ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 148 เพื่อนร่วมอุดมการณ์คนใหม่
เฉินฉางเซิงพลันถามขึ้น “มีโอกาสที่พรรคไร้รักจะร่วมมือกับเผ่ามารหรือไม่”
เจ๋อซิ่วตอบ “มันเป็นโถงบรรพบุรุษของสำนักเต๋าในแดนใต้ เป็นพรรคที่มีชื่อเสียงเที่ยงธรรม ความคิดนี้ออกจะไร้เหตุผลเกินไป”
คำตอบนี้ไม่ได้อ้างอิงจากศีลธรรมจรรยา แต่เป็นแง่ของประโยชน์ที่จะได้รับ
การทรยศนั้นเกิดจากผลประโยชน์ พรรคไร้รักฝังรากลงในเผ่ามนุษย์และศรัทธาในเต๋าอย่างลึกล้ำ จะมีประโยชน์อันใดที่ไปร่วมมือกับเผ่ามาร
เฉินฉางเซิงถาม “แต่เจ้าเคยคิดไหมว่าหากพรรคไร้รักไม่ได้ร่วมมือกับเมืองเสวี่ยเหล่า แล้วพรรคไร้รักจับตัวแม่ของชีเจียนได้อย่างไรกัน”
นี่เป็นปัญหาอย่างแท้จริง
ย้อนไปตอนนั้น ที่อยู่ขององค์หญิงเผ่ามารเป็นความลับอย่างยิ่ง ว่าตามเหตุผล พรรคไร้รักไม่อาจที่จะจับตัวนางได้ง่ายๆ
“ตอนนี้เมื่อเจ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นบนเทือกเขาจบแล้ว ข้าก็เริ่มคิดถึงปัญหานี้เช่นกัน”
เจ๋อซิ่วกล่าวต่อ “ซูหลีกวาดล้างพรรคไร้รักอย่างโหดเหี้ยมเกินไป ต่อให้มันยังมีกองหนุนอยู่ในแดนใต้ ก็ไม่อาจที่จะหลอกลวงทุกคนในศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานได้”
เฉินฉางเซิงมองไปที่ตาของเขาแล้วถาม “แล้วหากพวกเขามีคนอื่นคอยช่วยเล่า”
เจ๋อซิ่วเข้าใจความหมายของเขา ประกายเย็นเยียบฉายขึ้นในดวงตาของเขา
การเดินทางไปเวิ่นสุ่ยของพวกเขานั้นก็เพื่อรับเพื่อน แต่ตอนนี้ดูเหมือนพวกเขาจะต้องถามคำถามเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อยตอนไปถึงที่นั่น
ราตรีปกคลุมทะเลทราย เสียงคำรามต่ำดังมาจากระยะไกล บางทีอาจเป็นเสียงสัตว์อสูรกัดกินซากศพพวกนั้น
บทสนทนาก่อนหน้านี้ได้พูดถึงพ่อแม่ของชีเจียนอยู่หลายครั้ง ดังนั้นการสนทนาก็ดำเนินต่อไปในแนวทางนั้น
เฉินฉางเซิงถาม “พวกเจ้าพบกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่นะ”
เจ๋อซิ่วคิดแล้วตอบ “ห้าปีก่อนมั้ง”
เวลาผ่านไปด้วยความเร็วที่มั่นคง ไม่เร็วไม่ช้า ทำให้ผู้คนชินชาได้อย่างง่ายดาย ลืมสิ่งต่างๆ มากมาย
เฉินฉางเซิงถาม “เจ้ายังจำนางได้หรือไม่”
เจ๋อซิ่วคิดถึงการบุกผ่านสวนโจว การที่พวกเขาดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยกันในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล ที่เขาแบกนางไว้บนหลังและนางคอยบอกเส้นทางให้กับเขา ใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ อ่อนโยนลง
เขาไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของเฉินฉางเซิง เพราะไม่จำเป็นต้องตอบ เช่นเดียวกับที่เขาไม่จำเป็นต้องจำเพราะเขาไม่เคยลืม
“ไม่ต้องกังวล หลังจากข้ารักษาอาการป่วยของเจ้า เราจะไปยังหลีซานด้วยกันเพื่อสู่ขอ แน่นอนว่าหากนางยังไม่ลืมเจ้านะ”
“สำนักชื่อดังของแดนใต้จะใส่ใจวิญญาณโดดเดี่ยวอย่างข้ามากนักหรือ และในสายตาของคนทั่วไป ข้าก็เป็นตัวประหลาดอยู่เสมอ”
“เจ้าไม่ใช่วิญญาณโดดเดี่ยว เจ้าคือผู้คุมกฎของสำนักฝึกหลวง และนอกจากนี้…หลีซานนั้นต่างไป”
“แล้วเจ้าล่ะ สวีโหย่วหรงเป็นอย่างไร ไม่มีใครได้ยินข่าวคราวนางมานานแล้ว”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปกับคำถามของเจ๋อซิ่ว ใบหน้าแสดงถึงความคิดถึงห่วงใยอย่างชัดเจน
มันเป็นเวลาครึ่งปีแล้วนับจากตอนที่เขาได้รับจดหมายจากเมืองเวิ่นสุ่ย แต่เป็นเวลาเกือบสองปีแล้วที่เขาได้รับจดหมายจากยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และสามปีนับจากที่พวกเขาพบกันครั้งสุดท้าย
“นางกำลังกักตน”
เฉินฉางเซิงหยุดแล้วกล่าวต่อ “กักตนอย่างสิ้นเชิง”
มีแต่ตอนที่อยู่ในช่วงวิกฤตที่สุดในการบำเพ็ญตนเท่านั้นที่ผู้บำเพ็ญตนจะกักตัวอย่างสิ้นเชิง เพราะนั่นเป็นการบำเพ็ญตนที่อันตรายอย่างมาก ไม่มีใครรู้ว่าจะทะลวงผ่านเมื่อใด หลายเดือน หลายปี หลายทศวรรษ บางทีอาจตายไปทั้งที่นั่งอยู่ในถ้ำ
