ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 136 โองการศักดิ์สิทธิ์ดังปานฟ้าร้องคำราม
จงซานอ๋องกับเทียนไห่เฉิงเหวินเป็นสองคนที่มีฐานะสูงที่สุดในที่แห่งนี้ ย่อมรู้ความลับมากที่สุด พวกเขาเคยได้ยินว่าบางคนในหมู่บ้านเกาหยางเคยเห็นมังกรดำ ด้วยเหตุผลอันซับซ้อนบางอย่าง พวกเขาไม่เชื่อ จนกระทั่งได้รับการยืนยันในที่สุดว่าเจ้าของยาจูซาก็คือเฉินฉางเซิง…
ตอนนี้เมื่อพวกเขาคิดเรื่องนี้ บางคนได้จงใจปกปิดเหตุการณ์ที่แท้จริงในคืนนั้นจากพวกเขา ไม่ก็ทำให้พวกเขาเข้าใจผิด
ในโลกนี้มีใครที่สามารถหลอกลวงทั้งอ๋องสกุลเฉินกับตระกูลเทียนไห่ได้พร้อมกัน
เห็นได้ชัดว่าเป็นปรมาจารย์เต๋าที่อยู่ในส่วนลึกรองราชวัง
กลายเป็นว่าคืนนั้นเป็นแผนลอบสังหารที่ซางสิงโจวมีต่อศิษย์ของตัวเอง
จูเยี่ย หนิงสือเว่ยกับพวกที่เหลือเป็นเพียงแค่มีด เป็นเพียงหญ้าที่ถูกน้ำท่วมอย่างน่าเศร้า
แต่บางทีแม้แต่ซางสิงโจวก็ไม่คาดคิดว่าศิษย์คนเก่งของเขาจะรอดตายได้อย่างน่าประหลาดใจ
เมื่อเฉินฉางเซิงยังไม่ตาย หลายคนก็ต้องตาย
จูเยี่ย หนิงสือเว่ยกับพวกได้ตายไปแล้ว แต่บางทีพวกเขาอาจต้องตายอีกรอบ ไม่ต้องพูดถึงคนที่ยังมีชีวิตอยู่
เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากศาลยุติธรรมมีสีหน้าน่าเกลียดอย่างมากเมื่อเขาเดินมาที่อันหวา เขายื่นมือออกมารับจดหมาย น้ำเสียงสั่นเทาในยามที่ถาม “องค์สังฆราชมีคำสั่งอันใดหรือไม่”
อันหวาตอบ “องค์สังฆราชเขียนในจดหมายว่าจูเยี่ย หนิงสือเว่ยและพวกล้วนร่วมมือกันทำเรื่องเนรคุณ แต่นี่เป็นเรื่องที่ราชสำนักต้องเป็นผู้ตัดสินเอง”
ได้ยินเช่นนี้เจ้าหน้าที่ก็รู้สึกโล่งอก ในเมื่อพวกเขาล้วนตายไปแล้ว ก็ง่ายที่จะจัดการกับพวกเขา
อันหวากล่าวต่อ “องค์สังฆราชยังต้องการให้ข้าถามว่ากรมทหารเลือกผู้มีพรสวรรค์อย่างไร”
นางเป็นเพียงแค่อาจารย์ของกระทรวงสิบสามชิงเหย้า แต่นางในตอนนี้กำลังถามแทนองค์สังฆราช
ขุนพลเทพเฉิงเทากับเจี้ยนซีเป็นคนสำคัญที่สุดในค่ายทหารของต้าโจว ดังนั้นพวกเขาจึงควรเป็นตัวแทนในการพูดแทนกองทัพต้าโจว
ดังนั้นคำถามนี้ย่อมถามพวกเขาเป็นธรรมดา
เฉิงเทากับเจี้ยนซีไม่กล้าที่จะนั่งอีกต่อไป พวกเขายืนขึ้นและก้มหน้าลงช้าๆ รับฟังอย่างเงียบงันและเคารพ
อันหวาหันไปมองที่เหล่าคนสำคัญคนอื่น
เทียนไห่เฉิงเหวินส่งยิ้มเยาะตัวเองจากนั้นก็ใช้แขนยันที่เท้าแขนบนเก้าอี้และลุกขึ้นช้าๆ ดูอ่อนล้าอย่างมาก
จงซานอ๋องเป็นราชทูต มีราชโองการอยู่กับตัว จึงไม่จำเป็นต้องลุกขึ้น ทว่าสีหน้าเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมาก
“องค์สังฆราชกล่าวว่าท่านผิดหวังกับต้าโจวในตอนนี้เป็นอย่างมาก”
น้ำเสียงของอันหวายังคงสงบนิ่งอย่างมาก “จากชายแดนเหนือถึงราชสำนัก จากขุนพลเทพถึงตระกูลสูงศักดิ์ พวกเขาล้วนแต่ฟอนเฟะจนถึงแก่น”
คำพูดนี้ช่างรุนแรงนักแต่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ผ่าเผย
