ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 110 สามกระบวนท่าสุดท้าย ความมืดและการลืมตา
กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเฉินฉางเซิงคืออะไร พูดตามเหตุผล ย่อมเป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ ไม่ว่ามันจะเป็นหินดำที่เขาได้มาจากรูปของหวังจื่อเช่อในหอหลิงเยียนหรือลูกปัดหินจากสวนโจวที่ผูกอยู่รอบข้อมือมาเป็นเวลาหลายปี พวกมันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลก วัตถุอันสูงส่งที่ไม่อาจหาอะไรมาทดแทนได้
แต่แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์นั้นลึกล้ำเกินไป เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ด้วยระดับในปัจจุบัน ในสถานการณ์ทั่วไป เขาทำได้แค่ใช้มันในการหล่อเลี้ยงดวงจิตไม่อาจที่จะใช้ในการต่อสู้ได้ อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังซ่อนแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ไว้ด้านหลังกระบี่สามพันเล่มในคืนนี้ โยนมันไปหาราชามาร เพราะเขารู้ดีว่าราชามารเป็นคนที่เข้าใจแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์มากที่สุดในโลก ดังนั้นเป็นไปได้ว่าจิตใจของเขาจะสั่นไหว
การทำให้จิตใจหวั่นไหวนั้นเป็นการพูดให้ฟังดูดี หากจะพูดหยาบๆ ก็คือเขาต้องการให้ราชามารกลัว
มีแต่ทำให้ราชามารถกลัวเท่านั้นเขาถึงจะซ่อนกระบวนท่าสุดท้ายและสร้างความประหลาดใจได้
ตอนนี้ดูเหมือนว่าแผนของเขาจะสำเร็จแล้ว
ทิวทัศน์และความมืดที่ปกคลุมใบหน้าราชามารได้ถูกตัดแยกและรอยแผลบางแต่ชัดเจนปรากฏขึ้นระหว่างดวงตา มีเลือดไหลซึมออกมา
เลือดของราชามารย่อมไม่ใช่สีแดง ทว่าน่าประหลาดที่มันไม่ได้มีสีเขียวเช่นกัน แต่เป็นสีทอง
เห็นเลือดราชามารที่อาบไปด้วยเลือดสีทอง เฉินฉางเซิงพลันคิดไปถึงใบหน้าบนผนังหินของโถงใหญ่แห่งแสง
เป็นใบหน้าของเทพเจ้าและยังเป็นเทพมารอีกด้วย
เสียงกระด้างอย่างมากดังขึ้น ดังก้องไปทั่วเทือกเขาและค่อยๆ สะท้อนอยู่ระหว่างฟ้าดิน
ลมโหยหวนระหว่างภูเขาและหิมะยังคงพัดใส่ด้านหนึ่งของยอดเขาโดดเดี่ยวที่ห่างไกลก็รุนแรงยิ่งขึ้น พัดผ่านเทือกเขาเปิดโล่งและดับโคมหลายสิบดวงในหมู่บ้านเกาหยางที่ห่างไกล
ราชามารมองไปที่ดวงตาของเฉินฉางเซิงและกล่าว “ต่อให้ซูหลีมาที่นี่ด้วยตัวเอง เขาก็ไม่อาจฆ่าข้าได้ในกระบี่เดียว และนี่ก็เป็นแค่เจตจำนงกระบี่ที่เขาทิ้งเอาไว้เท่านั้น”
ตอนที่เขาพูด ไม่มีอารมณ์ใดๆ ให้เห็นบนใบหน้า มันดูเฉยชาผิดปกติ เต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์อย่างที่สุด
จากนั้น เขาก็เริ่มหัวเราะ เผยให้เห็นฟันขาวเต็มปาก
ในยามหัวเราะใบหน้าศักดิ์สิทธิ์ก็ดูเหมือนจะมีอารมณ์ของสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่อารมณ์อันสงบ แต่เป็นเก่าแก่ ป่าเถื่อนและน่าหวาดกลัว
เฉินฉางเซิงมองไปที่ฟันขาวของราชามาร ร่างกายเย็นเยียบ นับตั้งแต่ออกจากเมืองซีหนิงเดินทางไปจิงตู จนถึงตอนนี้ความกังวลที่สุดของเขาล้วนมาจากความยั่วยวนของเลือดแท้ในกาย แต่ในความเป็นจริง ช่วงหลายปีมานี้ คนเดียวที่เคยประกาศว่าสนใจจะดื่มเลือดกินเนื้อเขา…ก็คือราชามาร นี่เป็นการลงมือครั้งที่สองของเขา
พลังยิ่งใหญ่ที่ยากจะจินตนาการได้บดขยี้เจตจำนงกระบี่สุดท้ายที่ซูหลีทิ้งไว้ในโลก
