ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 143 เขามาจากนรกภูมิ
สาเหตุที่คนผู้นั้นถูกเรียกว่าตัวประหลาดก็ย่อมเป็นเพราะคนผู้นี้มีหลายอย่างที่ผิดไปจากปกติ
คนผู้นี้ตัวเตี้ยอย่างมาก จากภายนอก หนานเค่อดูเหมือนเด็กหญิงอายุสิบสองสิบสามปี แต่คนผู้นี้กลับเตี้ยกว่านางสองช่วงศีรษะ
คนผู้นี้น่าเกลียดอย่างมาก ไม่ว่าแสงยามเช้าจะงดงามเพียงใดก็ไม่อาจกำจัดความน่าเกลียดบนใบหน้าที่ดูเหมือนกับประกอบขึ้นมั่วๆ นี้ได้
หลังของคนผู้นี้นูนขึ้น บ่งบอกได้ว่าเขาน่าจะเป็นคนหลังค่อม
คนผู้นี้สวมชุดดำ เสื้อผ้าถูกซักจนสะอาดสะอ้านแต่ก็ยังมีกลิ่นเหม็นอยู่ด้วย
คนมากมายที่แค่เห็นคนที่ผอมเตี้ยบิดเบี้ยวและเหม็นแบบนี้ก็รู้สึกรังเกียจขึ้นมาในทันที หลังจากสงบสติได้อาจมีบางคนที่รู้สึงสงสารหรือเห็นใจขึ้นมา
เฉินฉางเซิงไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น
ขณะที่เขาเห็นคนผู้นี้ ความรู้สึกเป็นกังวลก็ผุดขึ้นมาอย่างฉับพลัน
มันเป็นความรู้สึกเดียวกับที่เขารู้สึกในตอนแรกที่เขาเห็นโจวทงยืนอยู่ใต้ต้นไห่ถังเป็นครั้งแรกที่ตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง
เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นไม่สมเหตุผล ไม่อาจโน้มน้าว ไม่อาจเจือจาง เป็นความชั่วร้ายอย่างสมบูรณ์
ความชั่วร้ายของคนผู้นี้ต่างไปจากความชั่วของโจวทงเล็กน้อย ถึงกับชั่วร้ายเน่าเหม็นยิ่งกว่า
“เจ้าเป็นใคร” เฉินฉางเซิงถามตัวประหลาด
ใบหน้าน่าเกลียดของเขาแสดงความกังวลออกมา
เพราะแสงยามเช้านั้นสว่างเกินไปและเขาก็ลืมที่จะใช้หมวกปิดบังใบหน้า
เขาถูกเห็นแล้ว ทำให้เขารู้สึกด้อยกว่า กระตุ้นความปรารถนาที่จะทำลายโลกนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเขาคิดเรื่องการทำลายล้างโลก ตัวประหลาดก็รู้สึกสงบลงอีกครั้งและเริ่มยิ้มออกมา
รอยยิ้มของตัวประหลาดแปลกประหลาดมาก เมื่อเขายิ้ม มุมปากก็เคลื่อนไปด้านหลัง เผยให้เห็นฟันแหลมคมไม่เป็นระเบียบ ดูแล้วน่าจะอยู่ในปากของสัตว์อสูรมากกว่า
“เมื่อข้าไม่อาจฆ่าเจ้าลับๆ ข้าก็คงได้แต่ลองดูว่าข้าจะสามารถฆ่าเจ้าลงตรงนี้ได้หรือไม่”
เสียงของคนผู้นี้นั้นไม่สบายหูอย่างมาก บาดหูเหมือนกับเครื่องเคลือบสองชิ้นเสียดสีกันอย่างต่อเนื่อง
หลังจากกล่าวแล้ว เขาก็ยื่นมือทั้งสองออกมาและประสานมือคำนับเฉินฉางเซิง
ใต้แสงยามเช้าอันสว่างเจิดจ้า เห็นได้ชัดว่ามือทั้งสองของเขาปกคลุมไปด้วยขนยาวและเกล็ดทำให้มันดูน่ารังเกียจทีเดียว
เฉินฉางเซิงไม่ได้ให้ความสนใจกับรายละเอียดพวกนี้แต่ประสานมือคำนับกลับไป
เขาไม่เคยเห็นการคำนับแบบนี้แต่เขาเชี่ยวชาญในคัมภีร์เต๋าจึงเคยเห็นมันในคัมภีร์เต๋าโบราณมาก่อน
มันเป็นการประสานมือที่ดั้งเดิมที่สุดของนิกายเต๋า เป็นธรรมเนียมโบราณที่ไม่ได้สืบทอดในนิกายหลวงมานานหลายปีแล้ว
