ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 138 ล้วนคุกเข่าให้
จูเยีย หนิงสือเว่ยกับเทียนไห่จันอีล้วนตายบนเทือกเขาในคืนนั้น แต่อันที่จริงไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาได้ทำอะไรลงไป ไม่มีใครสามารถใช้พวกเขาโยงไปถึงคนในจิงตูได้ อย่างไรก็ตามความต้องการของพวกเขาไม่ใช่ความลับ ทุกคนคิดได้ว่าการที่นิกายหลวงจะเรียกร้องค่าชดเชยจำนวนหนึ่งจากราชสำนักนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุผล
“องค์สังฆราชมีเมตตา แต่ข้าไม่ใช่พวกอารมณ์ดี หากท่านไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของข้า การสืบสวนนี้ก็ยังดำเนินต่อไป”
ราชันแห่งหลิงไห่ก้าวออกมาและจ้องไปที่ดวงตาของจงซานอ๋อง “ท่านอ๋องควรคิดให้ดีว่าท่านแบกรับได้หรือไม่”
จงซานอ๋องมีสีหน้าเยือกเย็นแต่ไม่ได้ตอบอะไร
เขารู้ดีว่าต่อให้การสืบสวนเรื่องการลอบสังหารสังฆราชไม่อาจไปถึงเซียงอ๋อง แต่ตระกูลจูที่ตอนนี้ไร้การปกป้องจากยอดฝีมืออาจจบลงด้วยการถูกยึดทรัพย์และฆ่าล้างตระกูล อย่าว่าแต่ความสัมพันธ์นานพันปีของตระกูลจูกับราชสำนัก แค่คำสัญญาที่ให้กับจูลั่วเมื่อสามปีก่อนก็ทำให้เขากับเซียงอ๋องไม่ยินยอมดูภาพนี้แล้ว
เทียนไห่เฉิงเหวินยังคงนิ่งเงียบ
ความผิดฐานลอบสังหารสังฆราชนั้นหนักเกินไป เมื่อชื่อของเทียนไห่จันอีแปดเปื้อนข้อกล่าวหานี้ก็ยากนักที่จะล้างให้สะอาดได้
ตระกูลเทียนไห่ในตอนนี้ไม่ได้เป็นเหมือนก่อน หากพระราชวังหลีทุ่มเทกำลังออกมาตระกูลเทียนไห่ก็ไม่แน่ว่าจะต้านทานได้
อันที่จริงการสืบคดีด้วยท่าทีเช่นนี้นั้นไร้เหตุผล คนที่เกี่ยวข้องล้วนตายไปแล้ว นอกจากจดหมายของเฉินฉางเซิงกับพยายานสองคนก็ไม่มีหลักฐานใดอีก การที่นิกายหลวงมายุ่งเกี่ยวกับการแต่งตั้งขุนพลเทพศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานยิ่งเกินไป แต่นิกายหลวงก็ได้ทำไปแล้วและไม่มีท่าทีว่าจะปิดบังเป้าหมาย
ใครให้คนผู้นั้นเป็นสังฆราชกันเล่า เหมือนกับที่ราชันแห่งหลิงไห่ได้บอกไว้ ราชสำนักจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทน
อย่างไรก็ตาม นี่เพียงพอแล้วหรือไม่ มันสามารถยุติเรื่องนี้หรือไม่
“เราจะไปยังอารามเต๋าเพื่อรอผล ยิ่งพวกท่านตกลงหาข้อสรุปได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น”
ก่อนที่ราชันแห่งหลิงไห่จะจากไป เขากล่าวกับจงซานอ๋อง “โปรดบอกเซียงอ๋องด้วยว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น”
ดังที่คาด มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
ในศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานที่เงียบงันอีกครั้ง เหล่าคนสำคัญล้วนจมอยู่ในความคิดของตนเอง แต่พวกเขาล้วนบังเอิญคิดถึงคำเดียวกัน
“บัดซบ!”
จงซานอ๋องพลันลุกขึ้นและชี้ไปที่หน้าของสองขุนพลเทพในยามที่สบถ “พวกเจ้าเป็นสุกรหรือไง กล้ายื่นมือชิงของจากเขา! ยังกล้าลงมือกับเขาอีก!”
