ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 144 ใต้ต้นไหวโบราณ ไร้ความคิดอื่นใด
คัมภีร์เต๋าสามพันมหามรรคบันทึกประวัติศาสตร์ช่วงนั้นเอาไว้ แต่มันไม่ได้บรรยายรายละเอียดของวิชาเต๋าที่เรียกว่าการตัดศพ เฉินฉางเซิงไม่อาจที่จะยืนยันได้ว่าตัวประหลาดนี้มาจากนรกภูมิในตำนานจริงหรือไม่ เขาเขียนจดหมายสองฉบับ ฉบับหนึ่งส่งถึงพระราชวังหลีในจิงตูและอีกฉบับไปยังยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ในแดนใต้ หวังว่าที่ทั้งสองจะหาข้อมูลเพิ่มเติมได้
เห็นได้ชัดว่าตัวประหลาดนี้มาเพื่อฆ่าเขา แต่เขาไม่รู้ว่าตัวประหลาดนี้ทำอะไรไปหรือว่ายังไม่ทันได้ทำอะไรกันแน่
หากไม่สนเรื่องที่มาอันลึกลับของตัวประหลาด เฉินฉางเซิงเองก็เตรียมใจรับการลอบสังหารที่จะเกิดขึ้นกับเขาเอาไว้อยู่แล้ว
ข้อความที่ราชันแห่งหลิงไห่ถามจงซานอ๋องผ่านเซียงอ๋องในศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานนั้นแสดงจุดยืนของนิกายหลวงอย่างชัดเจนไปทั่วต้าลู่
เฉินฉางเซิงรู้ดีว่าจุดยืนแบบนี้จะนำเขาไปสู่สถานการณ์เช่นใด
มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
มันก็เหมือนกับที่ซูหลีได้พบตอนที่เขาบาดเจ็บสาหัสบนทุ่งหิมะแดนมารและเดินทางไกลสู่แดนใต้
เฉินฉางเซิงในตอนนี้คือสังฆราช แต่ไม่ได้หมายความว่าจำนวนคนที่ต้องการจะฆ่าเขานั้นน้อยไปกว่าคนที่ต้องการฆ่าซูหลี
เห็นได้ชัดว่ามีบางคนได้รู้แล้วว่าเขาอยู่ในเมืองฮั่นชิว
แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าตระกูลจูจะไม่ลงมือ
ดังที่คาดไว้ ตอนที่เขากับหนานเค่อออกจากโรงเตี๊ยมหลิวซู่และเดินไปยังประตูทิศใต้ของเมืองฮั่นชิว พวกเขาก็สัมผัสได้ว่ามีคนมากมายมองดูพวกเขาจากมุมมืด แต่ไม่มีใครปรากฏตัว
มีแต่ตอนที่เขาเดินผ่านร้านขายน้ำหอมที่เขาได้พบกับคนที่คาดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิง
คนผู้นี้แต่งกายเหมือนกับบัณฑิต ใบหน้าอ่อนโยนไม่อาจปิดบังกลิ่นอายทระนงของเขาได้ ใบหน้าของเขายังทาเอาไว้ด้วยความสุขที่ยากจะบรรยายได้อีกด้วย
เขาชื่อเปี๋ยเทียนซิน เขาแต่งกายเป็นบัณฑิตก็เพราะนี่เป็นชุดที่พ่อของเขาแต่งเวลาอยู่ต่อหน้าผู้คน
พ่อของเขาคือเปี๋ยยั่งหงและแม่ของเขาคืออู๋ฉยงปี้
หลายปีก่อนในจิงตู ราชันแห่งหลิงไห่กับนักพรตไป๋สือได้นำพวกขุมกำลังใหม่ของนิกายหลวงจัดการประลองระหว่างสำนักขึ้นเพื่อที่จะสกดข่มสำนักฝึกหลวง
ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนได้รับการผลักดันจากขุมกำลังใหม่นิกายหลวงกับตระกูลเทียนไห่ให้มายังตรอกไป๋ฮวาและท้าประลองกับสำนักฝึกหลวง
เปี๋ยเทียนซินก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้น และยังเป็นคนที่เย่อหยิ่งจองหองที่สุดคนหนึ่งอีกด้วย
อย่างไรก็ตามบิดาของเขาได้ส่งจดหมายมา หลังจากนั้นซูม่ออวี๋ก็ออกจากสุสานเทียนซูและไม่ได้กลับไปที่สำนักจวนราชวังหลีแต่มาสมัครเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวงแทน หลายคนรู้ว่าจุดยืนของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองนี้ต่างกัน ดังนั้นการท้าประลองนี้จึงค่อยๆ จางหายไปจนหมด
