ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 1 ผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่ง
โรยกษัย คือมรรตัย ใช่สวรรค์
ฉงหยางนั้น หมุนเปลี่ยน เวียนปีหน
เฉกปีนี้ ที่ล่วงหน้า มาบันดล
บุษปรงค์ เหลืองสุคนธ์ ล้นกำจาย
สามวันต่อมา จิงตูกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อยแล้ว
วังหลวงได้รับการป้องกันอย่างหนาแน่นจากกองทัพอวี่หลิน สีหน้าเย็นชาหนักแน่นเหมือนเช่นเคย หากไม่สังเกตให้ถ้วนถี่ จะไม่อาจเห็นความเหนื่อยล้าและความขุ่นมัวเล็กน้อยบนใบหน้าพลทหารเหล่านี้ได้เลย ภายใต้คำสั่งอันเข้มงวด กองทหารรักษาประตูเมืองทำการลาดตระเวนตามตลาด จับตัวกบฏที่ยังหวังจะอาศัยความวุ่นวายก่อเรื่องได้มากมาย ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาในเรื่องความสงบปลอดภัย
ประชาชนเริ่มออกมาใช้ชีวิตอีกครั้ง ในยามว่างพวกเขาไม่ได้ไปยังโรงน้ำชา พูดคุยเรื่องการเมืองขณะลอบสบถด่าทอจักรพรรดินีมารที่ปกครองอย่างชั่วร้ายอีกต่อไป ทว่าเปลี่ยนเป็นกลับบ้านเร็ว ปิดประตูลงกลอน กันคลื่นลมทั้งหมดไว้ภายนอก ดังหนึ่งว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดด้วย ผู้คนในจิงตูเห็นมามากเกินไป ได้ยินมามากเกินไป ไม่ต้องพูดเรื่องการยึดอำนาจที่สวนร้อยหญ้า แค่เหตุนองเลือดที่สำนักฝึกหลวงเมื่อยี่สิบปีก่อน มีคนจำนวนมากมายเห็นกับตาตนเองว่าเป็นภาพที่น่าสยดสยองเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นการยึดอำนาจ ก่อกบฏ การกำจัดขุนนางชั่วที่อยู่ฝ่ายจักรพรรดิหรือการเข้าสู่ยุคใหม่ พวกเขาล้วนพบเห็นมามากเกินไป ดังนั้น นี่จึงไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพวกเขา และพวกเขาก็รออย่างเงียบงันให้วิกฤตการณ์สร่างซาไปเอง
อากาศช่วงหลายวันมานี้นับว่าดีทีเดียว บรรยากาศสดชื่นแจ่มใสในฤดูใบไม้ร่วง ดวงอาทิตย์เจิดจ้าลอยอยู่เหนือท้องฟ้าสีคราม ใบไม้ร่วงกราวอย่างอ่อนโยน ประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย ทว่าไม่มีผู้คนเดินถนน เมืองจิงตูเงียบก็จริง แต่ไม่อาจเรียกได้ว่าเงียบสงบ เป็นความเงียบงันราวความตาย เพราะสุดท้ายแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งยวด
ในรุ่งอรุณที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่สวรรคต นักพรตหนุ่มพร้อมกับซางสิงโจวอดีตเจ้าสำนักฝึกหลวง อ๋องสกุลเฉิน และเหล่าขุนนางมากมาย เดินทางจากสุสานเทียนซูไปยังวังหลวง จากนั้น ในราชสำนักเขาก็ได้รับการถวายบังคมจากเหล่าขุนนางอีกครั้ง ขึ้นสู่บัลลังก์อย่างเป็นทางการ
ว่ากันว่านักพรตหนุ่มผู้นี้คือรัชทายาทเจาหมิงผู้หนีออกจากวังหลวงไปเมื่อหลายปีก่อนตัวจริง
สิ่งแรกที่จักรพรรดิองค์ใหม่ทำหลังขึ้นครองบัลลังก์ก็คือ ออกบรมราชโองการ ราชโองการนี้มีถ้อยคำมากมายและซับซ้อนยิ่งนัก แม้แต่ขุนนางกรมพิธีการยังไม่อาจจดจำรายละเอียดได้ทั้งหมด แต่ต่อให้คนโง่ที่สุดก็ยังเข้าใจถึงเจตนาพื้นฐานของประกาศนี้ ทุกอย่างที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นผิด ทุกคนที่นางลงโทษล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ ด้วยเหตุนี้จึงมีการมอบรางวัลและลงทัณฑ์ตามมาเช่นกัน
