ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 10 ปิดเมือง
การเปิดจดหมายจะนำมาซึ่งความตายของผู้อื่น จากนั้นก็นำความตายมาสู่ตัวเอง ทว่าเฉินฉางเซิงไม่สนใจแม้แต่น้อย
ดังที่เขากล่าวกับหลินกงกง เขาในตอนนี้ไม่กลัวตายอย่างแท้จริง เพราะไม่มีเรื่องใดที่เขาไม่อาจปล่อยวางอีกต่อไป
ผู้คนเรื่องราวทั้งหมดในโลกนี้ไม่มีความหมายกับเขาอีก เพราะสามวันก่อน เขาได้ตระหนักว่าการมีอยู่ของเขาก็ไม่มีความหมายอะไรตั้งแต่แรกแล้ว
เขายืนที่ประตูหอตำราซึ่งพังทลายลง กำจดหมายเอาไว้ รอให้เวลานั้นมาถึงอยู่เงียบๆ
สายลมฤดูใบไม้ร่วงม้วนรอบทะเลสาบ วงแสงทอดยาวข้ามต้นไทรใหญ่ที่ยังเขียวขจี ขัดแย้งกับสีเหลืองทองของต้นหญ้า
เวลาผ่านไปช้าๆ สำนักฝึกหลวงยังคงสงบเงียบ
เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้นมองประตู คิ้วเลิกขึ้นช้าๆ ราวกับใบไม้ร่วงที่ถูกลมพัดขึ้น
เสียงฝีเท้าม้าราวฟ้าร้องคำรามได้หยุดลง ณ จุดหนึ่ง ฝุ่นที่ลอยอยู่นอกกำแพงค่อยๆ จางลงและไม่ลอยขึ้นมาอีก
ประตูยังคงปิดแน่น กำแพงไม่ถูกแตะต้อง ใบไม้ร่วงลงสู่ผิวน้ำในทะเลสาบ ล่อปลาหลายตัวขึ้นมา
ทั้งหมดล้วนสงบสุข ไม่มีใครบุกเข้ามาในสำนักฝึกหลวง
ไม่มีใครปรากฏตัว ไม่ใช่ทหารม้าเกราะดำหรือพวกมือสังหารกับยอดฝีมือจากกองทัพต้าโจวหรือกรมอาญาที่ซ่อนตัวอยู่ภายนอกกำแพงและในป่า
ซูม่ออวี๋ รวมถึงพวกนักเรียนและอาจารย์สำนักฝึกหลวงที่ปกป้องประตูไว้อย่างหนาแน่น มองเห็นได้อย่างใกล้ชิดกว่า
พวกเขาเห็นสภาพอันน่าอนาถของหลินกงกง ก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในหอตำรา พวกเขาตกใจกับความแข็งแกร่งที่เฉินฉางเซิงซ่อนเอาไว้ และยังเข้าใจถึงทางเลือกที่เขาตัดสินใจ
สำนักฝึกหลวงได้มาอยู่ในจุดที่วิกฤติที่สุดแล้ว
หลังจากหลินกงกงจากไป ประตูสำนักฝึกหลวงก็ปิดแน่นอีกครั้ง ที่ผิดคาดก็คือโลกภายนอกประตูก็พลันเงียบงันไป
พวกเขาตึงเครียดอย่างมาก ความสงบอย่างฉับพลันนี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาผ่อนคลาย ทว่ารู้สึกว่ามันประหลาดมากเท่านั้น
เสียงฝีเท้าที่ดังปานฟ้าคำรามเมื่อครู่นี้เป็นของจริง ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนได้ยิน
จิตสังหารเย็นเยียบก็เป็นของจริง ความเย็นเยียบแทรกผ่านชุดของพวกเขา
ประกายกระบี่ไหลไปราวกับสายน้ำ สะท้อนกลิ่นอายฤดูใบไม้ร่วง
ค่ายกลกระบี่ของสถานศึกษาหนานซีเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เยี่ยเสี่ยวเหลียนลอยออกมาจากใจกลางค่ายกลและเดินออกมาด้านหน้า ถามซูม่ออวี๋ “เกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น”
ซูม่ออวี๋เผยสีหน้าเด็ดเดี่ยวและเดินออกมา สองมือผลักประตูเปิดออก
เมื่อประตูเปิดออก ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าอาจารย์และนักเรียนสำนักฝึกหลวง
แสงลอดผ่านประตูมา ตามมาด้วยสายลมสดใสสองสาย
ชายชรายืนอยู่บนบันไดหินตรงหน้าสำนักฝึกหลวง หันหลังให้กับพวกเขา แขนเสื้อกว้างทั้งสองข้างพลิ้วไหวในสายลม
ซูม่ออวี๋ตกใจอยู่บ้าง “เจ้าสำนักเหมา?”
