ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 104 คำคม เสียงมังกรร้องเป็นอย่างไร
ราชามารย่อมไม่อาจฆ่าตัวตายตามคำพูดของผู้อื่น เขาเกิดมาพร้อมกับนิสัยโหดร้ายและจิตใจที่ยึดมั่น
แน่นอน พูดโดยทั่วไปแล้วต่อให้ไม่มีลักษณะนิสัยเช่นนั้น ไม่มีใครที่จะฆ่าตัวตายตามคำพูดของคนอื่นหรอก นี่ไม่เกี่ยวกับการเห็นแก่ตัว แต่เป็นสัญชาตญาณที่ให้คุณค่ากับชีวิตของตนเอง
แต่จี๊ดจี๊ดเป็นห่วงเฉินฉางเซิงอยู่บ้าง
เฉินฉางเซิงเชี่ยวชาญในคัมภีร์เต๋าตังแต่เด็ก บำเพ็ญเต๋าในการทำตามใจ เขามักทำตัวแตกต่างไปจากคนส่วนใหญ่ หลังจากการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู ก็มีการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของเขา
เขาในตอนนี้ใช้ชีวิตอย่างไม่แยแสเกินไป
พูดอีกอย่างหนึ่ง ก่อนหน้าการยึดอำนาจ เขามีมุมมองต่อชีวิตตนว่าสำคัญหาใดเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน กิจวัตรประจำวัน หรือวิธีในการบำเพ็ญตน เขาจะเอาชีวิตของตนไว้เหนือสิ่งอื่นใด อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เขาเริ่มดื่มสุรา แม้ว่าจะไม่มากนักก็ตาม เขายังกินเนื้อวัวเนื้อแพะมากมาย แม้ว่าจะไม่กินเนื้อย่างมากนัก สรุปแล้ว เขาไม่สนใจเรื่องชีวิตตนเองมากเท่าเมื่อก่อน
เขาดูเหมือนจะสนใจว่าเขาจะใช้ชีวิตให้สำเร็จในบางเรื่องได้อย่างไรมากกว่า
ส่งผลให้เขายอมออกจากจิงตูเพื่อเห็นแก่สถานการณ์โดยรวม กลายเป็นสังฆราชที่ถูกเนรเทศคนแรกในประวัติศาสตร์
ส่งผลให้เขาปรากฏตัวขึ้นเมื่อปีก่อนกลางสนามรบในทุ่งหิมะ เข้าร่วมในการต่อสู้อาบเลือดกับทัพหมาป่า จากนั้นก็เกือบตาย
ส่งผลให้ยาจูซาเกิดขึ้นในโลก
“หลังจากออกจากจิงตู ไม่สิ แม้แต่ก่อนหน้านั้น ข้าก็คิดว่าข้าจะทำอย่างไรกับชีวิตที่สามารถอยู่ได้อีกหลายปีดี ในตอนแรกข้าต้องการที่จะทุ่มเทให้กับการช่วยเหลือมนุษยชาติในสนามรบ หลังจากนั้นข้าก็ตระหนักว่ามันไม่ถูกต้อง การบำเพ็ญตนกับความแข็งแกร่งของข้าไม่มากพอที่จะเปลี่ยนสงครามได้ และแม้ว่าความสามารถทางการแพทย์ของข้าจะดีทีเดียว ก็ไม่มีอะไรพิเศษเมื่อเทียบกับนักบวชและหมอในสถานพยาบาลศักดิ์สิทธิ์ ประโยชน์ของคนผู้หนึ่งนั้นมีจำกัด ในที่สุดข้าก็คิดเรื่องยาจูซาขึ้นมาได้”
