ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 127 เชิญออกจากเขา
พื้นผิวของหญ้าน้ำค้างแข็งมีขนสีขาวบางๆ ปกคลุมอยู่ ซึ่งเป็นส่วนที่ม้ามังกรชอบกินที่สุด หญ้าหลังพายุทรายถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น ด้วยว่าเป็นฝุ่นจริงๆ ฝูงม้าจึงไม่มีที่ให้กิน พวกมันได้แต่ยืนอยู่ริมลำธารและมองดูอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งเห็นทุกอย่างที่มีให้เห็น ในที่สุดพวกมันก็ได้แต่หันกลับไปอย่างไม่มีทางเลือก
ไม่ว่าคนหรือม้าต่างก็ไม่ยินดีที่หลังจากเห็นอาหารจานใหญ่แต่กลับไม่อาจกินได้แม้แต่คำเดียว หากได้เห็นบางคนหัวเราะอย่างยินดีในตอนนี้ ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะคิดว่าคนผู้นั้นหัวเราะเยาะ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะคิดอย่างไร ก็ชัดเจนว่าม้าพวกนี้มองไปที่เฉินฉางเซิงแล้วคิดอะไร
พวกมันพลันพุ่งไปที่เฉินฉางเซิง
เมื่อเป็นยอดอาชาศึก ม้ามังกรไม่ว่าจะอารมณ์เสียเพียงไร ก็ไม่โจมตีใส่ทหารมั่วซั่ว พวกทหารล้วนรู้ว่าม้ามังกรต้องการขู่เฉินฉางเซิงเท่านั้น ปกติแล้วการเล่นเช่นนี้ไม่ทำให้พวกเขาสนใจเท่าไร ทว่าเมื่อคิดว่าเฉินฉางเซิงยังไม่หายดีและเพิ่งจะลุกขึ้นยืนได้ พวกเขาก็กำไม้พลองเอาไว้อย่างระแวดระวัง
สิ่งที่เกิดตามมาทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจ
ม้ามังกรไม่ได้พุ่งเข้ามาอีก ตอนที่อยู่ห่างไปสิบกว่าจั้ง มันก็ลดฝีเท้าลงเป็นวิ่งเหยาะๆ พวกมันส่ายหัวไปมาราวกับสับสนอย่างหนัก ปีกจมูกขยับอย่างต่อเนื่องราวกับได้กลิ่นบางอย่าง ความขี้เล่นในแววตาเปลี่ยนไปเป็นมิตรอย่างรวดเร็ว
มันวิ่งเหยาะๆ เข้าหาเฉินฉางเซิงและก้มหัวลงอย่างนอบน้อม ดูเหมือนอยากให้เฉินฉางเซิงลูบหัว
ม้ามังกรที่เหลือก็สังเกตเห็นและเริ่มวิ่งเข้ามา ดังเช่นม้ามังกรตัวแรก พวกมันล้อมเฉินฉางเซิงและเริ่มเอาหัวถูเขาอย่างระมัดระวัง สะกดความยินดีเอาไว้ ม้ามังกรที่ใจกล้ากว่าถึงกับแอบเลียมือของเฉินฉางเซิงที่ใช้จับกิ่งไม้
เมื่อเห็นภาพนี้ พวกทหารคอกม้าผาชันก็ตกตะลึงอย่างที่สุด เสียงหัวเราะของพวกเขาหยุดลงนานแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันนี่
ในตอนนี้ จ่าฝูงของม้ามังกรได้แหวกฝ่าม้ามังกรที่ห้อมล้อมและเข้าหาเฉินฉางเซิง มันงอขาหน้าลงและคุกเข่ากับพื้น
มันกำลังขอให้เฉินฉางเซิงขึ้นขี่ บางทีกำลังขอให้เฉินฉางเซิงอวยพรให้กับมัน
ความตกตะลึงผุดขึ้นจากฝูงชนโดยรอบ
หลัวปู้ที่ยืนอยู่ด้านนอกไม่ได้ยิ้มอีกต่อไป เขามองไปที่เฉินฉางเซิงใจกลางฝูงม้าอย่างเงียบงัน สีหน้าเหม่อลอย
……
……
ในคืนเดียวกันนั้น แสงดาวยังคงเป็นเหมือนเดิม หม้อเนื้อตุ๋นยังเดือดอยู่บนเตาในห้อง แต่ไม่ได้ส่งเสียงดังเหมือนกับหลายคืนที่ผ่านมา
ไม่มีทหารคอกม้าผาชันคุยกับเฉินฉางเซิงในห้อง เพราะคืนนี้เขามีแขก