รางวัลทั้งหลายประทานให้เหล่าขุนนางในราชสำนัก ส่วนขุนนางที่ภักดีต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ล้วนถูกจำคุก ขุนพลเทพต่างได้รับการยกย่อง ส่วนขุนพลเทพที่ภักดีต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่หากไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัส หรือไม่ก็ต้องแปรพักตร์ ในส่วนบทลงโทษกลับเรียบง่ายกว่า มีเพียงคำเดียว ‘ประหาร’
ว่ากันว่าลมฝนฤดูใบไม้ร่วงนั้นเหมาะแก่การสังหารผู้คน ไม่กี่วันมานี้ฤดูใบไม้ร่วงเย็นฉ่ำสดใส ไม่มีลมพัดหรือฝนโหมกระหน่ำ ทว่าผู้คนก็ยังตายไปมากมาย
สุดท้ายคนที่ควรตายและต้องตายต่างก็ตายหมดแล้ว ผู้คนมากมายเริ่มมองไปยังที่แห่งหนึ่ง ตามเหตุผลแล้ว ทุกคนควรมองไปทางวังหลวงและพระราชวังหลี ทว่าพวกเขากลับอดมองไปยังที่แห่งนั้นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันไม่ได้
ที่ดังกล่าวก็คือสำนักฝึกหลวง
มีน้อยคนที่รู้ว่าเช้าวันนั้นเฉินฉางเซิงได้แบกร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กลับคืนสู่สำนักฝึกหลวง นับจากนั้นมาประตูสำนักฝึกหลวงก็ไม่เคยเปิดอีกเลย แม้แต่ผักผลไม้ที่หอเฉิงหูเสี่ยงส่งไปก็ไม่ถูกรับเข้าไป เพราะประตูสำนักไม่เปิด และเพราะสำนักฝึกหลวงถูกล้อมเอาไว้
ทหารม้าเกราะดำสองพันนายล้อมสำนักฝึกหลวงเอาไว้อย่างแน่นหนา ทั้งสวนร้อยหญ้าและตรอกไป๋ฮวาเต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญเพียร น้อยคนนักที่จะรู้ว่าสิ่งแรกที่จักรพรรดิคนใหม่ทำหลังขึ้นครองบัลลังก์ไม่ใช่ออกพระราชโองการ แต่ออกคำสั่งให้เฝ้าสำนักฝึกหลวง ห้ามไม่ให้คนเข้าออก ใครขัดขืนต้องโทษประหาร
ในรายละเอียดปลีกย่อย ผู้คนที่มาคุ้มกันสำนักฝึกหลวงก็คือเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยและเหอจวิ้นอ๋อง
เหอจวิ้นอ๋องเป็นน้องร่วมมารดาของเซียงอ๋อง ทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด อดีตเขาเคยถึงขนาดระบายแค้นแทนเซียงอ๋อง สังหารขุนนางที่มาจากวังหลวง เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเป็นทายาทที่โดดเด่นของตระกูลเทียนไห่ มีความแค้นกับนิกายหลวง แม้ว่าเรื่องจะดูเหมือนจบไปแล้วก็ตาม ที่สุดแล้วเหตุใดวังหลวงถึงส่งคนทั้งสองมาดูแลเรื่องนี้ จักรพรรดินีเทียนไห่ก็ตายไปแล้ว เช่นนี้ความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่างตระกูลเทียนไห่กับตระกูลเฉินยังต้องดำเนินต่อไปหรือไม่
คนที่รู้เรื่องต่างปิดปากเงียบ สายตาจับจ้องไปที่สำนักฝึกหลวงด้วยความซับซ้อน ด้วยว่าร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่อยู่ภายในนั้น คนที่ไม่รู้เรื่องราวก็พูดคุยกันลับๆ อยู่ภายในบ้าน สายตาจ้องมองไปที่สำนักฝึกหลวงเปี่ยมไปด้วยความสงสัย เห็นใจหรือยินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่น