ความแข็งแกร่งนี้เปี่ยมไปด้วยปราณเก่าและโกลาหลที่ไม่หายไป แต่เคลื่อนเข้าหาเฉินฉางเซิงไปตามเส้นทางที่เกิดขึ้นจากเจตจำนงกระบี่ที่ตอนนี้ได้หายไปแล้ว
เสียงปะทะจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน เหมือนกับป่ากลางฤดูร้อนพลันปะทะกับความเย็นเยียบทำให้แมลงนับไม่ถ้วนร่วงลงสู่พื้นดินแข็ง
กระดูกแขนของเฉินฉางเซิงแหลกเป็นเศษกระดูกเล็กๆ หลายร้อยชิ้นในทันที หลังจากนั้นกระดูกไหล่และซี่โครงก็เริ่มร้าว เหมือนกับพื้นทะเลสาบแห้งผากที่เขากำลังยืนอยู่ตอนนี้
เลือดพุ่งออกมาจากปากและฉีดใส่ใบหน้าของราชามาร
เลือดสีทองถูกเลือดสีแดงทำให้จางลง ทิวทัศน์ที่พังทลายเริ่มเข้าสู่ช่วงสนธยา อาทิตย์อัสดงทอแสงเหนือซากศพนับไม่ถ้วนที่อาบไปด้วยเลือด
เฉินฉางเซิงกระโดดขึ้นจากพื้นถอยไปด้านหลัง เคลื่อนไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเลือด
ประกายความประหลาดใจฉายขึ้นในดวงตาของราชามาร
เพื่อที่จะทำลายเจตจำนงกระบี่ของซูหลี เขาต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อย อาการบาดเจ็บที่เขาสะกดไว้สองปีได้กำเริบขึ้นอีกครั้ง
และเฉินฉางเซิงยังไม่ตายแถมยังเคลื่อนไหวได้ เห็นได้ชัดว่าเหนือกว่าขีดจำกัดของร่างกายที่จะทนรับได้ในระดับบำเพ็ญตนของเขาในตอนนี้
กลายเป็นว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งว่าร่างกายของยอดฝีมือเผ่ามาร แต่ทำไมกันเล่า
ลมเย็นเยียบส่งเสียงโหยหวนเมื่อเฉินฉางเซิงถอยหลังไป ร่างกายกะพริบวิบวับ ยากที่จะจับตัวได้ ปรากฏขึ้นในที่หลายแห่งในเวลาเดียวกัน
ดวงดาวนับไม่ถ้วนกะพริบแสงในความมืด เมื่อเท้าของเขาย่างไปในความมืด ย่ำไปบนตำแหน่งของดวงดาว นับตั้งแต่เขาเริ่มหนี เขาก็เริ่มใช้ย่างก้าวหยั่งเทวา
ร่างกายของเขาถูกอาบด้วยเลือดแท้ของมังกรดำน้อย มีความทนทานที่ยากจะจินตนาการได้ เป็นความประหลาดใจครั้งที่สองของราชามาร
นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะหนี
เขาจำเป็นต้องก้าวครั้งสุดท้ายและจะสามามรถตีฝ่าออกจากความมืดไปถึงที่แห่งหนึ่งในซากปรักหักพังของลานบ้าน
เขาเตรียมค่ายกลเอาไว้ที่นั่น รวมถึงทางลับที่นำไปสู่ส่วนลึกของเทือกเขา
แน่นอน ต่อให้เขาไปถึงที่นั่นได้ เขาก็ไม่แน่ว่าจะหนีได้สำเร็จ สุดท้ายแล้วคู่ต่อสู้ของเขาในคืนนี้ก็คือราชามาร
ไม่ว่าจะมีกระบวนท่ามากมายแค่ไหน เตรียมตัวมากเพียงใด ทำให้เขาประหลาดใจได้แค่ไหน ก็ไม่อาจที่จะมั่นใจได้เลย บางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่มีความมั่นใจเต็มที่ ก่อนที่เขาจะก้าวครั้งสุดท้าย เฉินฉางเซิงความผ่านอากาศไปที่หินดำในความมืด ในเวลาเดียวกันดวงจิตของเขาก็ตกไปที่พื้นดิน
แคร่หามวางอยู่ตรงหน้าราชามาร บนแคร่มีนักสร้างค่ายกลหนุ่ม
เฉินฉางเซิงมั่นใจว่าเขาสามารถส่งนักสร้างค่ายกลหนุ่มเข้าสู่สวนโจว วิธีนี้ต่อให้เขาไม่อาจรอด นักสร้างค่ายกลหนุ่มก็ยังพอมีหวังอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม ตอนที่ดวงจิตของเขาสัมผัสกับแคร่หาม บางอย่างที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น
ปราณที่อ่อนอย่างยิ่งแต่ก็ประหลาดได้ตามดวงจิตของเขามาถึงร่างกายและโจมตีใส่แดนลี้ลับ
นี่เป็นการโจมตีที่ไม่อาจตรวจจับได้และไม่แข็งแกร่งแม้แต่น้อย แต่ก็สามารถรบกวนการโคจรปราณแท้ได้อย่างแยบคาย