เขาคือ ‘แขนเสื้อคู่ในสายลม’ เหมาชิวอวี่ อดีตเจ้าสำนักเทียนเต้า ตอนนี้เป็นมหามุขนายกวิหารอิงหัว แต่นักเรียนของหกสำนักไม้เลื้อยอย่างซูม่ออวี่ยังคงคุ้นเคยกับการเรียกเขาว่าเจ้าสำนัก
ก่อนที่ซูม่ออวี๋จะตื่นจากความตกใจ เขาก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อเห็นร่างของคนอื่นในที่นี้
มหามุขนายกที่รู้จักในนามนักพรตไป๋สือ อันหลิน นักพรตซื่อหยวนและราชันย์แห่งหลิงไห่ล้วนยืนอยู่ตรงหน้าสำนักฝึกหลวง
หกผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวง มาอยู่ที่นี่ห้าคนแล้ว
ไม่นานหลังจากนั้น ซูม่ออวี๋ก็เห็นร่างที่คุ้นเคยมากขึ้น
พวกเขาก็คือเจ้าสำนักเทียนเต้าคนปัจจุบันจวงจือห้วน มหามุขนายกหอจงซื่อ อาจารย์ผู้ภักดีของกระทรวงสิบสามชิงเหย้า และอดีตอาจารย์ของเขา เจ้าสำนักจวนราชวังหลี
แถวของร้านอาหารอีกฟากหนึ่งของตรอกไป๋ฮวาได้ถูกกองทัพอวี่หลินทำลายลงไปก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ฝุ่นผงลอยขึ้นจากตรงนั้น มองเห็นคลื่นสีดำของทหารม้าได้อย่างเลือนราง
สำนักฝึกหลวงยังคงถูกล้อมแต่ไม่ถูกยึด
เพราะทหารม้าเหล่านี้ไม่ใช่ทหารม้าเกราะดำของกองทัพอวี่หลิน หากแต่เป็นทหารม้านิกายหลวงที่รับคำสั่งโดยตรงจากพระราชวังหลี
ดาบ ทวน หน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์ของทหารม้านิกายหลวงล้วนเล็งไปด้านนอก
ซูม่ออวี๋ยังคงตกตะลึง แต่เขายังพอเข้าใจอยู่บ้างว่าเสียงฝีเท้าม้าก่อนหน้านี้ไม่ใช่การบุกโจมตีของทหารม้าเกราะดำ ทว่าเป็นทหารม้านิกายหลวงเข้ามาช่วย
เขาหันไปทางสำนักฝึกหลวงที่ด้านหลังอย่างกะทันหัน เห็นป่าฤดูใบไม้ร่วงยังคงสงบเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ แต่ที่กำแพงท่ามกลางต้นไม้ มีเงาร่างของนักบวชหลายคนให้เห็นอยู่เลือนราง
โดยเฉพาะรอบหอตำรา ถึงกับมีมุขนายกที่มีการบำเพ็ญเพียรยากหยั่งถึง ยืนห่างจากหอตำราไปสิบกว่าจั้ง
กองกำลังขนาดนี้เป็นที่น่าทึ่งอย่างแท้จริง
พระราชวังหลีแสดงกำลังทั้งหมดออกมาให้โลกนี้ได้เห็น
ต่อหน้าความแข็งแกร่งนี้ ต่อให้ราชสำนักต้าโจวก็ต้องแสดงความเคารพนับถืออย่างเหมาะสม
ซูม่ออวี๋รู้ว่าสำนักฝึกหลวงปลอดภัยแล้วจึงรู้สึกผ่อนคลาย เขาสัมผัสได้ว่าแผ่นหลังเปียกชุ่มอยู่บ้าง ตระหนักได้ว่าในทันทีที่เขาเปิดประตู เขาก็เป็นกังวลจนหลั่งเหงื่อโซมกาย
ศิษย์สถานศึกษาหนานซี อาจารย์และนักเรียนของสำนักฝึกหลวงเดินมาข้างหลังเขาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องตกตะลึงไป รู้สึกเหมือนได้รับชีวิตใหม่
……
……
ประตูหน้าต่างของหอตำราถูกทำลายไป ตอนนี้กลิ่นอายฤดูใบไม้ร่วงได้ปกคลุมไปทั่วห้อง
สังฆราชยืนอยู่ด้านหลังเฉินฉางเซิงกล่าวขึ้น “สำหรับผู้บำเพ็ญเพียร ชีวิตอันยาวนานทำให้เกิดเหตุการณ์มากมาย ในเหตุการณ์เหล่านี้ เราต้องพบเจอกับความท้าทายหลากหลาย รู้สึกสิ้นหวังอยู่มาก นี่คือชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้ให้พวกเรา เราจะเผชิญหน้ากับโชคชะตานี้อย่างไร ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขราวกับว่าได้รับชีวิตใหม่ หรือทำการบำเพ็ญฌานอย่างจริงจังเพื่อค้นหาตัวตนของตนเองอีกครั้ง นี่เป็นความแตกต่างอย่างใหญ่หลวง ข้าให้เวลาเจ้าคิดสามวัน สามวันเพื่อให้มาพบข้าที่พระราชวังหลี แต่เจ้าก็ไม่มา ดังนั้นข้าจึงต้องมาถามเจ้าด้วยตัวเองว่าเจ้าจะเลือกอย่างไร”
