ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 140 ภาพหายากของเมืองฤดูใบไม้ร่วงในสายลมฤดูใบไม้ผลิ
หลังจากดื่มสุรารสแรงไปคำใหญ่ หลัวปู้ก็ยังคงสีหน้าเรียบเฉย
เฉินฉางเซิงมองไปที่เขา รู้สึกไม่อยากที่จะแยกจากอยู่บ้าง
“แล้ว…เราจะไปไหน” เขาพูดกับหลัวปู้
หลัวปู้โบกไหสุราในอากาศ บ่งบอกว่าเขารู้แต่ก็ยังไม่พูดอะไร
เฉินฉางเซิงรู้สึกไม่ยินดีอยู่บ้าง คิดในใจ หากเจ้าไม่คิดจะพูดเพราะอยากจะรักษารูปแบบของตัวเองเอาไว้ อย่างน้อยก็เสนอสุราให้ข้าก่อนจากกันสักหน่อยไม่ได้หรือ
อันที่จริงหลัวปู้ทำตัวแปลกไปช่วงไม่กี่วันมานี้ หลังจากดื่มสุราพูดคุยกันที่ริมลำธาร หลัวปู้ก็เปลี่ยนท่าทีต่อเฉินฉางเซิงไปเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยินดีจะสนทนากับเฉินฉางเซิงอีกต่อไป ไม่ต้องพูดถึงความสนิทสนม กระนั้นเขาก็ไม่ได้มีความเป็นศัตรูแต่อย่างใด กลับกัน มันรู้สึกเหมือนว่าเขาต้องการจะปลีกตัวห่างและต้องการจะทำตัวเหมือนคนแปลกหน้า
แต่เขาไม่ใช่คนแปลกหน้าจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขากินยาหรือป้อนอาหารม้าบนทุ่งเฉินฉางเซิงก็รู้สึกได้ว่าหลัวปู้มองดูจากระยะไกล
การมองดูนี้เหมือนกับการสำรวจมากกว่า
แต่เพราะเหตุใดกัน
เฉินฉางเซิงส่ายหน้าและหยุดคิดเรื่องนี้ เขาได้แต่คิดว่าหลัวปู้เป็นคนแปลกและนำหนานเค่อเริ่มเดินทางไปทางเหนือ
นับจากต้นจนร่างของเขากับหนานเค่อหายไปในป่าสน หลัวปู้ไม่เคยหันหน้าไปเลยสักครั้ง
เขามองลงไปที่เมืองซงซานในยามที่ดื่มสุรา เขาดูเหมือนไม่ได้มาส่งเฉินฉางเซิงแต่มาส่งตัวเองมากกว่า
หลังจากดื่มสุราหมด หลัวปู้ก็ยืนขึ้นในที่สุดและเริ่มเดินลงไปตามภูเขา
เขาไม่ได้ตรงไปที่ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานเพื่อรายงานแต่กลับเลือกที่จะไปยังร้านเหล้าที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งก่อน
ไหสุราของเขาถูกเติมจนเต็ม เขาหาที่นั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง หลังจากสั่งถั่วทอดหนึ่งจานแล้วเขาก็มองออกไปนอกหน้าต่าง
เขาใช้นิ้วมือสามนิ้วยื่นไปในจานและคว้าถั่วทอดสองเม็ดขึ้นมาได้อย่างแม่นยำและส่งเข้าปากเคี้ยว
เมื่อดวงตะวันลอยอยู่กลางฟ้า แสงส่องผ่านเมฆหนาและสาดแสงลงบนถนนของซงซาน เผยให้เห็นใบหน้าของคนที่เดินอยู่อย่างชัดเจน
เฉินโฉวขุนพลเทพคนใหม่ถูกเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาส่งถึงประตูหลักของศูนย์บัญชาการ ขี่ม้าออกไปทำการลาดตระเวนเป็นครั้งแรก
เมื่อเขามองไปยังร่างที่เหยียดตรงจนดูสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดของเพื่อนเก่า หลัวปู้ก็หัวเราะและยกถ้วยสุราขึ้นแสดงความยินดี อวยพรจากใจให้เขาไม่ตายเร็วเกินควร
ในยามสนธยา แสงตะวันดูมืดมัวกว่าเดิมมาก แสงอาทิตย์อัสดงดูราวกับเปลวเพลิง ลุกไหม้อยู่บนสิ่งก่อสร้างริมถนนและความคิดของผู้คน
