ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 139 การเดินทางที่ยากลำบาก
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าทำวันนี้อันตรายเพียงใด”
“ข้านำโองการขององค์สังฆราชมา มันจะอันตรายได้อย่างไร แล้วยังมีท่านป้ากับมหามุขนายกอีกสองท่านเร่งรุดมามิใช่หรือ”
อันหลินคิด เจ้าเด็กคนนี้บำเพ็ญตนอยู่ในกระทรวงสิบสามชิงเหย้ามานานหลายปีเลยไม่รู้เรื่องของโลกภายนอกเอาเสียเลย ได้แต่คิดว่านางยังไร้เดียงสาเท่านั้น
“ตำหนักทั้งหกของพระราชวังหลีปิดตัวมาสามปี ดูสงบนิ่งจากภายนอกแต่อันที่จริงแล้วเราได้รับแรงกดดันอย่างหนักอยู่ตลอดเวลา”
รอยยิ้มของนางจางลงเมื่อกล่าวอย่างสุขุมจริงจังกับอันหวา “สุดท้ายแล้วปรมาจารย์เต๋าก็ยังเป็นนักปราชญ์แห่งนิกายหลวง และตอนนี้ยังเป็นบุคคลอันสูงส่งของโลก คนในนิกายหลวงมากมายที่ยินดีจะเดินตามรอยเท้าของเขา ต่อให้องค์สังฆราชกลับสู่จิงตูก็ไม่แน่ว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์โดยรวมได้”
“นิกายหลวงมีสังฆราชแค่องค์เดียวเท่านั้น”
อันหวาถามอย่างตรงไปตรงมา “ท่านป้าท่านยังคงสนับสนุนองค์สังฆราชเสมอใช่ไหม”
“สามปีก่อนตอนที่องค์สังฆราชกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว ข้ากับเหมาชิวอวี่และพวกที่เหลือต่างก็ได้รับคำสั่งสุดท้ายจากท่าน พวกเราย่อมต้องทำตามไปจนถึงที่สุดแต่…” อันหลินมองไปที่ผนังรถม้าตรงหน้า น่าจะมองไปที่รถม้าศักดิ์สิทธิ์คันหน้า “ปรมาจารย์เต๋ายังคงเป็นอาจารย์ขององค์สังฆราช ดังนั้นข้าไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร”
อันหวาครุ่นคิดอย่างจริงจังจากนั้นรู้สึกว่านางไม่จำเป็นต้องคิด เพราะในใจนางมีแต่องค์สังฆราชเท่านั้นที่เป็นเทพเจ้า
……
……
ราชันแห่งหลิงไห่กับนักพรตไป๋สือนั่งในรถม้าศักดิ์สิทธิ์คันเดียวกัน
สองผู้ยิ่งใหญ่นิกายหลวงไม่เคยมองกัน มันเป็นไปอย่างสงบเงียบอย่างมากจนอาจเรียกได้ว่าเย็นชา
เสียงโห่ร้องดังจากภายนอก คำชื่นชมและเสียงโขกศีรษะคำนับไม่ได้ก่อให้เกิดคลื่นในดวงตาของพวกเขาแม้แต่น้อย
มีแต่ยามที่ลมเย็นพัดใบไม้กระทบหน้าต่างไม้ฉลุเท่านั้นที่สีหน้าของนักพรตไป๋สือถึงได้ผ่อนคลายขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าการเดินทางท่องโลกขององค์สังฆราชสามปีนี้ไม่ได้เสียเปล่า วิธีการของเขานั้นหลักแหลมขึ้นมาก”
เขายังไม่ได้หันหน้าไปมองราชันแห่งหลิงไห่ น้ำเสียงราบเรียบราวกับดังมาจากซากศพ
“ในฐานะมหามุขนายกตำหนักวัฒนธรรม ข้ากลับไม่รู้ความจริงทั้งหมดจนกระทั่งเมื่อคืนนี้ การที่องค์สังฆราชสามารถปกปิดเรื่องนี้จากทั้งข้าและเจ้านั้นเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอย่างแท้จริง”
