ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 14 ไม่อาจอธิบาย
ประตูพระราชวังทั้งหมดปิดสนิท ขุนพลเทพในจิงตู ขุนนางในราชสำนัก ท่านอ๋องทั้งหลายล้วนอยู่ในวัง เหมาชิวอวี่กับนักพรตไป๋สือรีบรุดมาจากพระราชวังหลี เมื่อเวลาผ่านไป ข่าวสารก็ถ่ายทอดจากทุ่งหิมะไปทางใต้ ข่าวนี้สั่นสะเทือนไปทั่วต้าลู่และอาจนำความวุ่นวายนานัปการมา ยิ่งมีรายละเอียดมากขึ้นภาพก็ชัดเจนยิ่งขึ้น
สามวันก่อน ในคืนที่เกิดการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซูในเมืองจิงตู เหตุการณ์สะเทือนโลกก็เกิดขึ้นในเมืองเสวี่ยเหล่าเช่นกัน ผู้บัญชาการมารพลันชักธงก่อกบฏ นำกองทัพโจมตีพระราชวังมาร ราชามารถูกกุนซือผ่ามารชุดดำกับยอดฝีมือจากสภาผู้อาวุโสลอบโจมตี ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตกลงในนรกภูมิไร้หวังจะรอดชีวิต
องค์หญิงเผ่ามารหนานเค่อใช้วิชาลับระเบิดโลหิตทำลายม่านพลังรอบพระราชวังมาร เปลี่ยนร่างเป็นนกยูง บินไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ อาศัยท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยหิมะลมแรงหลบหนีไปได้สำเร็จ เจ็ดขุนพลมารที่ภักดีต่อราชามารและทหารม้าเผ่ามารหลายหมื่นนายถูกสังหารไม่ก็ถูกประหารในการก่อกบฏครั้งนี้ ถนนหนทางในเมืองเสวี่ยเหล่าปกคลุมไปด้วยเลือดจนดูราวกับทะเลสีเขียว ใครเห็นเป็นต้องหวาดกลัวตัวสั่น ไม่นานหลังจากนั้น ชุดดำกับผู้บัญชาการมารก็เสนอให้บุตรคนเล็กของราชามารขึ้นเป็นจักรพรรดิ ส่งราชโองการออกมาอย่างต่อเนื่องถึงเผ่ามารทั้งหมดและกองทัพทั้งหลาย ให้สาบานตนแสดงความภักดี ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ออกคำสั่งให้สังหารหนานเค่อ
เกิดอะไรขึ้นที่นี่ เหล่าคนสำคัญของต้าโจวล้วนอยู่ภายในท้องพระโรง มองหน้ากันและกันอย่างวิตกกังวล แม้แต่หลังจากยืนยันข่าวนี้แล้วผ่านช่องทางมากมาย ก็ยังยากที่จะเชื่อได้… ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติในช่วงพันปีที่ผ่านมา คนชั่วที่ทอดเงาอยู่ทั่วแดนเหนือ คนที่แม้แต่จักรพรรดิไท่จงก็ยังไม่อาจจะสังหารได้…จะตายลงเช่นนี้น่ะหรือ
ใช่ เมื่อพันปีก่อนราชามารพ่ายแพ้ให้กับโจวตู๋ฟูและบาดเจ็บสาหัส ปีนี้ที่หานซาน เขาได้ใช้เลือดแท้ไปมากมายเพื่อทำลายค่ายกลที่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์สร้างขึ้น ผู้คนน้อยนักที่รู้ว่าตอนที่ราชามารกลับสู่เมืองเสวี่ยเหล่า เขาได้พบเข้ากับจักรพรรดิขาว คาดได้ว่าเกิดการต่อสู้ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน อาการบาดเจ็บมีแต่แย่ลง แต่เขาจะตายเช่นนี้น่ะหรือ
ที่พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ก็คือ เขาตายในการกบฏได้อย่างไรกัน
ใครในเผ่ามารจะมีความแข็งแกร่งพอที่จะล้มราชามารได้ แน่นอนว่าไม่อาจเป็นสภาผู้อาวุโส ไม่อาจเป็นพวกชนเผ่าที่รู้แต่เข่นฆ่าอย่างมุทะลุ เป็นได้แต่เพียงผู้บัญชาการมารที่ควบคุมกองทัพมารจำนวนมากและมีความแข็งแกร่งเหนือธรรมดา กับชุดดำผู้ลึกลับที่รวบรวมพลังอำนาจทั้งมวลอยู่ลับๆ เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทั้งสองยังทำงานร่วมกัน