โดยเฉพาะในตอนนี้ที่เขากำลังใช้ย่างก้าวหยั่งเทวา
ความผิดพลาดแม้จะเล็กน้อยที่สุดก็ยังทำให้ล้มเหลวได้
การพุ่งไปทางใต้ในขณะที่เดินขึ้นเหนือก็คือความผิดพลาด
ก้าวต่อไปของเขาควรเหยียบลงบนพื้นข้างต้นเหมยห่างไปหลายสิบจั้ง
ตอนนี้มันเหยียบไปบนอากาศ
เขาอยู่กลางท้องฟ้าราตรี
ที่นี่หนาวเหน็บกว่า ลมแรงกว่า และตอนนี้ก็อยู่สูงขึ้นไปในอากาศหลายสิบจั้ง
ลมโหยหวนและเงาก็ทอดยาวสู่ดวงดาว ตามาด้วยเสียงร้องที่โหดเหี้ยมดุร้าย
ความเจ็บปวดแล่นมาจากไหล่และลำคอ
หนานเค่อปรากฎตัวด้านหลังเขา เล็บแหลมคมอาบไปด้วยแสงสีเขียวคว้าแขนเขาเอาไว้ ยกเขาให้สูงขึ้นบนท้องฟ้า ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือมีเส้นด้ายที่มองไม่เห็นได้ปรากฏขึ้นระหว่างปีกทั้งสองของนางและค่อยๆ เลื่อยลำคอของเขา ในชั่วพริบตา มันก็จมเข้าไปในเนื้อและทำให้เลือดไหลออกมา
ราชามารมองไปที่ภาพบนท้องฟ้าและเลียเลือดจากมุมปากอย่างใจเย็นและคาดหวัง
มีบุตรสาวที่เร็วที่สุดในโลก เขาย่อมไม่ห่วงว่าเฉินฉางเซิงจะหนีไปได้
เฉินฉางเซิงถูกหนานเค่อจับตัวไว้และดูเหมือนจะไร้แรงในการต้านทาน เขาก็แค่รอที่จะฆ่าแล้วกินเท่านั้น
เมื่อร่างกายถูกแขวนไว้บนท้องฟ้าเย็นเยียบ ก็ไม่มีที่ให้เขาหยิบยืมพลัง
แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ แม้แต่ชะตาก็ยังไม่อาจทำให้เขายอมรับได้ แล้วศัตรูหรือสถานการณ์เลวร้ายจะทำได้อย่างไร
ในดินแดนรกร้าง เขาได้เรียนเพลงกระบี่จากซูหลีทั้งหมดสามกระบวนท่า
ในครั้งนี้ เขาเลือกอย่างไม่ลังเลที่จะใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด กระบี่สันดาป
การโจมตีนี้ประกอบไปด้วยสามเพลงกระบี่
กระบี่แท้นิกายหลวงและยังถูกเรียกว่ากระบี่สังหาร ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายในการสอบใหญ่เมื่อสามปีก่อน เขาได้ใช้มันโจมตีเพื่อบีบให้โก่วหานสือถอย
กระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่หลีซานที่เหลียงเสี้ยวเซียวเคยใช้ในสวนโจวเพื่อฆ่าตัวตายทำให้ตนเองอยู่ในสภาพน่าอนาถ และเฉินฉางเซิงก็เคยใช้เพลงกระบี่นี้ครั้งหนึ่ง
คืนนี้เขาใช้เพลงกระบี่ที่เด็ดเดี่ยวทั้งสองพร้อมกัน
เขาไม่เชื่อว่าหนานเค่อจะมีความสามารถหยุดเขา…จากความตายได้
ส่วนกระบวนท่าสุดท้าย…ย่อมเป็นเพลงกระบี่วิหคทองของสำนักกระบี่หลีซาน ข้าสามารถแผดเผาฟ้าดินและมนุษย์ให้มอดไหม้เป็นจุณ เจ้าจะทำอะไรได้
หนานเค่อไม่อาจเข้าใจเจตจำนงกระบี่ของเขา แต่นางสัมผัสได้ว่าเขาต้องการที่จะทำอะไร และแม้แต่คนที่เย็นชาอย่างนางก็ยังรู้สึกกลัวอยู่บ้าง
เพลงกระบี่ทั้งสามรวดเร็วเกินไป สิ้นหวังเกินไป
เสียงโหดเหี้ยมของราชามารดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าอยากตายอย่างนั้นหรือ มันไม่ง่ายนักหรอก”
เลือดเนื้อของเฉินฉางเซิงเป็นความหวังสุดท้ายของเขา เขาไม่อาจปล่อยให้ใครแย่งมันไป รวมถึงเฉินฉางเซิงด้วย
เขายื่นมือออกไปสู่ท้องฟ้าและความมืดมิดก็เลื่อนเข้าหาเฉินฉางเซิง!
เขาต้องการที่จะใช้วิชามารที่แข็งแกร่งและกดขี่ที่สุดเพื่อกลืนกินเพลงกระบี่ทั้งสามของเฉินฉางเซิง!
สีหน้าเคร่งเครียด แน่วแน่ จนเขาไม่ได้สังเกต…
ตรงหน้าเขา
ที่เท้าของเขา
บนแคร่หาม
นักสร้างค่ายกลหนุ่มพลันลืมตาขึ้น