เขากล่าวกับราชามาร “ข้าต้องการที่จะช่วยคนไม่กี่คนจริงๆ แต่ท่านเข้าใจบางอย่างผิดไป ข้าไม่เคยคิดที่จะช่วยสรรพชีวิตมาก่อน ข้าไม่ได้มีความสามารถยิ่งใหญ่แบบนั้น ข้าสามารถที่จะช่วยได้แค่ไม่กี่คนที่ข้าเห็นเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีปัญหาที่สำคัญมากอีกข้อหนึ่ง แม้ว่าจะใช้เลือดแท้ของข้าทำยาจูวาและช่วยชีวิตคนนั้นจะไม่ดีต่อร่างกายข้า มันก็ไม่ฆ่าข้า พูดอีกอย่างหนึ่ง หากข้าช่วยสรรพชีวิตอย่างที่ท่านแนะนำ ข้าต้องจ่ายด้วยความตาย ดังนั้นข้าไม่อาจยอมรับข้อเสนอนี้ได้”
ราชามารตอบ “ประโยคสุดท้ายของเจ้านั้นมีเหตุผลอยู่บ้าง”
เฉินฉางเซิงกล่างต่ออย่างจริงใจ “ที่สำคัญที่สุดก็คือท่านบอกว่ากินข้าแล้วจะสามารถแลกมาด้วยการทำให้เผ่ามารไม่อาจบุกลงใต้ไปอีกหลายศตวรรษ แต่นี่ไร้ความหมายกับข้า”
ราชามารถาม “อ้อ ทำไมมันถึงไร้ความหมายเล่า”
เฉินฉางเซิงตอบ “เพราะเราไม่สนว่าท่านจะลงใต้หรือไม่ เราก็วางแผนที่จะขึ้นเหนือเสมอมา เรามีเจตนาจะไปเมืองเสวี่ยเหล่า”
เมื่อเขากล่าว ดวงตาเขาก็เบิกกว้างและกระจ่างใส ดูเหมือนกับทะเลสาบที่ไร้ก้น พวกมันดูจริงใจจนทำให้คนต้องการจะไว้ใจ
“สังฆราชที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นอย่างที่คิด เจ้าเลือดร้อนกว่าพวกตาเฒ่านั่นมากนัก น่าสนุกสนานกว่ามาก แน่นอน เจ้าก็อ่อนแอกว่ามาก”
ราชามารเย้ย “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าคำพูดพวกนี้ของข้าก็เพื่อขอความเห็นจากเจ้า”
“ไม่ได้ขอความเห็นจากข้า แต่โน้มน้าวข้า หรือทำให้จิตใจของข้าอ่อนแอลง”
เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “เพราะท่านรู้ดีว่าแม้ท่านจะฆ่าข้าได้ มันก็ไม่เหมือนครั้งก่อนที่ท่านสามารถควบคุมข้าได้อย่างง่ายดาย ข้ามีความสามารถที่จะทำร้ายร่างกายตัวเองก่อนที่ท่านจะสามารถทำสำเร็จ เผาผลายเลือดทั้งหมดในร่างไม่เหลือสิ่งใดให้ท่านได้เก็บเกี่ยว ทำลายความหวังสุดท้ายของท่านไป”
อันที่จริง ที่เขาไม่ได้พูดก็คือต่อหน้าราชามาร เขาก็ยังมีโอกาสที่จะหนีไปได้
เขาไม่ต้องการให้ราชามารถระวังตัวเกินไป และที่สำคัญที่สุด เขาต้องการที่จะทดลองดูว่าเขาสามารถพาพวกมนุษย์ที่เหลือไปด้วยตอนหลบหนีหรือไม่
ราชามารได้มองเขาอย่างเงียบงันเป็นเวลานาน
เสียงโลหะกระทบกันและเสียงเย็นเยียบดังขึ้นในเวลาเดียวกัน
“เจ้าติดค้างเราสองชีวิต”
หนานเค่อโยนตราของตระกูลจูและตราบัญชาการของกองทัพซงซานไปเบื้องหน้าเฉินฉางเซิง
เรื่องนี้ยิ่งไร้เหตุผลยิ่งกว่าของราชามารเสียอีก
จี๊ดจี๊ดชี้ไปที่ไห่ตี๋และกล่าว “เราช่วยฆ่าคนทรยศให้เจ้าไปหลายคน ยังช่วยรั้งตัวใหญ่นี่จนพวกเจ้ามาและจัดการกับเขา จะคิดบัญชีอย่างไร”
หนานเค่อไตร่ตรองเรื่องนี้เงียบๆ
เฉินฉางเซิงพอใจมากทีเดียว
