ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 102 ราชามารนับตั้งแต่บรรพกาล
คืนนี้ การถอนหายใจเช่นนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง
ตอนที่กลุ่มของจูเยี่ยยืนอยู่ริมทะเลสาบและรู้ว่าเจ้าของยาจูซาก็คือเฉินฉางเซิง พวกเขาก็ถอนหายใจแบบนี้
บนภูเขาหิมะ เมื่อเท้าของจูเยี่ยถูกเสียงดีดกู่ฉินตัดออก เขามองขึ้นไปที่ดวงดาวเพื่อรอความตาย เขาก็ถอนหายใจยาว
ตอนนี้เมื่อเฉินฉางเซิงเห็นบัณฑิตวัยกลางคน เขาก็อดถอนหายใจไม่ได้
ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายมากเกินไป ต่อให้เขาใช้วิธีทั้งหมดและมีปัญหาอันหาที่สุดไม่ได้ ต่อให้เขายินดีที่จะสละชีวิต เขาก็ไม่อาจที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้
แน่นอนเขาควรจะต่อต้าน แต่ก็พบว่าตนเองนั้นไร้กำลัง อารมณ์ทั้งหมดได้ถูกรวมกันและเปลี่ยนไปเป็นการถอนหายใจหนึ่งครั้ง
ที่ทำให้เฉินฉางเซิงตกใจและสับสนที่สุดก็คือทุกคนบอกว่าเหวนรกนั้นไร้สิ้นสุด ดังนั้นทำไมคนผู้นี้จึงยังมีชีวิตอยู่และมายืนอยู่ตรงหน้าเขาได้
เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็มองไปที่ไห่ตี๋
นับจากตอนที่เขาได้ยินเสียงดีดฉินอันเย็นเยียบและหันไปมอง ไห่ตี๋ก็ไม่เคลื่อนไหว สายตาของเขาจับจ้องไปยังทิศทางซึ่งเสียงฉินดังขึ้น ซึ่งเป็นจุดที่บัณฑิตวัยกลางคนยืนอยู่ในตอนนี้
มารผู้แข็งแกร่งนี้ได้แข็งทื่อไปทั้งกายและใจ แต่เฉินฉางเซิงแน่ใจว่ามารผู้นั้นได้สังเกตเห็นสายตาของเขา
สายตานี้คือคำถาม
‘อยากร่วมมือกันไหม’
……
……
มนุษย์กับมารสู้กันมาหลายปี ทั้งสองฝ่ายเสียหายล้มตายอย่างมาก สะสมความแค้นไว้อย่างลึกล้ำ โดยเฉพาะหลังจากข้อตกลงระหว่างจักรพรรดิไท่จงกับราชามารถูกทำลายไปเมื่อพันปีก่อน ยกเว้นในสถานการณ์ที่สุดโต่งอย่างเช่นความแค้นที่ไม่อาจลืมได้ของตระกูลเหลียงหลังจากตระกูลของพวกเขาแทบจะถูกฆ่าล้างจนหมดสิ้น หรือเรื่องเก่าเกี่ยวกับโจวตู๋ฟู ยอดฝีมือทั้งสองฝ่ายไม่เคยร่วมมือกัน ตอนที่ซางสิงโจวลอบทำการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู เขาก็แค่ทำความเข้าใจว่าจะไม่แทรกแซงเรื่องของอีกฝ่ายกับคนมีอำนาจในเมืองเสวี่ยเหล่าเท่านั้น แต่ไม่มีใครยืมกำลังของอีกฝ่ายมาใช้
ไม่มีใครทนแบกรับความขายหน้าไปตลอดกาลได้
แต่เฉินฉางเซิงไม่กังวลถึงปัญหานี้เมื่อทำงานร่วมกับไห่ตี๋ เพราะตัวตนของบัณฑิตวัยกลางคนจะทำให้ทั้งต้าลู่เห็นด้วยกับแผนของเขา
และการร่วมมือนี้ก็มีความเป็นไปได้ ไห่ตี๋ก็น่าจะเห็นด้วยอย่างมากในร่วมมือกันครั้งนี้
สองปีก่อนหลังจากการกบฏในเมืองเสวี่ยเหล่า ราชามารถได้ตายไปและหนานเค่อได้หายตัวไป ขุนนางและราชนิกุลมากมายที่ภักดีต่อราชามารได้ถูกสังหารไป แต่ไห่ตี๋ยังมีชีวิตรอดและยังมีอำนาจมากกว่าแต่ก่อน ตอนนี้เขามีอำนาจในกองทัพมารตามแนวรบมากมายมหาศาล แน่ใจได้ว่าเขาต้องเป็นหนึ่งในพวกกบฏ