หลังจากนั้นเปี๋ยเทียนซินก็ไม่ได้พบเฉินฉางเซิงอีก ได้ยินแต่เรื่องของเขาจากปากของคนเล่านิทานและเห็นชื่อของเขาบนประกาศและโองการศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นในตอนนี้เมื่อเขาได้เห้นในหบ้าที่ดูธรรมดาและไม่คุ้นเคยแต่ก็ลืมไม่ลงในเมืองฮั่นชิวที่ห่างไกลจากจิงตู เขาก็อดที่จะตัวแข็งทื่อไม่ได้
เขามายังเมืองฮั่นชิวเพื่อเป็นตัวแทนของเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลเพื่อปรึกษาเรื่องบางอย่างกับตระกูลจู แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเพื่อพบคนบางคน เขาไม่คาดคิดว่าเขาจะได้พบกับเฉินฉางเซิงในที่แห่งนี้
ใจเขาเริ่มเต้นแรงและริมฝีปากแห้งผากด้วยตกใจและเป็นกังวล ทั่วทั้งต้าลู่ต่างก็ต้องการจะรู้ที่อยู่ของเฉินฉางเซิง แล้วทำไมเขาถึงมาพบในเมืองฮั่นชิวได้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เขาควรจะทำอย่างไรดี เขาควรจะก้าวออกไปแสดงความเคารพหรือไม่
เมื่อความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในหัว เฉินฉางเซิงก็เดินผ่านเขาไปแล้ว
เฉินฉางเซิงเห็นเปี๋ยเทียนซินและจำเขาได้ แต่เขาทำเหมือนว่ามองไม่เห็น
ในทางกลับกัน หนานเค่อมองดูเปี๋ยเทียนซินด้วยสายตาสงสัย
……
……
ในส่วนลึกของคฤหาสน์ที่มิดชิดที่สุดในเมืองฮั่นชิว เปี๋ยเทียนซินบรรยายการพบเห็นเฉินฉางเซิงออกมา ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ
เขากำลังพูดกับหญิงสาวคนหนึ่ง นางมีหน้าตาน่าสนใจ สองแก้มแดงปลั่ง นางดูค่อนข้างน่ารักทีเดียว บางทีเพราะนางกำลังดื่มสุราอยู่
“เจ้ากลัวเขาหรือ”
เสียงของนางอ่อนโยนนุ่มนวล แต่น้ำเสียงหาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่แฝงไว้ด้วยความดูหมิ่นและดูเหมือนจะเหินห่าง
นี่เป็นแค่คำถามง่ายๆ และดูเหมือนจะไม่ให้ความเคารพกับทั้งเปี๋ยเทียนซินและเฉินฉางเซิง นางถามว่าเปี๋ยเทียนซินกลัวเฉินฉางเซิงหรือเปล่า แต่นางพูดถึงเฉินฉางเซิงโดยใช้แค่คำว่า “เขา” เท่านั้น
เปี๋ยเทียนซินเป็นลูกชายคนเดียวของสมาชิกแปดมรสุมสองคน เฉินฉางเซิงก็เป็นสังฆราช
น้อยคนนักที่มีความมั่นใจพอจะพูดถึงพวกเขาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ และคนที่อายุพอๆ กับหญิงสาวคนนี้ก็ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่
คนเช่นนี้รวมถึงลั่วลั่ว หนานเค่อกับมังกรดำน้อย น่าบังเอิญที่พวกเขาล้วนเป็นฝ่ายเดียวกับเฉินฉางเซิง
หญิงสาวคนนี้ไม่ใช่เพื่อนของเฉินฉางเซิง แต่นางยังกล้าพูดกับเขาแบบนี้ก็เพราะนางไม่ได้มาจากต้าลู่แห่งนี้
นางมาจากดินแดนต้าซี เป็นองค์หญิงเหมือนกับลั่วลั่วและหญิงสาวคนอื่นที่กล่าวมา
มู่จิ่วซือหนึ่งในหกผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายหลวงที่ลึกลับที่สุด ที่ถูกอดีตสังฆราชชิงความรุ่งโรจน์และอำนาจทั้งหมดของนางไป แต่ว่าความรุ่งโรจน์และแข็งแกร่งนั้นเป็นของนิกายหลวงเท่านั้น
