ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 98 ยืนอยู่ในแสง
ถังซานสือลิ่วเปิดจดหมายแล้วอ่านถ้วนทั้งสิ้น ก็ตระหนักว่าเฉินฉางเซิงได้ยินที่เขาพูดก่อนหน้านี้และเป็นกังวลว่าเขาจะสร้างปัญหาขึ้น จึงเขียนจดหมายมาอธิบาย ในจดหมายเขาบอกว่าเขาบาดเจ็บแต่ไม่ร้ายแรงนัก เพียงแค่ต้องการการรักษาระยะยาวจากแสงศักดิ์สิทธิ์ของสวีโหย่วหรง ยิ่งไปกว่านั้นสวีโหย่วหรงเองก็เป็นหญิงสาววัยหัวเลี้ยวหัวต่อ จึงทำอะไรเกินคาดหมายไปบ้าง
คำอธิบายนี้มีเหตุผลแต่ก็ไม่อาจจะทำให้ถังซานสือลิ่ววางใจได้ อย่างไรก็ตาม ในการเดินทางกลับจิงตู เขาไม่คิดว่าจะสร้างปัญหาอะไร จึงเตรียมจดหมายตอบให้เยี่ยเสี่ยวเหลียนนำกลับไปมอบให้เฉินฉางเซิง แต่เขาต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าศิษย์สถานศึกษาหนานซีนั้นมีสีหน้าไม่พอใจ สายตาที่จับจ้องมาที่เขานั้นปานจะกินเขาทั้งเป็น
สองปีก่อนบนถนนเสินของราชวังหลี เขาเคยกล่าวดุว่าศิษย์ของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ จนนางต้องร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่น สำหรับเขาแล้วนั่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยจนเกือบลืมไปแล้ว กระทั่งตอนที่เฉินฉางเซิงพูดถึงขึ้นมาเขาถึงรู้ว่านางเป็นเด็กหญิงจากเมื่อสองปีก่อน
“อย่ามองข้าเช่นนั้น ตอนนั้นเจ้าเป็นฝ่ายหาเรื่องเอง ที่ข้าทำไปก็เป็นเพียงแค่การป้องกันตัวเท่านั้น”
เจ๋อซิ่วกล่าวกับเยี่ยเสี่ยวเหลียนอย่างหนักแน่น “ผู้ใดหาเรื่องคนอื่นคือคนสถุล ข้าหวังว่าเจ้าจะเห็นด้วยกับหลักการนี้”
อย่าว่าแต่มันไม่มีหลักการอย่างว่านี้อยู่ในโลก เมื่อพูดถึงคำว่า ‘สถุล’ แล้วก็ยากนักที่จะหาคนที่เหนือกว่าเขาในเรื่องนี้
เยี่ยเสี่ยวหลินรู้ดีว่าไม่ควรจะไปต่อปากต่อคำด้วย นางจึงแค่จ้องมองต่อไป
ถังซานสือลิ่วก้มหน้าเขียนจดหมาย พลางกล่าวว่า “ช่วงนี้ดูเหมือนศิษย์สถานศึกษาหนานซีจะขุ่นเคืองไม่น้อย”
เยี่ยเสี่ยวหลินคิด ใครได้เห็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ดูแลเฉินฉางเซิงอย่างแข็งขันช่วงหลายวันมานี้ก็ต้องอารมณ์ไม่ดีกันทั้งนั้นแหละ
ถังซานสือลิ่วเขียนตอบอย่างรวดเร็วและยัดจดหมายใส่มือนาง เพียงเห็นสีหน้านางเขาก็เดาได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ “เขาบาดเจ็บอยู่ เจ้าก็อย่าได้ใจแคบเกินไป”
เยี่ยเสี่ยวหลินไม่อาจทนได้อีกต่อไป ตอบกลับไปว่า “หากเขาบาดเจ็บเราก็ดูแลเขาได้ เหตุใดต้องให้เจ้าสำนักเป็นคนดูแลด้วยตัวเองด้วย”
ถังซานสือลิ่วคิด เรื่องนั้นข้ากับเจ๋อซิ่วก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้กล่าวเช่นนั้น แต่ตอบไปว่า “พวกเขามีสัญญาหมั้นหมายกัน จึงเป็นเรื่องที่สะดวกกว่า”
เยี่ยเสี่ยวหลินกล่าวแก้อย่างจริงจัง “พวกเขาเคยมีสัญญาหมั้นหมาย การหมั้นได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ด้วยตัวของเฉินฉางเซิงเอง”
……
……
“ใครได้เห็นก็ต้องคิดว่าพวกเขาเป็นคู่รักกัน คงยากที่จะคิดได้ว่าการหมั้นของทั้งสองได้ถูกยกเลิกไปนานแล้ว”
เหมาชิวอวี่และราชันย์แห่งหลิงไห่ยืนอยู่บนหญ้าข้างทาง มองดูราชรถตรงหน้า
ราชันย์แห่งหลิงไห่มองเหมาชิวอวี่ ต้องการจะถามว่าสิ่งที่เพิ่งกล่าวออกมานั้นมีความหมายลึกล้ำอันใดหรือไม่