หลัวปู้มองไปที่หนานเค่อที่จ้องมองหม้อเนื้อตุ๋นอยู่ข้างเตา จากนั้นก็หันมาที่เฉินฉางเซิงบนเตียง ไม่พยายามที่จะซ่อนเจตนาและประกาศออกมาตรงๆ “เจ้าต้องไม่ใช่คนธรรมดา”
เฉินฉางเซิงคิดถึงค่ายกลที่จัดวางอย่างสมบูรณ์แบบในทุ่งหญ้าและห้องหนังสือแล้วตอบกลับไป “เจ้าก็ไม่ใช่คนธรรมดาเช่นเดียวกัน”
หลัวปู้จ้องไปที่ดวงตาเขาแล้วถาม “การที่เจ้าตกลงมาจากเขานั่นไม่เกี่ยวกับข้าใช่หรือไม่”
“ไม่เกี่ยว” เฉินฉางเซิงจ้องตอบกลับไปและกล่าว “ในบางแง่มุม ข้าก็เป็นนักปรุงยาจริงๆ”
หลัวปู้ถามอย่างใจเย็น “เจ้าเดินไปทั่วคอกม้าผาชัน เจ้าเห็นสิ่งที่อยากเห็นหรือไม่”
เฉินฉางเซิงตอบอย่างจริงใจ “ข้าเห็น”
“เห็นอะไร”
“ข้าเห็นว่าที่ซึ่งเรียกว่าผาชันนี้มียอดขุนพล”
หลัวปู้เงียบไปครู่หนึ่งกับคำพูดนี้แล้วก็กล่าว “บอกความหมายตรงๆ”
เฉินฉางเซิงมองไปที่ดวงตาเขาแล้วบอก “ข้าอยากเชิญเจ้าออกจากเขา”
ออกจากเขา?
เทือกเขาหานซานอันกว้างใหญ่
นอกหานซานไปเป็นทุ่งหิมะ สนามรบที่แท้จริงกับเผ่ามาร
เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ารู้หรือไม่ แต่หนิงสือเว่ยตายแล้ว ดังนั้นศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานต้องการขุนพลเทพคนใหม่”
หลัวปู้นิ่งเงียบไปแล้วจึงถาม “ข้าเข้าใจถูกหรือไม่ เจ้าชื่นชมข้ามากจนเจ้าตัดสินใจผลักดันข้าสู่ตำแหน่งขุนพลเทพของศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน”
เฉินฉางเซิงไม่พูดอะไร เป็นการยืนยันโดยนัยว่าเขาคิดเช่นนั้นจริง ในเวลาเดียวกัน เขาก็สังเกตเห็นว่าถึงแม้หลัวปู้จะถูกลดขั้นมายังคอกม้าผาชันที่ห่างไกล เขาก็ดูเหมือนจะได้ข่าวศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานและจากที่ซึ่งมีระดับสูงกว่า นี่ทำให้เขาสงสัยเบื้องหลังของคนผู้นี้มากขึ้น
“แม้แต่นักปรุงยายังสามารถตัดสินว่าใครจะได้เป็นขุนพลเทพ ข้าก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมราชวงศ์ต้าโจวถึงได้ตกต่ำ”
หลัวปู้มองไปที่เขาและยิ้ม “แล้วเจ้าเป็นคนของเซียงอ๋องหรือตระกูลเทียนไห่ล่ะ หรือเป็นสายลับของอารามเต๋าในลั่วหยาง”
สายลับของอารามเต๋าในลั่วหยางย่อมหมายถึงนักพรตชุดน้ำเงินที่ยืนอยู่ข้างซางสิงโจว
สองปีผ่านไป เฉินฉางเซิงรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเกี่ยวกับอาจารย์ของตนอีกครั้ง
เขาไม่อธิบายที่มาของเขาให้หลัวปู้ หรืออธิบายว่าทำไมเขาถึงต้องการทำเช่นนั้น
เราะเขาไม่ใช่คนของเซียงอ๋อง ตระกูลเทียนไห่ หรือขุมกำลังใดของราชสำนักต้าโจว เขาเป็นตัวแทนของพระราชวังหลี ของนิกายหลวง ของโลกใบนี้
เขาคือสังฆราช ย่อมแบกรับน้ำหนักของโลกใบนี้ ดังนั้นจึงมีสิทธิ์ที่เขาจะคิดถึงอนาคตของมนุษยชาติ
ในสายตาเขา คนอย่างหลัวปู้ถูกทิ้งในที่อย่างคอกม้าผาชันเป็นการเสียเปล่าอย่างใหญ่หลวง
“ข้าย่อมเข้าใจว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ‘เสียเปล่า’ ‘ไม่รู้จักใช้’ คำพูดดาษดื่นพวกนั้น”