ในตอนนี้หนึ่งในผู้ติดตามท่านอ๋องมาที่ประตูและกระแอมเบาๆ
ทุกคนเข้าใจและไม่ต้องการที่จะทนรับความโกรธของอ๋องผู้บ้าคลั่งนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบกล่าวลาและจากไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนเทียนไห่เฉิงเหวินจะจากไปจงซานอ๋องคว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้แล้วกระซิบ “ตระกูลถังรู้ว่าเจ้าของยาจูซาเฉินฉางเซิง ในวังก็รู้เช่นกัน แต่ข้ากลับไม่รู้ เซียงอ๋องไม่รู้และเจ้าก็ไม่รู้ เจ้าไม่คิดหรือว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติ”
เมื่อเขาคิดเรื่องที่ประมุขสิบเจ็ดก็ตายบนเทือกเขาเช่นกัน การที่ตระกูลถังไม่ได้ส่งคนมาในวันนี้ เทียนไห่เฉิงเหวินก็รู้สึกถึงความกังวลที่ผุดขึ้นมาในใจ
“ขอบคุณสำหรับคำเตือน”
หลังจากเทียนไห่เฉิงเหวินจากไป ผู้ติดตามท่านอ๋องก็เดินมาหาจงซานอ๋องและส่งจดหมายให้
ไม่มีอะไรเขียนบนซองจดหมาย แต่มีตราประทับที่ซับซ้อนที่สุด
จงซานอ๋องเปิดจดหมาย เขานิ่งเงียบไปในยามที่เขาอ่านเนื้อความ ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ
“แม้แต่ตระกูลชิวซานก็ยังรู้… จิ้งจอกเฒ่านี่คำนวณเวลาในการส่งจดหมายใช่ไหม”
……
……
การสืบสวนย่อมกลายเป็นการเจรจาในที่สุด การเจรจายังไม่ยุติพวกเหล่าคนสำคัญก็สะบัดแขนเสื้อจากไป แต่เรื่องที่หารือกันได้แพร่ออกไปทั่วเมืองราวกับไฟป่า
ในเวลาอันสั้น ทุกคนในเมืองของศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนเทือกเขาคืนนั้น ฝูงชนย่อมอดที่จะรู้สึกว่าข่าวนี้ช่างเหลวไหลในยามที่พูดต่อกันไปไม่ได้
ขุนพลเทพถึงกับวางแผนทำร้ายองค์สังฆราชอย่างนั้นหรือ ยังมีขุมกำลังอื่นร่วมมือด้วย แล้วพวกคนร้ายก็ตายใต้การลงทัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ขององค์สังฆราชในที่สุดเช่นนั้นหรือ
ข่าวที่น่าตกใจที่สุดก็คือเจ้าของยาจูซาที่ลึกลับกลับเป็นองค์สังฆราชเอง!
ยาจูซาแท้จริงแล้วกลั่นจากโลหิตในร่างกายศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดของสังฆราช!
รถม้าศักดิ์สิทธิ์สามคันได้รับการคุ้มครองออกจากศูนย์บัญชาการกองทัพโดยทหารม้านิกายหลวงนับไม่ถ้วน มุ่งหน้าไปยังอารามทางตะวันตกของเมือง
ฝูงชนบนถนนแหวกทางออกราวกับคลื่น คุกเข่าคำนับกับพื้น
นี่เป็นเพราะสามคนสำคัญของนิกายหลวงนั่งอยู่ภายในรถม้าศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม แต่ยังเป็นเพราะพวกเขาต้องการที่จะแสดงความขอบคุณต่อสังฆราชผู้เมตตา
บางคนมีดวงตาแวววาวทำให้บอกได้ในทันทีว่าพวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญตน บ้างก็สวมใส่เครื่องแต่งกายเฉพาะของนักสร้างค่ายกล สิ่งที่เหมือนกันก็คือพวกเขาล้วนบาดเจ็บไม่มากก็น้อย
ยามที่รถม้านิกายหลวงผ่านไป พวกเขาก้มกราบอย่างเงียบงัน
บางคนก็มีสีหน้าผสมปนเป แต่ก็ยังหมอบกราบอยู่บนพื้น