เหมาชิวอวี่มองกลับมาและตอบอย่างสุขุม “สถานการณ์ในปัจจุบันนั้นชัดเจนมาก เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คงต้องแต่งกับเฉินฉางเซิง ทางฝั่งเจ้าเตรียมตัวกันหรือยัง”
ราชันย์แห่งหลิงไห่ไม่พูดอะไร สีหน้าเคร่งเครียด ด้วยฐานะของนางในตอนนี้ไม่มีใครเรียกร้องให้สวีโหย่วหรงทำตามวิถีทางโลกอย่างเช่นเรื่องการเป็นภรรยา อย่างไรก็ตาม หากสวีโหย่วหรงแต่งงานกับเฉินฉางเซิงจริง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำเหมือนเขาเป็นศัตรู เมื่อคิดถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของสวีโหย่วหรงบนหานซานเขาก็รู้สึกเย็นเยียบขึ้นมา
เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เป็นพันธมิตรในแดนใต้ของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ในยามที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ผลักดันการบรรจบกันของเหนือใต้ นางก็ได้รับการสนับสนุนจากเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนก่อนอย่างมาก เมื่อรวมกับเรื่องที่รู้กันทั่วไปว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์นั้นทำเหมือนสวีโหย่วหรงเป็นบุตรีของนางเอง เป็นใครก็คิดได้ว่าสถานการณ์นี้จะไม่เปลี่ยนไปอีกเป็นเวลานาน
แต่ถ้าหากเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนปัจจุบันแต่งงานกับเฉินฉางเซิงจริงๆ แล้วเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จะยังคงสนับสนุนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ต่อไปหรือไม่
……
……
ดังเช่นที่สวีโหย่วหรงได้กล่าวไว้ การเดินทางหมื่นลี้จากหานซานถึงจิงตูนั้นปลอดภัยไร้ปัญหาอันใด
ภายใต้แสงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้า ขบวนรถม้าหลายสิบคันก็เคลื่อนเข้าสู่จิงตู ดอกไม้แดงที่ส่ายไหวอยู่ในทุ่งหญ้าเป็นเวลานานก็หายไปอย่างเงียบงัน ในขณะที่ชายสวมหมวกไม้ไผ่ที่อยู่ไกลออกไปก็เดินทางไปยังภูเขาสูงเพื่อชื่นชมดวงดาวต่อไป
หลังจากเข้าสู่จิงตู ขบวนเดินทางก็ไม่ได้กระจายตัวไป ไม่ได้ไปยังสำนักฝึกหลวง ไม่ได้ไปวังหลวง ไม่ใช่จวนขุนพลเทพตงอวี้ แต่ทว่าทั้งขบวนเดินทางไปยังพระราชวังหลี
เหมาชิวอวี่และราชันย์แห่งหลิงไห่ยืนอยู่ใต้แนวต้นสนของถนนเสิน พวกเขาไม่ได้มองหน้ากัน แต่จ้องมองไปที่ปลายถนนเสิน
นอกเหนือไปจากคนทั้งสองแล้ว คนอย่างถังซานสือลิ่วและคนอื่นๆ ไม่มีโอกาสที่จะก้าวเข้ามาในถนนเสินด้วยซ้ำ
สวีโหย่วหรงผลักรถเข็นของเฉินฉางเซิงไปตามถนนเสิน ตลอดทางไปจนถึงตำหนักอันเงียบสงบที่อยู่ลึกที่สุดในพระราชวังหลี
สังฆราชยืนอยู่บนบันไดหินตรงหน้าตำหนักเพื่อต้อนรับพวกเขา
นี่เป็นการให้เกียรตินิกายหลวงฝ่ายใต้ของยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ และยังเป็นเพราะเขาเป็นห่วงอย่างล้ำลึกด้วยเช่นกัน
เฉินฉางเซิงนั่งอยู่บนรถเข็น ผ้าห่มขนแกะพาดอยู่บนไหล่ เขาดูเหมือนกับคนพิการอย่างมาก
ในความเป็นจริงแล้ว ผิวหน้าของเขาเปล่งปลั่ง ดูเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต เขาดูสุขภาพดีไม่เหมือนกับคนพิการแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นสังฆราชยืนอยู่ตรงหน้าตำหนัก สวีโหย่วหรงก็ไม่คิดว่ามันประหลาดแต่อย่างใด นางคำนับโดยที่ไม่ปล่อยมือทั้งสองจากรถเข็น