ไม่ว่าพระราชวังหลีหรือยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้สอนการทำเช่นนี้อีกแล้ว
คนผู้นี้แผ่ปราณที่กลมเกลียวเที่ยงธรรมจนแทบจะเรียกได้ว่าศักดิ์สิทธิ์ออกมา
แต่ปราณสีดำที่รวมตัวอยู่รอบฝ่ามือของเขามีสายฟ้าแลบแปลบอยู่ภายในและส่งกลิ่นเหม็นชั่วร้ายออกมา
การใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์ที่ดั้งเดิมและเก่าแก่ที่สุดของนิกายหลวงเพื่อทำการโจมตีชั่วร้ายเลวทรามที่สุด นี่เป็นสัตว์ประหลาดแบบใดกัน
ตาของเฉินฉางเซิงหรี่ลงเมื่อมือขวาของเขากุมด้ามกระบี่ที่เอว
ดูเหมือนว่าการต่อสู้อันดุเดือดกำลังจะเริ่มขึ้น แต่ไม่มีใครคาดคิดสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อมาได้
ตัวประหลาดหลังค่อมพลันมองขึ้นไปข้างบนจากนั้นก็พูดอย่างโกรธเคือง “ทำไมเจ้าถึงได้มีคนช่วยมากมายนัก!”
หลังจากกล่าวแล้ว เขาก็พลันเปลี่ยนเป็นพร่าเลือนตั้งใจจะหนีไปทางหน้าต่าง
แต่การหนีต่อหน้าเฉินฉางเซิงกับหนานเค่อนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
เจตจำนงกระบี่อัดแน่นอยู่ในห้องครัว ปิดกั้นทางหนีทั้งหมดเอาไว้
หนานเค่อหายตัวไปจากพื้นดินในลำแสงกระจ่างใส
เฉินฉางเซิงไม่ได้กังวลว่าตัวประหลาดจะหนีไปได้ ในระยะทางสั้นๆ ไม่มีใครไวไปกว่าหนานเค่อได้ ต่อให้ปีกทั้งคู่ของนางหายไปอย่างประหลาดก็ตาม แต่…ที่เกิดขึ้นตามมานั้นเหนือกว่าที่เขาจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง
ชั่วขณะต่อมา หนานเค่อก็หายตัวไป เช่นเดียวกับตัวประหลาดนั่น
กระแสลมนับไม่ถ้วนพลันปั่นป่วนขึ้นมา ไอน้ำพุ่งออกมาจากหม้อเหล็กถูกตัดออกเป็นเส้นเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนในขณะที่ลำแสงซึ่งลอดผ่านหน้าต่างก็กะพริบระยิบระยับในทันที
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ทั้งสองได้วิ่งไปทั่วห้องด้วยความเร็วที่สูงจนไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แม้แต่ความไวปานสายฟ้าของหนานเค่อก็ยังไม่อาจที่จะไล่ตามตัวประหลาดนี้ทัน
ความกังวลในใจของเฉินฉางเซิงเข้มข้นขึ้น เขาก็กำด้ามกระบี่ในมือขวาแน่นขึ้นเล็กน้อย
เสียงดังเช้งไม่กี่ครั้งก็เกิดเส้นอันชัดเจนบนคานขึ้นมาหลายเส้น กระบี่จำนวนหนึ่งแทงผ่านแสงยามเช้าไปยังที่แห่งหนึ่ง
เสียงร้องคำรามอย่างเจ็บปวดและเกรี้ยวกราดดังขึ้นในอากาศ
ตัวประหลาดถูกบีบให้เผยตัวออกมา ไหล่ขวามีบาดแผลให้เห็น เลือดเหม็นหึ่งไหลซึมออกมาจากแผลช้าๆ
ลำแสงสีเขียวเข้มหลายลำพุ่งผ่านอากาศ คว้าไปที่ลำคอของตัวประหลาด พวกมันคือนิ้วของหนานเค่อ
แควก! เสื้อผ้าของตัวประหลาดพลันฉีกออก
เขาสีเทาสองสายปรากฏขึ้นด้านหลังเขา เคลื่อนร่างของเขาไปถึงอีกฝั่งของห้องด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง รอดพ้นไปจากการโจมตีของหนานเค่อ
ส่วนนูนที่ด้านหลังของเขาไม่ใช่เป็นเพราะเขาหลังค่อมแต่เป็นเพราะว่าเขาซ่อนปีกคู่หนึ่งเอาไว้!