คนที่อยู่บนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญตนหมอบกราบให้กับฟ้าดิน กับราชา กับบิดามารดาและอาจารย์เท่านั้น
พวกเขาย่อมไม่ได้หมอบกราบต่อสามผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวงภายในรถม้า แต่เป็นสังฆราช
พวกเขาล้วนเคยบาดเจ็บสาหัสในสนามรบ หากพวกเขาไม่โชคดีได้รับยาจูซา พวกเขาคงกลายเป็นกระดูกขาวฝังอยู่ใต้ดินเหลืองไปแล้ว
มีแต่วันนี้เท่านั้นที่พวกเขาได้รู้ว่าสังฆราชเป็นผู้ที่ช่วยเขาเอาไว้ และสังฆราชยังถึงกับใช้โลหิตศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง เมื่อเขาคิดถึงความเมตตาของสังฆราชจะไม่ให้พวกเขาตื้นตันจนน้ำตารินได้อย่างไร และเมื่อคิดว่าเลือดของสังฆราชได้ไหลอยู่ในร่างของตน พวกเขาจะไม่เทิดทูนได้อย่างไร
แม้แต่เหล่ายอดฝีมือที่สังกัดขุมกำลังอื่นก็ยังไม่อาจใช้เรื่องฝักฝ่ายเป็นข้ออ้างจากไป พวกเขาก็ก้มกราบกับพื้นเช่นกัน
……
……
ลมเหมันต์เหน็บหนาวพัดม่านหน้าต่างขึ้นแต่ก็ไม่อาจเข้าไปได้
เหมือนกับรถม้าศักดิ์สิทธิ์จากยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ รถม้าศักดิ์สิทธิ์ของพระราชวังหลีก็ติดตั้งค่ายกลป้องกันลมเอาไว้ ทำให้ภายในอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ
อันหลินมองผ่านหน้าต่างไปที่ฝูงชนที่อยู่บนถนน เมื่อนางเห็นเหล่าผู้บำเพ็ญตนและนักสร้างค่ายกล นางก็แข็งทื่อไปชั่วขณะหนึ่ง
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็พึมพำกับตัวเอง “องค์สังฆราชดูต่างไปจากในอดีต”
มันเป็นแค่การแสดงออกถึงอารมณ์และยังเป็นการถอนหายใจที่แฝงไว้ด้วยความหมายลึกล้ำ
ในฐานะหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่นิกายหลวง มหามุขนายกโองการศักดิ์สิทธิ์ การแสดงอารมณ์ของนางหมายถึงสิ่งใด
อันหวานั่งอยู่ข้างกายนางจึงได้ยินคำพูดนี้อย่างชัดเจน นางเข้าใจความหมายของอันหลินอย่างรวดเร็ว
อันที่จริงอดีตที่ว่าผ่านไปแค่สามปีเท่านั้น
สามปีก่อนเฉินฉางเซิงเป็นแค่นักพรตหนุ่มที่สุขุมแต่มุ่งมั่น ในตอนนี้ท่าทีของเขาต่อการแย่งชิงตำแหน่งขุนพลเทพกองทัพซงซานกับสายตาชื่นชมนับไม่ถ้วนที่เกิดจากยาจูซาดูเหมือนจะบ่งบอกว่าทั้งมุมมองต่อโลกและวิธีการของเขานั้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปมาก
“ท่านป้า ท่านเข้าใจองค์สังฆราชผิดไปแล้ว เรื่องการเผยความจริงเกี่ยวกับยาจูซาเป็นความคิดของข้าเอง”
อันหวามองไปที่มหามุขนายกอันหลินและกล่าวอย่างจริงใจ “การกระทำอันสูงส่งนี้ย่อมต้องให้คนได้รับรู้ ไม่อย่างนั้นจะชี้นำผู้คนไปในทางที่ดีได้อย่างไร”
อันหลินมองไปที่หลานของนางและยิ้ม ลูบผมนางอย่างแผ่วเบา นางคิดในใจ เจ้าในตอนนี้เทิดทูนองค์สังฆราชอย่างยิ่ง แต่เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนที่นักพรตหนุ่มเข้าจิงตูมาครั้งแรก ถ้อยคำอย่าง ‘เป็นที่เทิดทูน’ นั้นไม่มีอยู่ในใจของเขาด้วยซ้ำ