เฉินฉางเซิงย่อมมีวิธีในการสื่อสารกับพระราชวังหลี ไม่เช่นนั้นสามผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายหลวงคงไม่อาจนำทหารม้านิกายหลวงสองพันนายมายังศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานป่านฟ้าร้องคำรามเช่นนี้ ปัญหาก็คือนักพรตไป๋สือไม่รู้ว่าวิธีการสื่อสารนี้คืออะไร ในมุมมองของเขาราชันแห่งหลิงไห่ก็ไม่รู้เช่นกัน
ทุกคนรู้ว่าในอดีตความสัมพันธ์ระหว่างราชันแห่งหลิงไห่กับเฉินฉางเซิงและสำนักฝึกหลวงนั้นย่ำแย่มาก
หากไม่ใช่เพราะเฉินฉางเซิง เขาอาจได้เป็นสังฆราชก็เป็นได้
ทั้งสองประโยคของนักพรตไป๋สืออาจตีความได้ว่าเป็นการชื่นชมความฉลาดของสังฆราชแต่ก็อาจตีความได้ว่าเป็นการยั่วยุ
ใบหน้าของราชันแห่งหลิงไห่ยังคงนิ่งเฉยเช่นเดียวกับเวลาส่วนใหญ่
ยามที่ใบไม้ใบที่สองร่วงกระทบกับหน้าต่างไม้ฉลุ เขาก็เปิดปากในที่สุด แต่ไม่ได้ตอบคำพูดของนักพรตไป๋สือ
“ทำไมไม่มีคนจากตระกูลถังมาเลย”
การเปลี่ยนเรื่องครั้งนี้ช่างทื่อด้านและฉับพลัน คำถามก็ฟังเย็นชาอยู่บ้าง
นักพรตไป๋สือขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าไม่รู้”
ราชันแห่งหลิงไห่มองไปนอกหน้าต่างและหันไปหานักพรตไป๋สือ
เขาหันหน้าช้าๆ จนดูเหมือนกับเป็นหุ่นเชิด แทบได้ยินเสียงกระดูกลั่น แต่ก็เหมือนกับกระบี่ที่ถูกชักออกจากฝักช้าๆ เช่นกัน
“ข้าไม่เคยคิดว่ามู่จิ่วซือเป็นคนของนิกายหลวงเราตั้งแต่ก่อนที่นางจะถูกขับออกจากพระราชวังหลีเสียอีก ดังนั้นข้าจึงเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในหมู่พวกเราเสมอมา ข้ายังมีเวลาอีกมาก ดังนั้นข้าจึงรอคอย อย่ามาพูดไร้สาระว่าเฉินฉางเซิงอายุน้อยกว่าข้า แล้วก็เลิกตีสีหน้าศักดิ์สิทธิ์ยากคาดเดาต่อหน้าข้าได้แล้ว”
ราชันแห่งหลิงไห่จ้องไปที่ดวงตาของนักพรตไป๋สือ “ข้าไม่เคยชอบสังฆราชคนนี้ของเรา แต่ถ้าเขาถูกลอบสังหารสองครั้งติดต่อกัน ข้าคงจะโกรธกว่านี้มาก เพราะนี่คือการท้าทายพระราชวังหลี เป็นการหยามข้าและเมื่อข้าโกรธขึ้นมาจริงๆ ท่านก็ควรรู้ดีว่าข้าจะทำอย่างไร”
หลังจากกล่าวเช่นนี้แล้ว เขาก็หันหน้ากลับไปที่หน้าต่าง ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้พูดอะไรออกมา
……
……
รถม้าของนิกายหลวงไม่ได้รอที่ซงซานนานนัก
เป็นเพราะว่าคณะราชทูต จงซานอ๋องและเหล่าคนสำคัญไม่ได้ใช้เวลานานนักก็ได้ข้อสรุปว่าจะทำตามข้อเรียกร้องของพระราชวังหลี
นายทหารนามเฉินโฉวจากกองทหารม้าลาดตระเวนชีหลี่ซีได้กลายเป็นขุนพลเทพคนใหม่ของศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน
