ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 112 เขาดำน้ำขาว หนึ่งจุดแสง
เสาแสงไม่ได้มาจากดวงดาว ทว่ามาจากโลกไม่รู้จักซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป เมื่อกระทบพื้นดิน ก็มีรัศมีแค่หนึ่งจั้งเท่านั้น จากสิ่งนี้ก็บอกได้ว่ามันมีความหนาแน่นแค่ไหน
มีแต่พลังที่บริสุทธิ์ที่สุดและแข็งแกร่งที่สุด บางทีมาจากหนึ่งในเทพเจ้าในตำนาน จึงจะสามารถสร้างลำแสงที่เข้มข้นเช่นนี้ได้
ลำแสงนี้ดูคล้ายกับแสงศักดิ์สิทธิ์ของนิกายหลวงมา แต่ราชามารรู้ว่าไม่ใช่ เช่นเดียวกับเฉินฉางเซิง ทั้งคู่รู้ว่าแสงนี้มาจากไหน
ภายในลำแสงที่กลวงเปล่า เสื้อผ้าของราชามารพลิ้วไหว ทิวทัศน์ที่กระจัดกระจายบนใบหน้าของราชามารถูกชะล้างออกไปสิ้น เมื่อราชามารถเริ่มแก่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
ณ จุดหนึ่ง ตราประทับหินที่เป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ได้หลุดออกจากเสาแสงและลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ
ตราประทับดูเหมือนจะมองราชามารในเสาแสงด้วยความเศร้าสร้อย นึกย้อนไปถึงเรื่องมากมาย บอกลากับสหายเก่า
เสาแสงหายไป
ไม่มีอะไรเปลี่ยนในเทือกเขาหรือในซากปรักหักพังของลานบ้าน เทือกเขาไม่ได้พังทลายหิมะไม่ได้ถล่ม ไม่มีปรากฏการณ์ใดในโลก ไม่มีเหวลึกเกิดขึ้น ทั้งหมดเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ราชามารยืนอยู่ตรงจุดที่เคยยืน
หนานเค่อกำลังพุ่งไป
นักสร้างค่ายกลหนุ่มมีสีหน้าที่ซับซ้อนอย่างมาก
เขามองไปที่ราชามาร อ้าปากและหุบลงสามรอบ ราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็นิ่งเงียบไป
ราชามารรั้งสายตากลับมาจากท้องฟ้าพร่างดาวและมองไปที่นักสร้างค่ายกลหนุ่มอย่างเงียบงันและเหม่อลอย
หนานเค่อมาถึงและเงียบไปกับภาพตรงหน้า
ความเงียบที่ทอดยาวมานานก็ถึงคราวสิ้นสุด
“ท่านใกล้จบสิ้นแล้วใช่ไหม”
นักสร้างค่ายกลหนุ่มถามราชามารอย่างแผ่วเบา ดูระมัดระวังอย่างมากถึงกับดูขลาดกลัวอยู่บ้าง
ราชามารตอบ “หากเจ้าไม่สามารถยืนยันเรื่องนี้ได้ แล้วยังเสี่ยงที่จะลงใต้ เจ้าก็เป็นคนโง่”
นักสร้างค่ายกลหนุ่มย่อมแน่ใจว่าเขาไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นเขาจึงเริ่มหัวเราะ
เป็นการหัวเราะที่จริงใจ
ในขณะต่อมา รอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้าเขาก็หายไป เปลี่ยนเป็นน้ำตาแห่งความเศร้า
เป็นเสียงสะอื้นโหยไห้
เขาหัวเราะและร้องไห้ ทั้งยินดีและโศกเศร้า เจ็บปวดและปีติ ถ่อมตนแล้วเย่อหยิ่ง
เขาเป็นเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ดูทั้งรู้สึกผิดและภาคภูมิใจเล็กน้อย เขาร้องไห้ไปพูดไปกับราชามาร “ครั้งนี้คงใช้ได้ใช่ไหม”