เขากินถั่วทอดสามจานสุราสี่ไหไปแล้ว ดวงตาของหลัวปู้หรี่ปรือมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่เพราะเขามึนเมาหากแต่เป็นเพราะเขาเห็นคนที่เขาต้องการจะเห็นแล้ว
แน่นอน สาเหตุที่เขาต้องการเห็นคนพวกนี้ก็เพราะเขาไม่ต้องการที่จะเห็นคนพวกนี้
คนพวกนี้มาจากตระกูลของเขา รวมทั้งจากตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย ตระกูลอู๋และตระกูลมู่ท่า
ไม่ได้มีใครนอกจากเขาที่สามารถแยกคนพวกนี้ออกจากฝูงชน และเป็นธรรมดาที่ไม่มีใครสังเกตว่าคนพวกนี้ออกจากเมืองและมุ่งหน้าไปทางตะวันตก
หลัวปู้ยังดื่มต่อไปเป็นเวลานาน แต่แววตาของเขาไม่เคยมีความมึนเมา ในทางกลับกันมันกระจ่างใสขึ้นเรื่อยๆ หลังจากดื่มมานาน ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจและยืนขึ้น เขาขอน้ำสะอาดชามหนึ่งจากผู้ดูแลร้านแล้วล้างหน้าล้างเคราอย่างบรรจง จากนั้นก็ร้องเพลงที่ไม่เคยได้ยินในแดนเหนือมาก่อน ออกจากซงซานไปยังตะวันตก
อาการบาดเจ็บของเฉินฉางเซิงยังห่างกับคำว่าหายดี แต่เขาก็เดินได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธที่จะใช้ม้ามังกรที่คอกม้าผาชันเสนอให้ เมื่อมีหนานเค่อช่วยเขาก็ไม่ได้ช้านัก เร็วกว่าขบวนสินค้าทั่วไปเดินทางหลายเท่า ออกจากซงซานและเดินไปตามทางภูเขา เทือกเขาก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ในยามสนธยาวันที่สอง เขาและหนานเค่อก็มาถึงเมืองฮั่นชิว
เมื่อพวกเขาเดินไปตามถนนหลวงเข้าสู่เมืองตรงหน้า เขาก็สังเกตเห็นว่าป่าริมถนนมีร่องรอยความเสียหาย โดยเฉพาะป่าทางด้านซ้ายซึ่งดูเละเทะอยู่บ้างหลังจากดูอย่างละเอียด เขาก็เห็นพุ่มไม้ใหม่และต้นหลิวที่เพิ่งปลูกใหม่จำนวนมากมาย เห็นได้ชัดว่าที่แห่งนี้เคยได้รับความเสียหายอย่างหนักเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
เขาตัวแข็งไปเมื่อนึกถึงว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อน เขา เจ๋อซิ่วและคนมากมายได้เดินทางผ่านป่านี้เข้าสู่สวนโจว
ในตอนนั้นสายรุ้งได้พาดผ่านระยะทางยาวไกลจากแดนใต้มาถึงที่แห่งนี้ และทางเข้าสวนโจวที่ไร้ตัวตนก็อยู่ด้านหลังป่าแห่งนี้
ในตอนนี้ทางเข้าสวนโจวอยู่บนข้อมือของเขาในก้อนหินสีดำ และกุญแจสู่สวนโจวก็ไม่ได้อยู่บนยอดเขาของสำนักกระบี่หลีซานอีกต่อไป แต่กลายเป็นความคิดของเขาในตอนนี้
เขานึกถึงความทรงจำมากมายในช่วงเวลานั้น
ในตอนนั้นจูลั่วนั่งอยู่ในศาลาผมยาวของเขาพาดผ่านบ่าเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่โบราณ ความยิ่งผยองหาใดเปรียบของเขาทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
ในตอนนั้น เหมยลี่ซานั่งอยู่ในรถม้า เงียบงันและเฉยชา ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เขามีกลิ่นอายราวกับต้นเหมยเก่าแก่อยู่รอบกาย
ตอนนี้ ทั้งเหมยลี่ซาและจูลั่วล้วนตายแล้ว แต่คนอีกมากมายในตอนนั้นยังมีชีวิตอยู่