ปัญหาก็คือแม้แต่นักเล่านิทานที่มีจินตนาการกว้างไกลที่สุดก็ยังไม่กล้าคิดเรื่องเช่นนี้
ทุกคนรู้ว่ากุนซือชุดดำกับผู้บัญชาการมารเป็นเหมือนน้ำกับไฟ หากราชามารไม่ขวางความขัดแย้งของพวกเขาด้วยตัวเอง เป็นตัวกลางให้พวกเขามาหลายครั้ง ทั้งสองฝ่ายคงไม่อาจอยู่ร่วมกันได้
ความเกลียดชังของคนทั้งสองไม่อาจเป็นของปลอม และสถานการณ์นี้ก็เกิดมายาวนานหลายร้อยปีแล้ว แล้วใครกันที่สามารถทำให้ชุดดำกับผู้บัญชาการมารละทิ้งความเป็นอริ หัวมาร่วมมือกันทำเรื่องเสี่ยงอย่างมากเช่นนี้ได้ ใครที่ทั้งสองเชื่อใจถึงขนาดยอมให้ความร่วมมือทำเรื่องอกตัญญูและน่ากลัวอย่างโจมตีราชามาร
ทุกคนหันไปมองทางหนึ่งของท้องพระโรงโดยไม่รู้ตัว ในมุมที่ไม่โดดเด่นของท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ บรรยากาศเงียบสงบอย่างมาก ไม่มีขันทีนางกำนัลอยู่ตรงนั้น มีเพียงม่านลูกปัดที่ส่ายไหวไปตามลมฤดูใบไม้ร่วง ทำให้มองเห็นภาพเบื้องหลังม่านลูกปัด ด้านหลังม่านไม่ใช่เก้าอี้ทว่าเป็นทางเดินยาว
ทางเดินนี้นำไปสู่ห้องที่ธรรมดาอย่างมาก
หลายปีก่อน ขุนนางในตำนานที่มีรูปอยู่บนหอหลิงเยียนมักใช้เวลาอยู่ในห้องนั้น ดื่มชา เล่นหมากรุก สบถ เพื่อฆ่าเวลาอันน่าเบื่อหน่ายก่อนเข้าประชุมขุนนาง
ในตอนนี้ หลายปีแล้วนับตั้งแต่จักรพรรดิไท่จงได้คืนสู่ทะเลดวงดาว และขุนนางในตำนานเหล่านั้นได้ติดตามพระองค์ไป ไม่มีใครที่เหลืออยู่กล้าผ่อนคลายเช่นนั้นในพระราชวังอีก แม้แต่เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในห้องที่ธรรมดานี้ ก็เหมือนผู้คนส่วนใหญ่จะลืมไปแล้ว
มีคนหนึ่งที่ไม่ลืม เพราะเขาเป็นคนที่อยู่ในยุคสมัยนั้น
เขาไม่ได้มีรูปอยู่ในหอหลิงเยียน หรือมีชื่อเสียงแบบขุนนางในตำนานเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง ในยุคสมัยนั้น เขามีความสำคัญกว่าคนส่วนใหญ่ในหอหลิงเยียน นั่นเพราะก่อนที่ขุนนางในตำนานเหล่านั้นจะตาย ก่อนที่รูปของพวกเขาจะถูกนักพรตอู๋วาดขึ้น พวกเขาต้องผ่านการตรวจสอบโดยชายผู้นี้ ในอีกมุมมองหนึ่ง ขุนนางในตำนานเหล่านั้นล้วนถูกชายผู้นี้ส่งขึ้นหอหลิงเยียน
ในตอนนี้ เขาอยู่ในห้องที่ธรรมดานั้น
ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังรำลึกถึงอดีตเพื่อนร่วมรบหรือกำลังรายงานบางอย่างต่อจักรพรรดิไท่จง
……
……
ระหว่างการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เคยถามว่าใครจะรับมือกับการรุกรานของเผ่ามาร
ซางสิงโจวกล่าวว่าเขาจะเป็นคนรับมือเอง
ฮั่นชิงเชื่อว่าซางสิงโจวทำได้ จึงใช้ทวนหิมาลัยเทวาออกกระบวนท่าสารทพิฆาต
หลังจากผ่านไปสามวัน ราชามารตายไปแล้วจริงๆ เมืองเสวี่ยเหล่าตกอยู่ในความโกลาหล ซางสิงโจวได้พิสูจน์คำพูดของตนแล้ว
ในตอนนี้ ฮั่นชิงย่อมรีบรุดไปยังเมืองเสวี่ยเหล่า อดีตรัชทายาทเผ่ามารจะยอมเห็นน้องชายคนเล็กขึ้นครองบัลลังก์ราชามารได้เช่นนั้นหรือ
