ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 124 ไร้เดียงสากับปัญญาอ่อน น้ำแกงสองชาม
ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นและสงบจิตใจเป็นเวลาห้าลมหายใจ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเฉินฉางเซิงก็คือท้องฟ้าราตรีและกุญแจพลังปราณที่หนาแน่น ภาพสุดท้ายในความทรงจำก็คือเขากับหนานเค่อตกลงกับพื้น พื้นสีขาวดำของเทือกเขาหิมะเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
ที่ตามมาก็คือเสียงดังตุบ ความเจ็บปวดและความมืดมิดไร้สิ้นสุด
เมื่อตื่นขึ้นในความมืด เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน รู้แค่เขายังมีชีวิตอยู่ เมื่อเขาสงบจิตใจเป็นเวลาห้าลมหายใจ เขาก็ทำสมาธิทำให้เขาตระหนักว่าเส้นลมปราณเต็มไปด้วยรอยร้าว หากผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปตระหนักว่าตนบาดเจ็บสาหัส คงจะแตกตื่นอย่างไม่ต้องสงสัย อาจถึงกับสิ้นหวัง อย่างไรก็ตาม เขามีประสบการณ์เรื่องนี้จึงรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้ เขาถึงกับสามารถระบุได้อย่างแม่นยำว่าอาการบาดเจ็บที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นจากการตอบโต้ของราชามาร
เขาลืมตาขึ้น ก็เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครา หนวดเครารกครึ้ม ดูเหมือนกับพุ่มไม้ที่ไม่ได้ตัดเล็มมานานหลายสิบปี เว้นแต่จะมองอย่างรอบคอบ มันยากที่จะหาว่าตาของคนผู้นั้นอยู่ที่ไหน
แค่ต้องเห็นดวงตาคนเท่านั้นที่จะทำให้ตะลึงงันในทันที เป็นดวงตาที่กระจ่างสดใส เงียบขรึมแต่ก็แฝงไว้ด้วยความอบอุ่นลึกๆ ภายใน มันก็เหมือนกับตะวันขึ้นด้านหลังเมฆยามเช้า แม้ว่าจะไม่ยอมเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงง่ายๆ แต่ทุกคนรู้ว่ามันเป็นภาพที่สะเทือนอารมณ์
ดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงจิต เราสามารถรู้อะไรได้มากมายจากดวงตา
เฉินฉางเซิงเห็นดวงตามาหลายคู่ ดังเช่นทะเลดวงดาวอันกว้างใหญ่ในดวงตาของอาจารย์อาสังฆราช หรือดวงตาของสวีโหย่วหรงที่เหมือนกับภูเขาหลังฝน อย่างไรก็ตาม เขาต้องยอมรับว่าดวงตาของคนผู้นี้ดึงดูดใจ ดึงดูดใจยิ่งกว่าใบหน้ารกครึ้ม
“ตื่นแล้วหรือ” คนผู้นั้นถาม
เฉินฉางเซิงสังเกตเห็นเสื้อผ้าของคนผู้นั้น ก็ตระหนักว่าเป็นชุดเจ้าหน้าที่ของต้าโจว จึงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
เจ้าหน้าที่หนุ่มเดาว่าเขายังพูดไม่ได้สักระยะจึงช่วยพูดแทน “นี่คือคอกม้าผาชัน ข้าเป็นเจ้าหน้าที่สั่งการของที่แห่งนี้ ชื่อของข้าคือ…
เขาหยุดไปก่อนที่จะกล่าวต่อ “หลัวปู้”
เฉินฉางเซิงคิด ทำไมชื่อของเขาฟังดูแปลกๆ
“ก่อนอื่นช่วยตอบคำถามข้าสักสองสามข้อ กะพริบตาหนึ่งครั้งคือใช่ สองครั้งคือไม่”