ราชามารถอนหายใจ “ใช้ได้”
นักสร้างค่ายกลหนุ่มร้องไห้ “เช่นนั้นท่านคงตายในครั้งนี้”
ราชามารตอบอย่างสงบ “ใช่”
นักสร้างค่ายกลหนุ่มมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมา เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผากและถาม “ครั้งนี้ข้าทำได้ดีทีเดียวเลยใช่ไหม”
ราชามารมองไปที่เขาอย่างชื่นชม “กับดักของเจ้านับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง”
เมื่อได้ยินคำชมนี้ นักสร้างค่ายกลหนุ่มก็มีสีหน้าเบิกบานขึ้นมา แม้แต่ฝีเท้าก็เบาขึ้น
เขาเดินไปหาราชามาร มือกับเท้าแกว่งไกว กระโดดไปมาเหมือนกับก้อนหินที่กลิ้งลมาตามภูเขา
หนานเค่อหน้าซีดต้องการที่จะเข้ามา แต่ถูกสายตาราชามารห้ามเอาไว้
นักสร้างค่ายกลหนุ่มเดินไปด้านข้างของราชามารและช่วยประคองเขานั่งลงราวกับไม่ต้องการให้ราชามารรู้สึกเจ็บปวด
เขามองไปอย่างเคร่งเครียดที่ราชามารและกล่าว “ท่านพ่อเจ็บหรือไม่”
ราชามารมองไปที่นักสร้างค่ายกลหนุ่มดวงตาเต็มไปด้วยความรักและพึงพอใจ “ไม่เป็นไร”
นักสร้างค่ายกลหนุ่มใช้ข้อมือเช็ดน้ำตาบนขนตาและกล่าว “ข้าไม่ต้องการจะทำอย่างนี้เช่นกัน”
ตอนที่เขาพูด มือขวาของเขาก็ทิ่มไปที่ท้องของราชามารราวกับสายฟ้าสีดำ เป็นกระบี่สั้นสีดำที่เหมือนจะดูดกลืนแสงทั้งหมด
กระบี่สั้นนี้แทงลึกเข้าไปในท้องของราชามาร เลือดสีทองทะลักออกมาจากด้ามกระบี่
กลายเป็นว่ากระบี่สั้นนี้กลวงเปล่า
ราชามารไออย่างเจ็บปวด “เจ้า…ไม่ควรใช้…กระบี่นี้”
“เพราะมันเป็นของล้ำค่าของสหายท่านอย่างนั้นหรือ” นักสร้างค่ายกลหนุ่มดึงกระบี่สั้นสีดำออกมาจากท้องของราชามาร มองไปที่พื้นซึ่งอยู่ไม่ไกลและกล่าวอย่างโมโห “ต่อให้คนผู้นั้นใช้หนวดมังกรเป็นกระบี่ และข้าเป็นบุตรชายท่าน ทำไมข้าถึงใช้มันไม่ได้”
เฉินฉางเซิงนอนอยู่บนพื้นตรงนั้น
นักสร้างค่ายกลหนุ่มดึงมือราชามารจากใต้ร่างของเขาและตั้งใจหักนิ้วทีละนิ้ว ดึงเอาวัตถุที่อยู่ข้างในออกมา
สีหน้าราชามารยังสงบเหมือนเช่นเคย ราวกับว่าเขาไม่รู้สึกเจ็บปวดที่ถูกหักนิ้ว
สิ่งที่อยู่ในมือเขาปรากฏว่าเป็นบางสิ่งที่เหมือนกับหวีเขาแพะ ไม่ว่ามันเป็นอะไร มันย่อมเป็นวิธีสุดท้ายที่ราชามารใช้ช่วยชีวิตตัวเอง
เมื่อนักสร้างค่ายกลหนุ่มไม่ได้โจมตีในทันทีและทำลายสายใยสุดท้ายในชีวิตของเขา บางทีราชามารอาจหาโอกาสที่จะโต้กลับได้
“ป้าใหญ่เตือนข้าว่าตอนที่ปะทะกับท่าน ข้าต้องระวังตัว และต้องรอบคอบให้มาก”
นักสร้างค่ายกลหนุ่มมองไปที่หวีเขาแพะและพูดอย่างหวาดกลัว “แต่ไม่ว่าจะรอบคอบเพียงใด ข้าก็ไม่เคยคิดว่าเขามารฟ้า จะอยู่ในมือท่าน”