หากเขาต้องการมีชีวิตผ่านคืนนี้ไป เขาต้องร่วมมือกับเฉินฉางเซิง
ความต้องการที่จะฆ่าเฉินฉางเซิงสังฆราชของมนุษย์นั้นมากมายก็จริง แต่สำหรับไห่ตี๋การฆ่าบัณฑิตวัยกลางคนผู้นี้ย่อมเหนือกว่าสิ่งใดทั้งนั้นในโลกนี้
ไห่ตี๋ไม่ได้ตอบกลับสายตาสอบถามของเฉินฉางเซิง เขาจ้องมองต่อไปด้วยความกังวลและหวาดกลัวที่บัณฑิตวัยกลางคน มือที่กำป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักแน่นขึ้น
ลานบ้านที่พังทลายเงียบงัน ทุกคนรู้ดีว่าความเงียบนี้หมายถึงอะไร
ดวงตาของหนานเค่อเย็นเยียบมากขึ้นเรื่อยๆ ปีกแวววาวของนางก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ น่าลุ่มหลงและน่ากลัวยิ่งขึ้น
ในตอนนี้เองที่บัณฑิตวัยกลางคนพูด
“ข้ากำลังจะตาย”
เสียงของเขาธรรมดาอย่างมาก
เรียบเฉยธรรมดา เกียรติภูมิสามัญ ความเลิศเลอทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษในเสียงนี้
แต่หากสำรวจใบหน้าของคนผู้นี้ให้ดี พวกเขาก็จะสังเกตเห็นส่วนที่ไม่ธรรมดา
ใบหน้าของบัณฑิตวัยกลางคนดูเหมือนจะถูกปกคลุมไว้ด้วยความมืดบางๆ มาตลอดกาล
ดูเหมือนว่ามีอักษรทองคำจำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่บนพื้นผิวของความมืดมิดนี้ ใต้ตัวอักษรทองคำเป็นภาพของทิวทัศน์ ขณะหนึ่งเป็นทะเลทรายจากนั้นก็ทะเล แค่เลิกคิ้วขยับปาก คลื่นก็ลอยขึ้นจากทะเล ทรายถูกพัดปลิว ทิวทัศน์มีชีวิตชีวาหาใดเปรียบ แต่ก็เย็นและนิ่งผิดปกติ เพราะไม่มีแม้แต่คนเดียวในทิวทัศน์ที่กว้างใหญ่นี้
และตอนที่เขาพูดว่าเขากำลังจะตาย มิติที่กว้างใหญ่นี้ก็มืดมัวลงอย่างมากราวกับว่ากำลังจะกลับคืนสู่การดับสูญ
ดังนั้นเฉินฉางเซิงรู้ว่าเขาพูดความจริง
เขาคิดไปถึงเมื่อหลายปีก่อนในห้องภายในสำนักการศึกษากลางที่เต็มไปด้วยดอกเหมยหลากชนิด เขาได้ยินเหมยลี่ซากล่าวคล้ายกันนี้
สองปีก่อน เขาก็ได้ยินอาจารย์อาสังฆราชพูดแบบเดียวกันนี้ แม้ว่าเขาจะจำไม่ได้ว่าเกิดขึ้นในพระราชวังหลีหรือสำนักฝึกหลวงก็ตาม
เขาครุ่นคิดทั้งหมดนี้แล้วพูดกับบัณฑิตวัยกลางคน “ตราบใดที่มีชีวิตก็ต้องมีวันตาย”
บัณฑิตวัยกลางคนตอบ “ประโยคที่สี่ในบทกวีวิถีลัทธิเต๋า”
เฉินฉางเซิงไม่ได้ถามว่าสามประโยคแรกคืออะไร เพราะทุกคนต่างก็มีความเข้าใจและความรู้ในการศึกษาคัมภีร์เต๋าเป็นของตนเอง แน่นอนเขาไม่ตกใจที่บัณฑิตวัยกลางคนนี้จะจดจำประโยคนี้จากบทกวีวิถีลัทธิเต๋า เป็นเพราะทุกคนรู้ว่าคนผู้นี้เป็นบัณฑิตที่รอบรู้และโดดเด่นเป็นรองเพียงแค่ทงกู่ซือเท่านั้นในเมืองเสวี่ยเหล่า
“แต่ใครจะยอมตายจริงๆ เล่า เทียนไห่ อิ๋น หรือพวกสหายเก่าจากก่อนหน้านี้ ไม่ว่าพวกเขาจะดูสงบเพียงใดจากภายนอก แต่พวกเขาจะยินยอมเดินเข้าสู่ความมืดได้อย่างไร ข้าเองก็ไม่ยินยอมเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงปีนขึ้นมาจากความมืดมิดที่น่ากลัวและมาที่นี่เพื่อพบเจ้า”