เจ้าหน้าที่ชื่อหลัวปู้มองที่ตาเขาแล้วถาม “เจ้าเป็นคนต้าโจวใช่หรือไม่”
เฉินฉางเซิงกะพริบตาหนึ่งครั้งอย่างไม่ลังเล
หลัวปู้ถาม “เป็นนักปรุงยาหรือ”
เฉินฉางเซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกะพริบตาสองครั้ง
หลัวปู้ยิ้ม เผยให้เห็นฟันสีขาวเต็มปาก ดูราวกับดวงตะวันในขณะเดียวกันก็เผยอายุที่แท้จริงออกมา
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าทำไมคนหนุ่มเช่นนี้ถึงได้ปิดบังใบหน้าด้วยหนวดเครารกครึ้ม
เขาอดขบคิดคำถามนี้ไม่ได้
“ก็ได้หากเจ้าไม่ยอมรับ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่มีทางเป็นสายลับ พักให้ดี แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าว่าเจ้าจะหายหรือเปล่า เจ้าก็ไม่ตาย ส่วนเด็กสาวนั่น ข้าไม่รู้ว่านางเป็นแบบนี้มาตลอดหรือนางเป็นแบบนี้เพราะตกลงมา แต่ไม่ต้องกังวลไป”
หลังจากกล่าวเช่นนี้ หลัวปู้ก็ออกจากห้องไป
หนานเค่อถือเนื้อชามหนึ่งเดินมาถึงข้างเตียงจากมุมห้อง
นางเอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตาทึมทึบเต็มไปด้วยความสับสนขณะสำรวจมองใบหน้าเฉินฉางเซิง ราวกับว่านางไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน ทันใดนั้นนางก็ดูเหมือนจะนึกบางอย่างได้และวางถ้วยเนื้อไว้ตรงหน้าเฉินฉางเซิง บ่งบอกว่าให้เขากิน
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและส่ายหน้าอย่างยากลำบาก
“ต้องกินเนื้อเจ้าถึงจะมีแรง” หนานเค่อกล่าว จ้องไปที่ตาเขา
เฉินฉางเซิงคิด แล้วข้าต้องมีแรงไปทำไม
หนานเค่อดูเหมือนเข้าใจความหมายในดวงตา นางวางชามไว้ข้างหมอนและใช้นิ้วชี้ไปที่ตรงกลางระหว่างคิ้ว จากนั้นก็พูดอย่างจริงจังมาก
“รักษา”
เมื่อเห็นเช่นนั้น เฉินฉางเซิงก็เข้าใจในที่สุด
ในการต่อสู้เหนือความมืดมิดและเทือกเขาหิมะ หนานเค่อได้ปล่อยให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตื่นขึ้นเป็นครั้งที่สองอย่างสมบูรณ์ ทำลายกับดักที่ราชามารกับชุดดำวางไว้ สุดท้ายนางก็ล้มเหลวที่จะทะลวงด่านและห้วงแห่งจิตของนางก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ให้พูดตรงๆ ก็คือนางได้กลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปแล้วในตอนนี้
ตอนนี้ นางไม่อาจจดจำอะไรได้ รวมถึงเฉินฉางเซิงเป็นใคร ที่นางจำได้ก็คือเฉินฉางเซิงได้สัญญาว่าจะรักษานาง
เฉินฉางเซิงมองตานางเงียบๆ อยู่นาน แน่นอน เขาไม่มีความสามารถที่จะพูดได้ตั้งแต่แรกแล้ว
เขาสามารถพูดในใจกับตัวเอง กับคนอื่น
เมื่อข้าสัญญาแล้ว ก็จะรักษาเจ้าแน่ ต่อให้ข้าไม่มั่นใจก็ตาม
หนานเค่อในตอนนี้ไม่รู้ว่านางป่วยเป็นอะไร รู้แค่เขาสัญญาจะรักษานาง
แต่นางก็เข้าใจความหมายในสายตาเขาและรู้สึกมีความสุข นางหัวเราะอย่างจริงใจ น่ารักและไร้เดียงสา