เขาบรรจงเก็บหวีเขาแพะไว้ในอกเสื้อและยิ้มให้กับราชามาร “ท่านไม่ได้บอกหรือว่าตอนที่อาหญิงเล็กไปจากเมืองเสวี่ยเหล่าเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน นางได้เอาของวิเศษนี้ไปด้วย ท่านพ่อช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เราต่างคิดว่ามันอยู่ที่หลีซาน”
ราชามารยิ้ม “อาหญิงเล็กของเจ้าช่างโง่เขลาถึงได้ถูกเสี่ยวเสี่ยวซู[1]ล่อลวงไป ข้าก็ต้องสั่งสอนเขาสักหน่อย”
นักสร้างค่ายกลหนุ่มคิดถึงเหตุนองเลือดที่เกิดขึ้นในพรรคไร้รักและพูดอย่างเสียใจ “จำเป็นต้องสั่งสอนอย่างเกินเลยเช่นนี้หรือ โชคยังดีทีท่านไม่ได้สั่งสอนข้าอีกต่อไปแล้ว”
ในตอนนี้ ชะตาของราชามารได้ถูกกำหนดแล้ว เขาไม่มีลูกไม้ซ่อนไว้อีกแล้ว การตอบโต้กลับนั้นเป็นไปไม่ได้
หลังจากยืนยันรายละเอียดทั้งหมดแล้ว นักสร้างค่ายกลหนุ่มจึงผ่อนคลายในที่สุด เขานั่งข้างราชามารและเช็ดเหงื่อออกจากคิ้ว สงบลงได้หลังจากหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะให้กับท้องฟ้าพร่างดาวและส่ายหน้า ดูเหมือนจะตกอยู่ในอารมณ์ที่ไม่อาจบรรยายได้
“อันที่จริง ข้าก็กลัวแต่ข้าจะทำอะไรได้ ข้าจำต้องทำ ขอบคุณที่ข้าเป็นฝ่ายชนะในที่สุด”
ไม่ว่าจะเป็นความเงียบในตอนต้นหรือความบ้าคลั่งในตอนท้าย ไม่ว่าจะยืน นั่งหรือนอน ราชามาร นักสร้างค่ายกลหนุ่มและหนานเค่อล้วนมีความคล้ายคลึงกัน บางทีพวกเขาอาจดูต่างกันที่ภายนอก แต่พวกเขาล้วนเหมือนกันในแง่ของแก่นแท้ นิสัย โดยเฉพาะยามที่อยู่ร่วมกัน
พวกเขาเหมือนกับภูเขาสีดำตอนเหนือสุด น้ำขาวและดวงจันทร์สีเลือด แผ่ความโหดเหี้ยม เลือดและความลึกลับ แต่ก็ยังสามารถกลมเกลียวกันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
หากพวกเขาไม่ถูกรบกวน บางทีภาพนี้อาจดำรงอยู่ต่อไปนานกว่านี้ แต่ที่นี่ยังมีมนุษย์อยู่ในภาพอีกหนึ่งคน
และเพราะว่าเขาเป็นมนุษย์ จึงไม่อาจอยู่ในภาพนี้ได้
เฉินฉางเซิงยืนขึ้นและภาพนี้ก็เพิ่มสีสันสดใสขึ้นมาบ้าง
แสงสว่างอย่างมากผุดขึ้นจากดวงตาและเสียงของเขา
“จากสนามรบถึงศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานถึงที่แห่งนี้ หลายคนได้ตายเพื่อปกป้องและช่วยเหลือเจ้า หากเจ้าชนะ แล้วพวกเขาเล่า”
เขามองไปที่นักสร้างค่ายกลหนุ่มและตำหนิ “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครหรือเจ้ามาที่นี่ทำไม นี่เป็นเรื่องผิด”
นักสร้างค่ายกลหนุ่มมองไปที่เขา ประหลาดใจอยู่บ้างที่เขายังยืนขึ้นมาได้ มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
“ใต้เท้าสังฆราชช่างประหลาดสมคำเล่าลือ แต่ท่านจะทำอะไรได้ในสถานการณ์นี้”
[1] หมายถึง ซูหลี