คืนนั้นเมื่อสามวันก่อนยาวนานอย่างยิ่ง เริ่มจากตอนที่เฉินฉางเซิงออกจากสำนักฝึกหลวง ไปเล่นงานโจวทงปางตายในสวนไห่ถังตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง จากนั้นเขาก็ถูกนิกายหลวงส่งกลับสำนักฝึกหลวง แล้วก็ถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่พาตัวขึ้นยอดเขาเทียนซู ในตอนที่ทุกคนเชื่อว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่จะสังหารเขา จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กลับปล่อยเขาไปด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้ หลังจากนั้นเหล่ายอดฝีมือในโลกหล้าก็มารวมตัวกันที่จิงตู ในที่สุดดวงจิตจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็คืนสู่ทะเลดวงดาว….ในคืนเดียวเหตุการณ์สะท้านโลกเกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นเรื่องที่ไม่สำคัญเท่าและรายละเอียดอื่นๆ จึงถูกลืมเลือนไปเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตาม ทั่วโลกไม่อาจลืมคำพูดซางสิงโจวได้
เฉินฉางเซิง…ไม่ใช่รัชทายาทเจาหมิง ไม่ใช่ลูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ เป็นเพียงตัวปลอมที่มีไว้เพื่อความปลอดภัยของฝ่าบาทเท่านั้น เป็นเหยื่อล่อเพื่อลดกำลังจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ตอนนี้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็สวรรคต และฝ่าบาทก็ขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ดังนั้นเขายังมีประโยชน์อันใดอีก เมื่อไม่มีคนหนุนหลังส่งเสริมพรสวรรค์ให้เฉินฉางเซิง แล้วจะมีประโยชน์อันใด ทุกคนยอมรับว่าตอนที่เขาพยายามสังหารโจวทง เขาได้แสดงความกล้าหาญและความสามารถอันยากจะหาได้ ทว่า…หากไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น ใต้เท้าโจวทงที่มีบทบาทสำคัญในการก่อกบฏครั้งนี้ มั่นใจได้ว่าจะมีบทบาทสำคัญในราชสำนักใหม่เช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้น เฉินฉางเซิงยังจะมีที่ใดให้ไปได้อีก
เมื่อผู้แข็งแกร่งคิดถึงทหารม้าเกราะดำที่ล้อมสำนักฝึกหลวงอยู่ในตอนนี้ พวกเขาก็เชื่อว่าในเวลาไม่นาน จะมีคำสั่งใหม่ลงมา และเฉินฉางเซิงจะเสียทุกอย่างที่เคยมีไป เจ้าสำนักฝึกหลวง ผู้สืบทอดตำแหน่งสังฆราช ล้วนเป็นเสมือนแสงดาวที่สะท้อนอยู่บนแม่น้ำลั่ว สุดท้ายแล้วก็ไม่มีสิ่งใดเป็นจริง
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยมองดูประตูสำนักฝึกหลวงที่ปิดแน่น คิดถึงรอยยิ้มเย้ยบนใบหน้าบิดาตลอดสองคืนที่ผ่านมา คิดถึงใบหน้ายินดีของครอบครัวเทียนไห่หยาเอ๋อร์ สีแดงผิดปกติปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีดขาวของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยในยามที่เขากล่าว “โยนเขาทิ้งในทันทีที่เรื่องราวได้บทสรุป นี่ไม่เท่ากับทำกับเขาเหมือนเป็นผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งหรอกหรือ”
เหอจวิ้นอ๋องรู้ว่าเขาพูดถึงเฉินฉางเซิง จึงเย้ย “ใครจะไปรู้ว่าเขาเป็นลูกสำส่อนจากไหน ก็แค่โชคดีท่านเจ้าสำนักซางเลือกให้เป็นตัวปลอมของฝ่าบาท ก่อกวนลมฝนมากมายหลังจากเข้ามาในจิงตู แต่สุดท้ายแล้ว ตัวหมากอย่างไรก็คือตัวหมาก เขายังคิดว่าตนสามารถครอบครองสิ่งที่ไม่มีสิทธิ์ถือครองอีกหรือ”
……