาก็พูดขึ้นในที่สุด “การเปลี่ยนโชคชะตาของจักรพรรดินี…ยังไม่สำเร็จ”
สิ้นเสียงเขาโลกก็พลันมัวหม่น กลุ่มเมฆจากที่ใดก็ไม่ทราบ เคลื่อนมาบดบังดวงอาทิตย์เอาไว้ เสียงฟ้าร้องคำรามดังมาคราหนึ่ง หยาดฝนก็ร่วงพรูลงมาจากท้องฟ้า