หลัวปู้พูดกับเขาอย่างใจเย็น “แต่เจ้าไม่รู้ว่าข้ามาที่คอกม้าผาชันเพื่อกักตัว บางทีมันอาจดีกว่าถ้าจะบอกวาข้าถูกบีบให้กักตัว แต่ก็เป็นสิ่งที่ข้ายอมรับได้”
เฉินฉางเซิงพูดกับเขาอย่างจริงจัง “หากเจ้าถูกบีบให้มาที่นี่ด้วยแรงกดดันภายนอก บางทีข้าอาจช่วยเจ้าแก้ปัญหาได้บ้าง”
ด้วยเหตุผลบางอย่างยิ่งเฉินฉางเซิงจริงจังเท่าไร หลัวปู้ก็ดูผ่อนคลายขึ้นเท่านั้น บางทีอาจเป็นเพราะเขาคิดถึงเพื่อนผู้เคร่งเครียดจริงจังขึ้นมา ทำให้เขานึกไปถึงช่วงเวลาที่ปราณกระบี่เต็มเทือกเขา เขาก้มมองหน้าอกตัวเองอย่างลืมตัวและคิดในใจ สุดท้ายแล้วก็มีบางเรื่องที่ข้าต้องแก้ไขด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงส่ายหน้า
“ข้าไม่ชอบปัญหา”
“ข้าก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้เจ้าเช่นกัน”
“ดังนั้นข้าจะไปไปจากเขานี้”
หลัวปู้จบการสนทนาของพวกเขาอย่างรวบรัดและสุขุมแล้วกล่าว “ในอีกสองวัน เมื่ออาการบาดเจ็บดีขึ้น ข้าจะให้คนส่งเจ้าออกไป”
เฉินฉางเซิงคิดแล้วก็กล่าว “ตกลง ในอนาคตหากเจ้ามีปัญหาให้มาหาข้า”
หลัวปู้ยิ้ม “ข้าไม่ชอบหาคนอื่น มันยุ่งยาก”
คำพูดเฉยชาของเขาซ่อนความมั่นใจในตัวเองอย่างมากเอาไว้ เหมือนกับลายเซ็นบนรูปวาดทั้งสอง
เฉินฉางเซิงตอบ “บุญคุณช่วยชีวิตต้องทดแทน”
หลัวปู้ตอบ “ทำตามใจเจ้า ไม่จำเป็นต้องพูด”
เฉินฉางเซิงตอบ “เพื่อนเคยบอกข้าว่ามีบางเรื่องที่ควรทำตอนที่จำเป็นต้องทำ แต่มันสำคัญยิ่งกว่าที่ต้องพูดถึงหากเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องพูดถึง”
หลัวปู้รู้สึกว่าคำพูดพวกนี้ค่อนข้างมีความหมายและตอบกลับ “เพื่อนของเจ้าคนนั้นไม่ใช่สุภาพบุรุษจอมปลอมก็เป็นคนต่ำช้าจริงๆ”
เฉินฉางเซิงคิดถึงเพื่อนคนนั้นที่เขาไม่ได้เห็นมากว่าสองปีแล้วและไม่ได้รับจดหมายมาครึ่งปี ความกังวลพลันผุดขึ้นในหัวใจและไม่อาจที่จะสะกดเอาไว้ได้
เขาอธิบายต่อหลัวปู้อย่างจริงใจ “เพื่อนคนนั้นของข้าเป็นคนต้ำช้าจอมปลอมและสุภาพบุรุษจริงๆ”
หลัวปู้หัวเราะกับคำพูดนี้ จากนั้นเขาก็หันไปหาหนานเค่อและกล่าว “นางเป็นน้องสาวเจ้าจริงหรือ”
มีความหมายลึกล้ำอยู่ในคำพูดนี้
เฉินฉางเซิงได้ยินความหมายนี้อย่างชัดเจน แต่เขาไม่อาจทิ้งหนานเค่อ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า
“บางครั้งคนโกหกก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคนจอมปลอม ในทางกลับกันพวกเขาอาจเป็นคนจริงผู้หนึ่ง”
หลัวปู้ยิ้มให้เขาและกล่าวต่อ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร เป็นตัวแทนของใคร ไม่ว่าเจ้าจะมีเจตนาดีหรือร้าย แต่ข้ารู้ว่าในแง่นี้ข้าชื่นชมเจ้าอย่างลึกซึ้ง”
ห้องเงียบไป มีแต่เสียงเดือดปุดๆ ของเนื้อในหม้อ
หนานเค่อตักเนื้อออกมาชามหนึ่งและเดินมาที่เตียง
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมาจากนอกห้อง
ประตูห้องเปิดออกและองครักษ์ก็วิ่งเข้ามา ตะโกนบางอย่างด้วยความตกใจ ไม่รู้ตัวเลยว่าเขาแทบจะวิ่งชนหนานเค่อ