คนสำคัญในท้องพระโรงล้วนมองมาอย่างพูดไม่ออก ดูม่านลูกปัดส่ายไปมาอย่างเงียบงัน
พวกเขาไม่อาจมองเห็นซางสิงโจว ทว่าดวงตาเปี่ยมไปด้วยความนับถือ
……
……
ยามเมฆครึ้มฟ้า แสงของเมืองจิงตูจะสะท้อนอยู่บนชั้นเมฆอยู่บ้าง ทำให้ความมืดไม่หนาหนักจนเกินไป
ยามที่ไม่มีเมฆ ท้องฟ้ากว้างพร่างดาวจะส่องแสงลงมาบนโลก ความมืดก็ไม่หนาหนักเกินไป
โดยสรุปแล้ว สถานที่อันรุ่งเรืองอย่างเมืองจิงตูนั้นยากที่จะได้พบเจอกับความมืดมิดที่หนักหนา มืดจนมองไม่เห็นมือตัวเอง มีข้อยกเว้นเดียวก็คือมีห่าฝนโหมกระหน่ำดับแสงทั้งหมดจากบ้านทุกหลัง
แสงดาวถูกห่านแดงและราชรถบินหลายคันแหวกเปิดออก เฉินฉางเซิงยืนอยู่บนต้นไทรใหญ่ เริ่มคิดถึงห่าฝนเมื่อสามวันก่อนอยู่บ้างอย่างไม่อาจอธิบายได้
บางทีอาจเป็นเพราะเมื่อสามวันก่อน มีหลายอย่างที่ยังไม่เกิดขึ้น ในตอนนั้นเขายังมีโอกาสที่จะแสร้งว่าชีวิตเขานั้นงดงามและสงบสุข
เฉกเช่นเมื่อสามปีก่อนตอนที่มีแค่เขากับลั่วลั่วอยู่ในสำนักฝึกหลวง
อย่างไรก็ตาม เมื่อปีก่อนบนต้นไทรใหญ่ ถังซานสือลิ่วเคยบอกเขาว่าอาจารย์ของเขามีปัญหาบางอย่าง คนมากมายมีปัญหา และเขาต้องคำนึงถึงปัญหาเหล่านั้นให้ดี
เฉินฉางเซิงเคยคิดถึงปัญหาเหล่านี้ แต่เขาไม่มีความสามารถหรือปัญญาพอที่จะแก้ปัญหาได้
ถังซานสือลิ่วจากไปแล้ว ถูกตระกูลถังลากกลับไปเวิ่นสุ่ย ไม่รู้ว่าจะมีวันที่เขากลับมาไหม
สวีโหย่วหรงจากไปแล้ว ถูกม่ออวี่ลากตัวไปยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ตามคำสั่งของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ เขาไม่รู้ว่าพายุใหญ่ขนาดไหนจะเกิดขึ้นหากนางกลับมายังจิงตูอีกครั้ง
เจ๋อซิ่วจากไปแล้ว อย่างหมาป่าเดียวดาย หายตัวไปในแสงและความมืดของจิงตู อย่างไรก็ตาม เขาต้องอยู่ในจิงตูแน่นอน แต่เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร
สิ่งนี้ทำให้เฉินฉางเซิงโดดเดี่ยวอยู่บ้าง บางทีก็เป็นความเศร้า ด้วยว่าโจวทงยังมีชีวิตอยู่
เขารู้ภาพรวมของการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซูแล้ว
ลานต้นไห่ถังถูกทำลาย แต่โจวทงยังอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้น…เขายังวางยาพิษเซวี่ยสิ่งชวนจนตาย
การเปลี่ยนแปลงในจิงตูได้เริ่มตั้งแต่ตอนที่ผังลายจักรพรรดิได้เสียประสิทธิภาพไป เรียกได้ว่าโจวทงมีบทบาทสำคัญที่สุดในเรื่องนี้
เขาได้ทรยศจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่
เฉินฉางเซิงยอมรับเรื่องนี้ได้
เพราะเจ๋อซิ่วเป็นหมาป่าในขณะที่โจวทงเป็นสุนัข หมาป่าท่องเที่ยวพันลี้เพื่อหาเนื้อกิน ในขณะที่สุนัขกินอาจม
แต่สวีซื่อจีก็ทรยศนางเช่นกัน
แม้แต่ตระกูลเทียนไห่ก็ทรยศนาง
เฉินฉางเซิงยากที่จะยอมรับเรื่องเหล่านี้ได้
นี่ไม่เกี่ยวกับจุดยืนหรือฝักฝ่าย เพียงแต่ว่าช่างยากนักที่เขาจะยอมรับได้
โลกเช่นนี้ไม่อาจอธิบายได้อย่างแท้จริง
เขาไม่อาจทำใจชื่นชอบโลกที่ลึกลับยากอธิบายเช่นนี้ได้