ตราบใดที่นางยังมีสายเลือดของนางอยู่ นางก็มีความรุ่งโรจน์และความแข็งแกร่งที่ไม่มีใครมองข้ามได้อยู่ มีสถานะที่ควรแก่การนับถือ เพราะนางคือน้องสาวของมู่ฮูหยิน ในบางแง่มุมนางก็คือตัวแทนของดินแดนต้าซี
เมื่อเปี๋ยเทียนซินมองไปที่ใบหน้าและได้ยินเสียงของนาง ร่างของเขาก็ผ่อนคลายลง ไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นความรัก
ตอนที่พวกเขาพบกันโดยบังเอิญเมื่อสามปีก่อนในจิงตู เขาก็ตกหลุมหลักนาง รักนางแทบตาย
ไม่ว่ามองมุมไหนนางก็คู่ควรให้เขารัก มีสิทธิ์ที่จะให้เขารัก เป็นคู่ที่เหมาะสมกับเขาที่สุด
ดังนั้นแม้ว่านางพูดกับเขาด้วยความดูถูกเหยียดหยาม เขาก็ยังไม่โกรธ ต้องการเพียงแค่อธิบายว่าทำไมเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น
“ใครจะไปกลัวหมอนั่นกัน มันก็แค่…เขาเป็นสังฆราชในตอนนี้ เสี่ยวซือ เจ้ามาจากดินแดนต้าซีจึงย่อมไม่ใส่ใจแต่กับข้ามันต่างไป”
เห็นได้ชัดว่ามู่จิ่วซือไม่สนใจคำอธิบายของเขา นางวางไหสุราลงและเดินไปที่ลานบ้าน
นางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าหม่นมัว หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งนางก็พลันถามขึ้น “เขามาที่เมืองฮั่นชิวทำไม”
เปี๋ยเทียนซินครุ่นคิดกับคำถามนี้แล้วก็ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “หรือว่าเขาต้องการจะไปเวิ่นสุ่ย”
นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนย่อมเข้าใจได้ ยังจะต้องคิดอะไรอีก
มู่จิ่วซือไม่ได้หันกลับมา ดังนั้นเปี๋ยเทียนซินย่อมไม่เห็นความเย้ยหยันบนริมฝีปากของนาง ได้ยินแต่คำชื่นชม”
“พี่เปี๋ยพูดมีเหตุผล…เราควรแจ้งจิงตูกับเวิ่นสุ่ยในทันที”
เปี๋ยเทียนซินยิ้ม “ใจเย็น ข้าจะไปจัดการให้ในไม่ช้า”
มู่จิ่วซือเตือนเบาๆ “อย่าได้เอ่ยถึงข้า”
รอยยิ้มของเปี๋ยเทียนซินหายไปเมื่อเขาถอนหายใจ “เสี่ยวซือ ข้ารู้ว่าดินแดนต้าซีของเจ้าไม่ได้สงบอย่างที่เห็น แม้แต่มู่ฮูหยินก็ยังถูกบีบให้จากบ้านมา อย่าว่าแต่เจ้าเลย ดังนั้นเจ้าจึงไม่กล้าให้คนอื่นรู้ความสัมพันธ์ของพวกเราแต่…เจ้าไม่ต้องกังวลไป ตราบใดที่พ่อแม่ข้ารับรู้ พวกพี่ชายของเจ้าจะกล้าทำอะไรเจ้าอย่างนั้นหรือ”
มู่จิ่วซือหันกลับมาถาม “แต่พ่อแม่ของเจ้า…พวกเขาจะคิดอย่างไร”
เปี๋ยเทียนซินพูดกับนางด้วยความรัก “ตราบใดที่ข้ารักเจ้า พ่อแม่ข้าย่อมรักเจ้าเช่นกัน”
มู่จิ่วซือย่อมซาบซึ้งใจ เดินไปหาเขามองไปในดวงตาและถามอย่างอ่อนโยน “เจ้ารักข้าแค่ไหน”
ไม่มีอะไรทำให้เปี๋ยยั่งหงพอใจยิ่งไปกว่าคนรักตรงหน้า เขากล่าวด้วยความรักและจริงใจ “ข้ายินดีตายเพื่อเจ้า”
มู่จิ่วซือเอนกายซบไหล่เขาและมองดูต้นไหวโบราณในลานบ้าน นางกระซิบ “ดีมาก”
นางวางมือไว้บนอกของเขา ดูเหมือนนางจะหยุดความเขินอายของเขา แต่ในความเป็นจริงนางแค่โคจรปราณแท้เพียงเล็กน้อยก็จะทำลายแดนลี้ลับของเปี๋ยยั่งหงได้
หากทำเช่นนั้น เขาก็ต้องตาย