เฉินฉางเซิงกล่าวกับนาง “ข้ามีบางอย่างจะพูดกับอาจารย์อา ไปรอข้าที่อื่นก่อน”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งสวีโหย่วหรงก็ไม่ปฏิเสธการตัดสินใจของเขา และเดินไปยังห้องโถงด้านข้าง
เหล่านักบวชที่ยืนป้องกันอยู่ภายนอกตำหนักรู้ว่านางคือใคร ย่อมไม่กล้ารบกวนนาง ดวงตาของพวกเขาแสดงความตกใจออกมา ก่อนโค้งคำนับและกระจายตัวกันออกไปบอกเล่าให้คนอื่นฟัง
สวีโหย่วหรงไม่สนใจสายตาพวกเขา เดินเข้าไปในห้องโถงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
โถงตำหนักนี้สูงและกว้างขวางอย่างมาก แลดูใหญ่โอ่อ่าอย่างที่สุด รูปสลักอยู่บนกำแพงหินเป็นเรื่องราวนับไม่ถ้วนจากคัมภีร์เต๋า รวมถึงคำสอนมากมายของผู้ที่ได้รับการนับถือในอดีต
นี่คือห้องโถงใหญ่ของนิกายหลวง โถงตำหนักแสงสว่าง
นิกายหลวงนั้นแบ่งออกเป็นฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ ฝ่ายเหนือให้ความนับถือสังฆราชในขณะที่ฝ่ายใต้นับถือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้นำ เป็นเวลาหลายปีมากแล้ว การต่อสู้ทั้งลับและเปิดเผยระหว่างทั้งสองฝ่ายได้สร้างเรื่องราวมากมายนับไม่ถ้วน หลังจากนั้นสถานการณ์ก็ค่อยๆ สงบลงและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของแดนใต้หลายคนก็ได้มายังจิงตู ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีต้นกำเนิดร่วมกัน จึงเป็นสิทธิ์อันถูกต้องที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จะพำนักอยู่ในพระราชวังหลี แต่เนื่องจากมีความแตกต่างระหว่างฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ จึงไม่เคยมีเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนใดได้ก้าวเข้าสู่โถงตำหนักแสงสว่างมาก่อน
เมื่อครั้งสวีโหย่วหรงยังเด็ก นางมาเล่นที่วังหลวงและพระราชวังหลีอยู่บ่อยๆ ทั้งยังเคยแอบเข้ามาเล่นซ่อนหาในโถงตำหนักแสงสว่างแห่งนี้
แต่นางในตอนนี้คือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ การก้าวเข้าสู่โถงตำหนักแสงสว่างนั้นจึงมีความหมายต่างไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อนักพรตซือหยวนได้ยินข่าวนี้ เขาก็รีบมาพร้อมกับมุขนายกหลายท่านด้วยหวังจะเชิญนางออกไปด้วยความเคารพ
“ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้า ข้าแค่หวังจะอยู่ที่นี่เงียบๆ ตามลำพังในที่แห่งนี้” สวีโหย่วหรงกล่าว
นักพรตซือหยวนและพวกมุขนายกเหล่านั้นล้วนพูดอะไรไม่ออก เพียงแต่คิดในใจ หากท่านต้องการอยู่เงียบๆ แล้วจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ด้วยหรือ
ท่านไม่ทราบหรือว่าจะสร้างความตื่นตะลึงเพียงใดหากข่าวเรื่องเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ก้าวเท้าเข้าสู่โถงตำหนักแสงสว่างแพร่ออกไป
สวีโหย่วหรงไม่พูดอะไรอีก นางเพียงไพล่มือไว้ด้านหลังและยืนอย่างเงียบๆ อยู่ใต้แท่นบูชา มองดูภาพวาดสูงสามสิบกว่าจั้งบนผนังพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
นักพรตซือหยวนได้แต่นำเหล่ามุขนายกออกจากโถงตำหนักแสงสว่างไปรออยู่ด้านนอกอย่างไม่อาจทำอะไรได้
แม้ว่าจะเป็นเวลาค่ำมืดแล้ว โถงตำหนักแสงสว่างก็ยังสว่างเจิดจ้า เนื่องจากลำแสงอ่อนโยนที่แผ่ออกมาจากเสา ผนัง รวมถึงรูปสลักต่างๆ
สวีโหย่วหรงยืนอยู่ในแสงสว่าง บางทีอาจเพราะว่าลำแสงนั้นเจิดจ้าเกินไป ใบหน้านางจึงดูขาวซีด