หากออกจากปากของคนทั่วไป คำพูดพวกนี้เป็นแค่คำบ่น แต่เมื่อพูดออกมาจากปากสังฆราช ย่อมมีความหมายที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง
จงซานอ๋องและเทียนไห่เฉิงเหวินสบตากันอีกครั้ง ความกังวลในดวงตายิ่งชัดเจนกว่าเดิม สังฆราชย่อมมีสิทธิ์พูดเช่นนี้ มีสิทธิ์ที่จะก่นด่าใครก็ตามที่ต่ำกว่าจักรพรรดิ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการปกครอง การพูดแบบนี้มีความหมายอะไรนอกไปจากการระบายอารมณ์อีก
ในสายตาพวกเขา แม้ว่าสังฆราชจะยังเยาว์ แต่เขาก็ไม่ทำเรื่องไร้ความหมาย ต้องมีอะไรมากไปกว่านั้น
ดังที่คาดไว้ อันหวาเปลี่ยนเรื่องและกล่าว “มีเพียงเฉินโฉวที่เคยเป็นผู้นำของกองทหารม้าลาดตระเวนชีหลี่ซี…”
เฉินโฉวไม่พูดอะไรตลอดเวลา เขากระวนกระวายเป็นอย่างมาก
เขามองอันหวาพูดอย่างสุขุมกับเหล่าคนใหญ่คนโต เขารู้สึกนับถือนางอย่างลึกซึ้ง
เขาไม่รู้เลยว่านางจะพูดถึงเขาขึ้นมาอย่างฉับพลัน
แม้ว่าเขาจะเตรียมใจมาไว้แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าสมองอื้ออึง ไม่อาจได้ยินคำพูดของอันหวาได้หมด
มีผลงานทางทหารโดดเด่น? ก็ใช่ ข้าสะสมผลงานมากมายกับพรรคพวกที่ชีหลี่ซี แต่พวกมันถูกศูนย์บัญชาการกองทัพกดเอาไว้ไม่ใช่หรือ
รักทหารเหมือนกับลูก? ให้พวกเขาสวมเสื้อของตนและเลี้ยงดูด้วยอาหารที่ดี? ก็ใช่ แม้ว่าข้าจะดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาได้ดี แต่ข้าจะทิ้งเขาตอนที่พวกเขาได้พบเนื้อกับสุราได้อย่างไร
มีความเที่ยงธรรมอย่างยิ่ง? ก็ใช่ ข้าไม่ลังเลที่จะฝ่ากฎเพื่อช่วยเหลือนักสร้างค่ายกลหนุ่ม ทิ้งศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานไป แต่องค์สังฆราชควรเข้าใจดีที่สุด… นี่ไม่ใช่การทำตามแผนของศัตรูท่านหรอกหรือ
เฉินโฉวตื่นขึ้นจากความมึนงงในที่สุด ตอนที่เขาได้ยินประโยคสุดท้ายของอันหวาเข้าพอดี
“องค์สังฆราชเชื่อว่ามีแต่ทหารอย่างแม่ทัพเฉินโฉวที่สามารถแบกรับภาระหนักในการป้องกันเผ่ามารได้”
อันหวามองไปรอบๆ ดูเหล่าคนสำคัญภายในห้องโถง
ขุนพลเทพเฉิงเทากับเจี้ยนซีต่างก็มีสีหน้าน่าเกลียดในขณะที่สีหน้าของเทียนไห่เฉิงเหวินค่อนไปทางตกใจ ทุกคนต่างคิด คงไม่ใช่ว่า
พวกเขาเตรียมที่จะหยุดอันหวาแต่พวกเขาก็สายไปแล้ว
อันหวากล่าวในที่สุด “องค์สังฆราชเชื่อว่าแม่ทัพเฉินโฉวควรได้รับตำแหน่งขุนพลเทพ เขาเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในการดูแลศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน”
ทั้งห้องโถงก็เงียบงันไปด้วยคำพูดนี้
มันยิ่งเงียบงันกว่าเมื่อตอนที่ยืนยันว่าเฉินฉางเซิงเป็นคนสร้างยาจูซาขึ้นมาเสียอีก
ความจริงเบื้องหลังเหตุนองเลือดคืนนั้นไม่สำคัญกับคนสำคัญเหล่านี้ และที่อยู่ของสังฆราชหรือชีวิตของเขานั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะไปแตะต้องได้
เป้าหมายที่พวกเขามายังศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานก็คือตำแหน่งขุนพลเทพไม่ใช่หรือ