เฉินฉางเซิงไม่ได้หันกลับไป หรือมีท่าทีว่าจะตอบคำถาม
สังฆราชเข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่มาในช่วงสามวันที่ผ่านมาเพื่อขอความช่วยเหลือที่พระราชวังหลี “เจ้ารู้สึกว่าพวกเราทั้งหมดล้วนหลอกลวงเจ้าอย่างนั้นหรือ”
เฉินฉางเซิงยังคงนิ่งเงียบ
สังฆราชกล่าวต่อ “ตราบใดที่เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกวัน ข้าก็จะปกป้องเจ้าไปอีกวัน นี่เป็นสัญญาที่ข้าให้ไว้กับเหมยลี่ซา”
เฉินฉางเซิงยังคงไม่พูดอะไร
สังฆราชเดินมาข้างกายเขา มองไปยังหน้าต่างซึ่งไม่อยู่ตรงนั้นอีกต่อไป “ข้ากำลังจะตาย”
ตอนที่ได้ยิน สายตาเฉินฉางเซิงจับจ้องไปที่ต้นหญ้าริมทะเลสาบ ใบไม้ร่วงสุมหนาอยู่ตรงนั้น แผ่ประกายสีทองแวววาว เป็นภาพอันงดงาม แฝงไว้ด้วยการเน่าตาย บรรยากาศที่ไร้ซึ่งชีวิต
ในที่สุดเขาก็พูด
“อาจารย์อา ต้องการจะพูดอะไรกับข้ากันแน่”
สังฆราชมองไปที่ป่าสีส้มปนเหลือง ยังต้นไทรที่เขียวสดโดดเด่น แล้วกล่าวอย่างสงบ “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป เฉกเช่นกาลเวลา ดั่งการเคลื่อนไหวของดวงดาว ชะตาที่เปลี่ยนไป ทุกอย่างต้องก้าวต่อไป ดังนั้นเราก็ต้องก้าวต่อไปเท่านั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะทำร้ายเจ้าขนาดไหน อย่างน้อยอาการบาดเจ็บของเจ้าก็หายดีแล้ว”
คนธรรมดามักคิดว่าการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู เฉินฉางเซิงไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ในทางกลับกันเขาได้รับผลประโยชน์มหาศาล
เมื่อหลับตาลง ท้องฟ้าก็มืดมิด หลังจากตายไป โลกของคนตายก็พังทลายลง เป็นธรรมดาที่ไม่มีสิ่งใดสำคัญหรือคู่ควรแก่การเฉลิมฉลองไปกว่าการมีชีวิต
สังฆราชไม่ใช่คนทั่วไปดังนั้นจึงไม่คิดเช่นนี้ เขาหวังจะใช้จุดนี้นำเฉินฉางเซิงออกจากความมึนงง “เหมยลี่ซาคงจะคำนวณเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทำให้เขายอมรับข้อเสนอของศิษย์พี่ เขาเชื่อว่าเมื่อเทียบกับการหลอกลวง การทรยศ ความเศร้าและความเจ็บปวดที่เจ้าได้รับ เจ้าก็ได้ผลตอบแทนที่เพียงพอ นี่คือข้อสันนิษฐานของข้า”
เฉินฉางเซิงตอบ “อาจารย์อา ท่านก็รู้ว่าเข้าไม่ใช่ถังถัง ไม่ใช่หวังผ้อ ข้าไม่เก่งเรื่องบัญชี”
คำพวกนี้มีความหมายลึกล้ำ สังฆราชยิ้มแต่ไม่ยอมรับ เขากล่าวต่อ “หลังจากวันนี้ เลือดของเจ้าคงไม่มีปัญหาอีกต่อไป แม้แต่เหนียงเหนียงก็ไม่กล้ากินเจ้า ดังนั้นคนอื่นย่อมไม่กล้าคิดเช่นนั้นกับเจ้า จะเป็นปัญหาได้ก็ต่อเมื่อราชามารมาด้วยตัวเอง แต่เขาก็ไม่มีเวลามาในตอนนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นอันตรายต่อเจ้า”
เฉินฉางเซิงถาม “เกิดอะไรขึ้น”
สังฆราชตอบ “ข่าวที่ส่งกลับมายังไม่ชัดเจน ข้ารู้เพียงแค่ว่าเมืองเสวี่ยเหล่าได้ถูกปิดเป็นเวลาสามวันแล้ว”