เขาไม่เคยเก่งเรื่องการเจรจาหรือเรียกร้องอย่างไร้เหตุผล เว้นแต่ตอนอยู่ตรงหน้าสวีโหย่วหรง ในเรื่องนี้เขาด้อยกว่าคนอื่น ทึมทึบยิ่งกว่าหนานเค่อ โชคยังดีมียอดฝีมือในเรื่องนี้อยู่ข้างกายเขาเสมอ ในตอนแรกมีลั่วลั่ว จากนั้นก็มีถังซานสือลิ่ว ตอนนี้เขามีจี๊ดจี๊ด
หนานเค่อดูเหมือนคิดถึงเหตุผลบางอย่างและกล่าว “ไม่ต้องพูดเรื่องก่อนหน้านี้ หนึ่งชีวิตแลกหนึ่งชีวิตนับว่ายุติธรรมดี”
จี๊ดจี๊ดรู้สึกประหลาดใจและถาม “แล้วชีวิตใรที่เจ้าจะแลกเปลี่ยนกับชีวิตของเฉินฉางเซิง”
“เราไม่แตะต้องเจ้า ดังนั้นย่อมเป็นชีวิตของเขาเอง” หนานเค่อตอบ
จี๊ดจี๊ดตอบ “เรื่องไร้สาระอะไรกันนี่”
หนานเค่อตอบอย่างใจเย็น “เราสามารถฆ่าเขาในตอนนี้ แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าเราได้ละเว้นชีวีตเขาหรือ ถ้าอย่างนั้นเราก็ใช้ชีวิตเขาแลกเปลี่ยน นี่ยุติธรรมมาก”
“นี่สมเหตุผลสำหรับเจ้าหรือ” จี๊ดจี๊ดเบิกตากว้าง ไม่อยากเชื่อ
หนานเค่อถามจี๊ดจี๊ด “เจ้าไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ”
จี๊ดจี๊ดตอบกลับอย่างจริงจัง “ข้าไม่เข้าใจเรื่องเหลวไหล”
หนานเค่อแนะนำ “เจ้าต้องพูดอย่างมีเหตุผล”
จี๊ดจี๊ดตอบ “เจ้าต้องมีความละอาย”
ในโลกนี้มีเด็กสาวนับไม่ถ้วน หนานเค่อกับจี๊ดจี๊ดไม่ต้องสงสัยว่าเป็นสองคนที่แข็งแกร่งและอันตรายที่สุด
แต่ตอนที่พวกเขาเถียงกัน พวกเขาก็ยังเป็นเด็กสาวสองคน ดูน่าขันและทำให้คนอื่นทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
ตอนที่พวกเขาเถียงกัน ไม่มีใครสังเกตว่าเฉินฉางเซิงได้ถอยไปสองสามก้าวอย่างเงียบๆ
ณ จุดนี้เขาห่างจากอันหวาและรองแม่ทัพแค่ไม่กี่ก้าว อีกแค่สองก้าวก็จับมือกันได้แล้ว
แต่ตอนที่เขากำลังจะลงมือ ลมเย็นก็พลันพัดขึ้นจากริมทะเลสาบ อากาศสั่นสะเทือน ประกายแสงจำนวนนับไม่ถ้วนสว่างขึ้นด้านหลังเขา
ประกายแสงรวมตัวกันในสายลม เปลี่ยนเป็นสาวงามเปลือยเปล่ากับสาวงามในชุดนักกระบี่
พวกเขาปรากฏกายขึ้นด้านหลังอันหวาและรองแม่ทัพอย่างไร้เสียง มือของพวกนางคว้าไปที่คอของทั้งคู่
หนานเค่อหยุดพูดกับจี๊ดจี๊ดและกล่าวกับเฉินฉางเซิงอย่างเรียบเฉย “ตอนนี้เป็นสามชีวิตแล้ว”
เฉินฉางเซิงตั้งใจแต่แรกว่าจะส่งอันหวากับรองแม่ทัพไปก่อน แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่าหนานเค่อจะมองแผนของเขาออกนานแล้วและลงมือทำการเช่นเดียวกัน นี่ทำให้เขาเสียใจอยู่บ้างคิดกับตัวเองในใจ เมื่อหนานเค่อปรากฎตัว แล้วข้าลืมปีกคู่ของหนานเค่อไปได้อย่างไร
จี๊ดจี๊ดส่งเสียงร้องอย่างโมโหออกมา