เฉินฉางเซิงหันไปมองที่หนานเค่อ
เขาได้พบกับหนานเค่อครั้งแรกในสวนโจว หนานเค่อในตอนนั้นเป็นองค์หญิงเผ่ามารที่เย็นชาและโหดเหี้ยม รับคำสั่งจากชุดดำเพื่อสร้างความขัดแย้งภายในระหว่างเหล่าผู้บำเพ็ญตนมนุษย์ในสวนโจว ในเวลาเดียวกันนางก็หาโอกาสที่จะสังหารสวีโหย่วหรง เจ๋อซิ่วและชีเจียน นางเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดในตอนนั้น
ตอนนี้นางกลายเป็นเด็กสาวปัญญาอ่อนไม่สนใจเรื่องอันใด นางรู้แค่ว่าต้องติดตามเขา ปกป้องเขาและรอคอยเขา
“เมื่อเจ้าตื่นขึ้น ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะจำวันเหล่านี้ได้หรือไม่” เขากล่าวอย่างเศร้าสร้อยเมื่อมองไปที่หนานเค่อ
หนานเค่อดึงแขนเสื้อของเขาเอาไว้ ดวงตายังคงทึมทึบในยามที่จ้องไปทางเมืองฮั่นชิวตรงหน้า นางไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไร
เห็นได้ชัดว่านางได้ลืมเรื่องราวในสวนโจวไปจนหมดแล้ว
เฉินฉางเซิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นท่าทางของนาง
ในคืนนั้นบนเทือกเขา นางถึงกับยอมเสี่ยงที่จะดวงจิตแตกออกจากกายเพื่อช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงย่อมทำตามคำสัญญา แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถรักษานางได้หรือไม่ และยิ่งไปกว่านั้นที่เขาถอนหายใจอย่างโศกเศร้าก็เพราะหากเขาไม่อาจรักษานางได้จริงๆ นางจะยังจำวันเหล่านี้ได้หรือไม่ตอนที่ตื่นขึ้นมา นางจะฆ่าเขาหรือไม่
……
……
ยิ่งพวกเขาใกล้เมืองฮั่นชิวมากขึ้นเท่าไหร่ ป่าริมถนนก็ยิ่งแน่นขนัดมากขึ้นเท่านั้น มีต้นหลิวมากขึ้นบ่งบอกถึงความนิยมของเมืองนี้ได้เป็นอย่างดี
ใช่ ทุกเมืองต่างก็มีรสนิยมของตัวเอง รสของจิงตูอยู่ที่สุสานเทียนซู ส่วนรสของลัวหยางอยู่ที่กำแพงเมือง รสของฮั่นชิวคือต้นหลิว
จูลั่วรักต้นหลิว ดังนั้นสวนหมื่นหลิวจึงอยู่ที่ชายขอบของเมืองฮั่นชิวในขณะที่ภายในเมืองก็ปลูกต้นหลิวมากมาย
จูลั่วได้กลายเป็นประกายดาวนับไม่ถ้วนในสุสานเทียนซู เป็นควันกลุ่มหนึ่งที่ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ แต่เมืองฮั่นชิวยังเป็นเหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต มีร่องรอยของเขาอยู่มากมายในเมืองนี้
ในบางแง่มุม เมืองฮั่นชิวแซ่จู ตระกูลจูและพรรคไร้รักมีสถานะสูงส่งหาใดเปรียบในเมืองแห่งนี้ แต่เฉินฉางเซิงไม่สนใจเลยว่าเขาอาจพบกับเรื่องบางอย่างในที่แห่งนี้ เพราะไม่ควรมีใครรู้ว่าเขาอยู่ไหน ที่สำคัญก็คือจูเยี่ยตายไปแล้วทิ้งตระกูลจูให้ไร้ซึ่งคนที่โดดเด่นอีกต่อไป
ดังที่คาดเขากับหนานเค่อเข้าเมืองฮั่นชิวได้อย่างราบรื่น เห็นได้ชัดว่าทหารและศิษย์ในชุดนักกระบี่ของสำนักไร้รักยังไม่ฟื้นจากความตกใจจากข่าวการตายของประมุข พวกเขาดูรอบคอบจากเปลือกนอก แต่ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสับสนและไม่แน่ใจต่ออนาคต