แล้วสังฆราชมีเจตนาอะไร เขาต้องการจะใช้คำพูดเหล่านี้แย่งมันไปเช่นนั้นหรือ
สีหน้าจงซานอ๋องน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ
ยังคงเป็นเสียงทุ้มต่ำที่เลือกเวลาพูดได้อย่างเหมาะเจาะ
ในช่วงเวลาสำคัญนี้ ยังคงเป็นจิ้งจอกเฒ่าเทียนไห่เฉิงเหวินที่กล่าว
“คนที่ควรถูกลงโทษก็จะถูกลงโทษแต่…แม้แต่องค์สังฆราชก็ไม่อาจเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของราชสำนัก โดยเฉพาะไม่อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องการทหาร”
อันหวายังคงสงบนิ่งมาก ไม่ตอบโต้แต่อย่างไร
นางได้ทำทุกสิ่งที่สังฆราชขอให้นางทำแล้ว
นางไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ แต่นางเชื่อว่าเมื่อสังฆราชมีแผนการ แผนการเหล่านี้ย่อมสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ได้
อย่างที่นางคิด เสียงอื้ออึงดังออกมาจากด้านนอกศูนย์บัญชาการกองทัพ ตามด้วยเสียงหนึ่ง
“พระราชวังหลีไม่เคยเขาไปยุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก แต่เมื่อมีคนในราชสำนักกล้าวางแผนร้ายต่อองค์สังฆราช พวกเขาก็ต้องมีคำอธิบาย”
“เจ้าหน้าที่และทหารทั้งหมดในศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องถูกจับและมอบให้กับข้าเพื่อให้ข้านำกลับไปยังจิงตูและสอบสวน”
“นับจากวันนี้เมืองฮั่นชิวจะถูกปิด ไม่มีใครในตระกูลจูและพรรคไร้รักที่ได้รับอนุญาตให้ออกไปได้”
“ส่วนตระกูลเทียนไห่ เมื่อข้ากลับไปยังจิงตู ข้าจะมีการเรียกร้องกับบางคนเป็นแน่”
นี่เป็นเสียงที่หม่นมัวอย่างยิ่ง เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมไร้ขอบเขต คำพูดที่กล่าวก็แข็งกร้าวไม่ยอมใครยิ่งกว่า
หลังจากประกาศความต้องการทั้งสี่ คนผู้นั้นก็เดินจากประตูของศูนย์บัญชาการกองทัพเข้าสู่ห้องโถง
คนผู้นี้สวมชุดนักพรตสีน้ำเงิน แผ่รัศมีอันเย็นเยียบ
ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานได้รับการคุ้มกันอย่างหนัก ทว่าไม่มีใครกล้าหยุดเขา
เพราะเขาคือราชันย์แห่งหลิงไห่ มหามุขนายกแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่โหดเหี้ยมที่สุดของพระราชวังหลี
เพราะมหามุขนายกอันหลินกับนักพรตไป๋สืออยู่ข้างกายเขา
เพราะหานซานดูเหมือนจะโกรธเกรี้ยว เสียงกระทืบกีบเท้าดังราวกับฟ้าคำราม
สามผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวงมายังศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน
กองทหารม้าคุ้มกันสองพันนายอยู่ด้านนอกเมือนเขาซงซาน!
อีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่บนหลังคาอาคารที่อยู่ลึกเข้าไปในศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน กำลังส่งเสียงร้อง
ในเทือกเขา ผืนหิมะขาวดูสว่างจ้าตัดกับหน้าผาสีดำ
ลมเหน็บหนาวและเกล็ดหิมะพัดขนสีดำของอีกา
หากเทียบกับเสียงร้องโหยหวนของสายลม ความเงียบใต้หลังคาก็เรียกได้ว่าเงียบงันราวความตาย