การเถียงกับหนานเค่อนั้นก็เพื่อที่จะปกปิดการเคลื่อนไหวของเฉินฉางเซิง ดังนั้นมันจึงยากที่จะไม่โกรธเมื่อล้มเหลว
สาวงามเปลือยเปล่าคว้าคอของอันหวาไว้หลวมๆ เขามารของนางยากจะมองเห็นได้ใต้เส้นผมสีดำยาว เมื่อรวมกับใบหน้างดงามมีเสน่ห์ของนาง ก็ยิ่งทำให้เกิดความดึงดูดที่ยากจะหาใดเปรียบ ใบหน้าเล็กๆ ของจี๊ดจี๊ดแดงขึ้น นางกระทืบพื้นและกล่าว “จริงทีเดียว นายไร้ยางอายอย่างไร สาวใช้ก็ไร้ยางอายเช่นนั้น”
สาวงามทั้งสองมีร่างวิญญาณ และมันก็มีคุณสมบัติที่ทำให้พวกมันหลุดรอดจากการรับรู้ของเฉินฉางเซิงกับจี๊ดจี๊ด พลิกสถานการณ์อย่างเงียบงัน
นี่ยังเป็นเพราะพวกนางมีร่างวิญญาณ พวกนางจึงมีค่ามาก พวกนางมองไปที่จี๊ดจี๊ดด้วยความกลัวอย่างไร้สินสุด ไม่กล้าที่จะโต้ตอบคำถากถางของจี๊ดจี๊ด
สาวงามในชุดมือกระบี่ก้มหัวลงอย่างไม่สบายใจอยู่บ้าง สาวงามเปลือยเปล่าใจกล้ากว่าเล็กน้อย แม้ว่านางจะไม่กล้าโต้เถียงกลับไป นางก็ยังหัวเราะและยืนตรงทำให้ส่วนที่นุ่มนิ่มยื่นออกมา จุดสีแดงทั้งสองดูสะดุดตายิ่งขึ้น
นัยน์ตาน่ากลัวของจี๊ดจี๊ดหดตัวเมื่อนางตะโกน “หากเขาไม่อยู่ที่นี่ ข้าคงแช่แข็งพวกเจ้าทั้งคู่กับผู้หญิงคนนั้นเป็นก้อนน้ำแข็งไปแล้ว!”
สาวงามนั้นสะดุ้งเล็กน้อยคิดในใจ ทำไมแม่มังกรน้อยนี่ถึงได้ไม่พอใจผู้หญิงที่ข้าจับตัวเอาไว้แบบนี้
อันหวาเป็นหงุดหงิดอย่างมากอดที่จะเงยหน้าขึ้นดูไม่ได้
จี๊ดจี๊ดพูดอย่างไม่พอใจกับอันหวา “เจ้ามองอะไร เจ้าไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดนี่หรอกหรือ”
อันหวามองไปที่นักสร้างค่ายกลบนแคร่หามใกล้ๆ ด้วยหางตาและคิด เพื่อที่จะช่วยคนผู้นี้ มีคนมากมายเท่าไหร่ต้องตายไปในคืนนี้
นางรู้สึกอับอายและก้มหน้ากลับไปอย่างเงียบงัน
เฉินฉางเซิงมองไปที่จี๊ดจี๊ดและปลอบโยน “จำเป็นต้องทำเรื่องบ้าๆ บอๆ ด้วยหรือ”
เมื่อพวกเขาพูดกัน สายตาของเขาก็ประสานกันเป็นธรรมดา
หลังจากการสนทนายาวนาน ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยใยน้ำแข็ง สายตาทั้งสองก็ประสานกัน
ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
เสียงนี้ซับซ้อนอย่างยิ่ง บรรจุไว้ด้วยพยางค์นับร้อย มันแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ยากที่จะเข้าใจ เหมือนจะบรรจุไว้ด้วยกลิ่นอายเก่าแก่โบราณ ราวกับมันมีต้นกำเนิดมาจากยุคบรรพกาล เหมือนจะบรรจุไว้ด้วยข้อมูลไร้ขีดจำกัด
เสียงนี้ดังมาจากปากของจี๊ดจี๊ด
สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมผิดปกติ แทบจะศักดิ์สิทธิ์ ชุดดำส่ายไหวในสายลม
เสียงมังกรร้อง!