เมื่อเขากล่าวช้าๆ ความมืดมิดที่ปกคลุมใบหน้าบัณฑิตวัยกลางคนก็หนาขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ยากที่จะมองดูตรงๆ
จากน้ำเสียง จี๊ดจี๊ดก็เดาตัวตนของเขาได้ แต่นางไม่กล้าที่จะเชื่อ น้ำเสียงของนางสั่นเล็กน้อย
“เจ้า…ท่านต้องการจะทำอะไร”
“พ่อเจ้าเคยพูดกับข้าว่าเจ้าไม่ยอมเรียน โง่เขลาและอ่อนต่อโลก คืนนี้ข้าเห็นแล้วว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ”
บัณฑิตวัยกลางคนมีสีหน้าอ่อนโยนพูดกับนางราวกับผู้อาวุโส “ใจเย็น เห็นแก่หน้าพ่อของเจ้า ข้าจะไม่สร้างความลำบากแก่เจ้า”
จากคำพูดนี้ จี๊ดจี๊ดก็ยืนยันฐานะของคนผู้นี้ได้ ดังนั้นจึงตกใจจนพูดไม่ออก นางหันไปหาเฉินฉางเซิงโดยไม่รู้ตัว ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและทำอะไรไม่ถูก
ในอดีตนานจนนับปีไม่ถ้วนมีมังกรยักษ์น้ำแข็งดำที่แข็งแกร่งไม่ยินดีที่จะรับตำแหน่งประมุขเผ่ามังกรและเดินทางไปยังดินแดนที่ห่างไกล
ในดินแดนนั้นมันได้พบสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งพอกันจำนวนมาก จากนั้นก็ตายในสวนโจว
มังกรนั้นก็คือบิดาของนาง
ในเหล่าสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งพวกนั้น มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นเพื่อนของบิดานาง พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ บิดานางชื่นชมเพียงแค่สิ่งมีชีวิตนั้นเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไป สวนโจวได้ผ่านจักรพรรดิมาหลายรุ่น สำนักกระบี่หลีซานเปลี่ยนเจ้าสำนักไปสามคน แม้แต่ตระกูลถังก็เปลี่ยนผู้นำไปสองรุ่น มีผู้เดียวเท่านั้นที่ครองบัลลังก์ในวังศักดิ์สิทธิ์มาตลอด มันทำให้คนมากมายตกอยู่ใต้ความเข้าใจผิดว่ามันเป็นมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล ท้องฟ้าเบื้องบนแผ่นดินเบื้องล่างตลอดเวลาที่ผ่านมาเผ่ามารมีราชามาร…แค่หนึ่งเดียวเท่านั้น
ใช่แล้ว บัณฑิตวัยกลางคนก็คือราชามาร
เขาเป็นราชาที่แข็งแกร่งที่สุดมีพรสวรรค์ที่สุดในประวัติศาสตร์เมืองเสวี่ยเหล่า ใต้ฝ่าพระบาทที่เผ่ามารทั้งหมดกราบกรานบูชา เป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของมนุษยชาติ
หากไม่ใช่เพราะมีอัจฉริยบุคคลจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในหมู่มนุษย์ เผ่ามารคงปกครองไปทั่วต้าลู่ภายใต้การนำของเขาแล้ว
แต่ไม่ว่าจะเป็นโจวตู่ฟู เฉินเสวียนป้า จักรพรรดิไท่จงและหวังจื่อเช่อเมื่อพันปีก่อน หรือเทียนไห่ อิ๋นกับซางในช่วงพันปีหลัง ไม่มีใครที่สามารถเอาชนะเขาได้จริงๆ
เผชิญหน้ากับยอดฝีมือมนุษย์ที่ถาโถมเข้ามาราวกับดวงดาวนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้าพร่างดาว เขาก็ยังนำเผ่ามารในแดนเหนือสุดให้ยืนหยัดไม่ยอมใครเหมือนกับความมืดที่ปกคลุมเมืองเสวี่ยเหล่าตลอดกาล
ในทุกแง่มุม เขาคือราชามารที่แข็งแกร่งที่สุด
ไม่ว่ามันจะนับตั้งแต่บรรพกาลหรือในท้องฟ้าเบื้องบนแผ่นดินเบื้องล่าง