เฉินฉางเซิงจำไม่ได้ว่าเคยเห็นหนานเค่อหัวเราะในสวนโจวหรือภูเขาหิมะ ในสายตาของเขาและในสายตาของคนทั่วไปนางเป็นพวกเลือดเย็นเสมอมา ไร้อารมณ์ โหดเหี้ยม ป่าเถื่อน จะโยงนางกับเด็กสาวที่น่ารักสดใสได้อย่างไรกัน
ตอนนี้เองที่เฉินฉางเซิงสังเกตเห็นว่านางสวมเสื้อผ้าฝ้าย และผมของนางก็มัดเป็นมวยสองก้อนอย่างลวกๆ ด้วยฝีมือใครสักคน เขาพลันนึกได้ว่านี่เป็นค่ายทหารของต้าโจว หากมีคนรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง จะเป็นปัญหาอย่างมาก
นางเป็นสมาชิกราชวงศ์ ดังนั้นเขามารของนางจึงไม่ปรากฏขึ้น แต่ว่าปีกทั้งสองของนางหายไปไหนกัน
เนื้อตุ๋นชิ้นหนึ่งถูกส่งเข้าปากเขา ทำให้ความคิดขาดช่วงไป มีเกลือไม่มากนักในเนื้อ ทำให้มันค่อนข้างไร้รสชาติ แต่มันก็ถูกตุ๋นจนเคี้ยวง่าย
ที่สำคัญคนที่ป้อนเขาเป็นองค์หญิงเล็กแห่งเผ่ามาร
เฉินฉางเซิงเริ่มคิดถึงองค์หญิงเล็กของเผ่ามังกรจี๊ดจี๊ดและองค์หญิงเผ่ามารที่ซูหลีแต่งงานด้วย
ตอนนี้มังกรดำน้อยอยู่ไหน
เมื่อสังฆราชแต่งตั้งผู้คุ้มกัน นางย่อมสร้างความเชื่อมโยงกับเฉินฉางเซิง และเฉินฉางเซิงก็มีวิธีที่จะแจ้งนางและให้นางมาหาเขา
แต่เขาไม่ทำเช่นนั้น
เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา เขาได้รับบาดเจ็บในสนามรบด้วยฝีมือไห่ตี๋และพึ่งพามังกรดำน้อยหนีเอาชีวิตรอด ใครจะไปคาดคิดว่าในการเดินทางผ่านเทือกเขา เขาจะถูกไล่ล่าและโจมตีหลายครั้งด้วยยอดฝีมือจากราชสำนัก เขาไม่ได้ให้พระราชวังหลีตรวจสอบเรื่องนี้ แต่ประสบการณ์นี้ทิ้งผลกระทบไว้ในใจเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้แต่ซูหลีที่มีความสามารถและกล้าหาญ ก็ยังต้องอดทนอยู่เงียบๆ ตอนที่เดินทางกลับมาจากทุ่งหิมะ ดังนั้นเฉินฉางเซิงจะเป็นข้อยกเว้นได้อย่างไร
หลังจากเหตุการณ์นี้ เขาก็เข้าใจในที่สุดว่าตนเองอ่อนต่อโลกเพียงใดตอนที่เขาประกาศที่อยู่ของซูหลีในเมืองสวินหยาง
ในตอนนี้เมื่อเขาไม่มีความสามารถที่จะปกป้องตัวเอง เขาย่อมไม่ติดต่อกับจี๊ดจี๊ด ที่สำคัญคือเพื่อไม่ให้นางมาเปิดเผยที่อยู่ของเขา
เขาในตอนนี้ไม่ได้อ่อนต่อโลกอีกต่อไป
หนานเค่อเริ่มป้อนน้ำแกงเนื้อให้เขา มันไม่เย็นไม่ร้อน อุ่นพอดี
ลูกปัดหินยังอยู่บนข้อมือในขณะที่อย่างอื่นถูกส่งเข้าไปในสวนโจวแล้ว ท้องยังอุ่นและพูดตามเหตุผลแล้ว นี่เป็นเวลาให้เขาได้พักผ่อนอย่างสงบ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เหมือนว่าเขาลืมอะไรบางอย่างไป
เจ้าหน้าที่ชื่อหลัวปู้สัมผัสอะไรไม่ได้จริงหรือ ทำไมถึงไว้ใจเขากันหนานเค่อง่ายนัก คอกม้าผาชันนี้อยู่ห่างไกลอย่างเห็นได้ชัด แต่ทำไมคนที่ถูกส่งมาเป็นเจ้าหน้าที่บัญชาการตั้งแต่ยังหนุ่มถึงได้อ่อนต่อโลกนัก
ม่านตรงหน้าประตูห้องถูกยกขึ้นและลมเย็นก็พัดเข้ามา เช่นเดียวกับหลัวปู้ ในมือถือชามยาน้ำสีดำ