ข่าวนี้ทำให้คนในเมืองซงซานตกตะลึง โดยเฉพาะเหล่าเจ้าหน้าที่ที่รู้จักพื้นเพของเฉินโฉวและเหตุที่เขาถูกลดขั้น
ส่วนเหตุผลเบื้องหลังการเคลื่อนไหวนี้ ทำให้คนในสถานที่หลายแห่งต้องตกตะลึง อย่างเช่นด่านหลานกวน ด่านยงเสวี่ย เมืองสวินหยางและแม้แต่จิงตูกับลั่วหยาง
สังฆราชที่หายไปสามปีกลับอยู่บนสนามรบแดนเหนือตลอดเวลา เขาไม่เคยลืมเหล่าทหารมนุษย์และต่อสู้กับกองทัพมารในสนามรบที่อาบไปด้วยเลือด เขาไม่สนใจเรื่องการสละเลือดแท้เพื่อสร้างยาจูซาและช่วยชีวิตคนไว้มากมายนับไม่ถ้วน จากนั้นก็มีบางคนพยายามที่จะลอบสังหารเขาบนเทือกเขา
หลังจากนิ่งเงียบอยู่นานสามปี พระราชวังหลีก็พลันส่งเสียงขึ้นมา ใช้เรื่องนี้เพื่อชิงตำแหน่งในศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน แล้วนี่หมายความว่าอย่างไรกันแน่
สังฆราชผู้ถูกเนรเทศดูเหมือนว่ากำลังจะกลับมาสู่สายตาของสาธารณชน แต่นี่หมายความว่าเขาต้องการจะกลับสู่จิงตูด้วยหรือเปล่า
……
……
มีเขาสูงมากมายทอดตัวอยู่หลังเมืองซงซาน เส้นทางนับไม่ถ้วนทอดตัวอยู่ระหว่างภูเขาต่างๆ ศาลาหยาบๆ กระท่อมมุงหญ้าถูกสร้างอยู่ตามทางอันคดโค้งเล่านี้
ในโลกมนุษย์อันคึกคักแดนใต้ กระท่อมหรือศาลาพวกนี้อาจเรียกว่ากระท่อมลาจากหรือศาลาพลัดพราก ใช้เพื่อยื้อเวลาก่อนที่จะแยกจากและรู้สึกเศร้าในการจากลามากขึ้น
อย่างไรก็ตามในที่นี้ศาลาและกระท่อมมุงหญ้าเหล่านี้ถูกใช้เพียงเพื่อหลบฝนและพักผ่อนเท่านั้น
ในสนามรบ คนอาจขึ้นสู่สวรรค์ตลอดกาล อาจเดินทางสู่ความตาย แต่การพรากจากทั้งที่ยังมีชีวิตนั้นยังรู้สึกเศร้ายิ่งกว่า
หลัวปู้ใช้สองนิ้วคีบไหสุราเล็กๆ ในขณะที่มองไปยังเมืองซงซานกลางหมอก เขานิ่งเงียบดูราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง
เฉินฉางเซิงกับหนานเค่อยืนข้างกายเขา พวกเขามองตามไปแต่ก็ตระหนักได้ว่ามองไม่เห็นอะไรเลย
พวกเขาได้ออกจากคอกม้าผาชันและมายังที่แห่งนี้ ตามแผนก่อนหน้านี้นี่คือเวลาที่จะต้องแยกจากกันแล้ว
ทางภูเขาแยกเป็นสามสาย มุ่งไปทางใต้ เหนือและตะวันตก
ทางสายเหนือทอดตัวลงจากภูเขาเข้าสู่เมืองซงซาน ไกลออกไปทางเหนือขึ้นไปอีกเป็นทุ่งหิมะรกร้างที่อาจเห็นเงาร่างของทัพหมาป่าเผ่ามารได้ทุกขณะ
ทางสายใต้ทอดข้ามเทือกเขา ข้ามผ่านทุ่งหญ้าพันลี้สู่เมืองสวินหยาง
ทางสายตะวันตกอ้อมผ่านเทือกเขา ข้ามแม่น้ำซื่อยาและเนินเขานับไม่ถ้วน ใช้เวลาสองวันก็จะพบกับโครงร่างของเมืองฮั่นชิว
จากเมืองฮั่นชิวลงใต้ไปอีกก็จะเป็นเวิ่นสุ่ย
เฉินฉางเซิงต้องการจะไปเวิ่นสุ่ย
อีกฝ่ายหนึ่ง หลัวปู้ต้องไปที่เมืองซงซาน หลังจากส่งมอบตราประทับทางการทหารแล้วเขาก็จะจากไป
เขารู้สึกไม่เต็มใจอยู่บ้างหรือไม่หลังจากที่สู้อยู่บนทุ่งหิมะมาเกือบห้าปี