ปีกคู่นี้ไม่มีอะไรพิเศษ แค่ก้อนเนื้อสีเทาน่าเกลียดสองก้อน แต่มันกระพือด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
ปีกสีเทากระพืออย่างบ้าคลั่งก่อให้เกิดกระแสลมรุนแรงและเสียงดังตูม จากนั้นตัวประหลาดก็บินตรงเข้าหาเตา!
เตาสลายหายไปในทันทีด้วยการโจมตีของกระบี่นับไม่ถ้วน แต่คนผู้นั้นก็หายไปแล้ว
เฉินฉางเซิงกับหนานเค่อยืนอยู่ข้างซากที่เหลือของเตา มองดูรูบนพื้นอย่างเงียบงัน
หนานเค่อดึงดวงจิตกลับมาและกล่าว “มันลงไปใต้ดินและเต็มไปด้วยความไม่บริสุทธิ์ ข้าไม่รู้ว่าเขาผ่านไปได้อย่างไร”
เห็นภาพนี้กับคำพูดของหนานเค่อแล้วเฉินฉางเซิงก็จมอยู่ในความคิด
เขาเคยอ่านคำบรรยายคล้ายกันนี้จากคัมภีร์เต๋าโบราณเช่นกัน
มันเป็นเรื่องจากเมื่อนานมาแล้ว
หลายหมื่นปีก่อนมีสังฆราชที่ไขว่คว้าขั้นมหาอิสระได้รู้แจ้งในวิธีบำเพ็ญตนที่ชั่วร้ายอย่างที่สุดขึ้นมา นั่นคือการแยกตัวเองออกจากความคิดหยาบช้าและความปรารถนา สร้างร่างที่ตรงข้ามกับตัวเองขึ้นมา ด้วยการสำรวจตัวเองก็จะสามารถทำความเข้าใจในหลักการของโลกและจากนั้นด้วยการตัดเพียงครั้งเดียวก็จะได้รับความสงบที่แท้จริง
สังฆราชองค์นั้นได้เตรียมการล่วงหน้าไว้มากมาย แต่ท่านก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่าวิญญาณชั่วร้ายนั้นจะชั่วร้ายน่ากลัวยิ่งกว่าที่คาดคิดเอาไว้ มันใช้ปราณที่ไม่บริสุทธิ์ของโลกเพื่อเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนคาดไม่ถึง และเมื่อยามที่ท่านต้องการจะกำจัดมัน เขาก็ไม่อาจทำได้สำเร็จ ถึงกับโดนแรงสะท้อนกลับจากวิญญาณชั่วร้าย เขาไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อดวงวิญญาณของเขาเกือบจะแปดเปื้อนไปจนหมด เขาได้ยืมพลังจิตจากมหาบุรุษทั้งสิบสองในโถงใหญ่แห่งแสงเพื่อสังหารทั้งตัวเขาและวิญญาณชั่วร้ายไปพร้อมกัน
สังฆราชที่มีการบำเพ็ญตนยากหยั่งถึงเสียชีวิตไปเช่นนี้เอง
วิชาเต๋านี้ถูกเรียกว่าวิชาตัดศพ เป็นวิชาต้องห้ามของนิกายหลวง มันจึงค่อยๆ หายไปในสายธารแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนาน
ใครจะไปคาดคิดว่าวิชาเต๋านี้จะกลับมาปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้งในวันนี้
เมื่อนานนับปีไม่ถ้วน ก่อนที่สังฆราชองค์นั้นจะจากไป เขาได้กล่าวกับมหามุขนายกทั้งหลายในพระราชวังหลีว่า “หากการตัดศพไม่สำเร็จ นรกภูมิจะปรากฏ”
หรือว่าตัวประหลาดนี้จะเป็นนรกภูมิ