สวีโหย่วหรงมีพรสวรรค์อันน่าตะลึง ดังนั้นการกักตนอย่างสิ้นเชิงของนางจึงต่างไปจากปกติ คาดได้ว่าอันตรายยิ่งกว่า
แต่เจ๋อซิ่วเข้าใจว่าทำไมสวีโหย่วหรงถึงเลือกที่จะเข้าสู่การกักตัวอย่างสิ้นเชิง
ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จำเป็นต้องมีเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง พระราชวังหลีจำเป็นต้องมีพันธมิตรที่แท้จริง
ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องทะลวงผ่านในเวลาอันสั้นที่สุดเพื่อเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์
เจ๋อซิ่วไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ดังนั้นเขาจึงได้แต่ตบไหล่เฉินฉางเซิงเพื่อปลอบโยน
หลังจากไม่ได้พบกันสามปี พวกเขาก็พูดกันมากกว่าที่เคยทำในอดีต แต่พวกเขาก็ยังไม่ชำนาญในการใช้คำพูดอยู่ดี ไม่เหมือนเจ้าคนจากเมืองเวิ่นสุ่ยผู้นั้น
ในตอนนั้นเอง ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนสันเขาอันห่างไกล ตามมาด้วยเสียงเย็นเยียบ
“ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร อย่าได้คิดหนี”
เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วเข้าใจผิดไปชั่วขณะ นึกไปว่าเจ้าคนผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ
ร่างนั้นเดินลงจากสันเขาและมาถึงพวกเขาในที่สุด
ไม่ใช่คนที่เขาคิด แม้ว่าคนผู้นี้จะคล้ายกับคนผู้นั้นในบางแง่มุมก็ตาม ส่งผลให้เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพบกันก็จะหาเรื่องกันอยู่เสมอ ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าสู้กัน
คนผู้นี้เป็นมือกระบี่ แม้ว่าเขาจะเปื้อนไปด้วยฝุ่นก็ไม่อาจบดบังกลิ่นอายห้าวหาญของเขาได้
เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วพูดเรื่องหลีซานมาระยะหนึ่ง ตอนนี้ก็มีคนจากหลีซานมาจริงๆ
กวนเฟยไป๋ อันดับสี่ในเจ็ดคำโครงแห่งแดนเทพ อัจฉริยะในการใช้กระบี่ของหลีซาน เป็นรองเพียงชิวซานจวินเท่านั้นในแง่ของพรสวรรค์
เมื่อเห็นเฉินฉางเซิงอีกครั้งบนภูเขาหินอันเปลี่ยวร้างหลังจากผ่านมาสามปี กวนเฟยไป๋ย่อมตกใจ อ้าปากค้างคิดว่าจะพูดอะไร
จากนั้นเขาก็จำได้ว่าเฉินฉางเซิงไม่ได้เป็นนักเรียนธรรมดาของสำนักฝึกหลวงอีกต่อไป หากแต่เป็นสังฆราช
พวกเขาคุ้นเคยกัน แต่ศิษย์สำนักกระบี่หลีซานรุ่นนี้ต่างจากอาจารย์ปู่และมีมารยาทอย่างยิ่งเสมอมา
เขาคำนับเฉินฉางเซิงและกล่าว “แสดงความเคารพองค์สังฆราช”
เฉินฉางเซิงได้สติกลับมานานแล้วและตอนนี้ก็คำนับตอบกลับไปอย่างจริงใจ
กวนเฟยไป๋มีคำถามมากมายที่อยากจะถามแต่ลังเลที่จะพูดออกมา
เฉินฉางเซิงถาม “เจ้ามาได้อย่างไร”
กวนเฟยไป๋ตอบ “ข้าได้รับคำสั่งให้ออกจากด่านหลานกวนและสืบข่าวศัตรู ข้าพบเข้าโดยบังเอิญว่าเผ่าหมีสีน้ำตาลทำตัวผิดปกติไป ข้าจึงตามรอยของพวกมันมา”
เจ๋อซิ่วมองไปที่เขาดูประหลาดใจอยู่บ้าง “เจ้าเป็นคนสืบข่าวอย่างนั้นหรือ”
กวนเฟยไป๋ขมวดคิ้วแล้วถามกลับ “เจ้าทำได้คนเดียวหรือไง”
ดูเหมือนว่าจะไม่เปลี่ยนไปจากการสอบใหญ่และสุสานเทียนซูมากนัก
ย้อนไปตอนนั้น มีศิษย์ภายในของสำนักกระบี่หลีซานเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เฉินฉางเซิงมีความขัดแย้งด้วยก็คือกวนเฟยไป๋
สาเหตุนั้นง่ายมาก เขามีนิสัยดื้อดึงเกินไป อารมณ์ร้อนเกินไป ป่าเถื่อนเกินไป วาจาไม่เคยละเว้นผู้ใด ในบางแง่มุมเขาคล้ายกับถังซานสือลิ่วทีเดียว
นอกจากเพื่อนร่วมสำนักแล้ว ไม่มีใครชอบคนแบบนี้ เหมือนกับที่คนจากสำนักฝึกหลวงที่คนทั่วไปรังเกียจที่สุดก็มักจะเป็นคนแซ่ถังเสมอ
จากนั้นความประทับใจที่เฉินฉางเซิงมีต่อกวนเฟยไป๋ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ไม่ใช่เพราะการอยู่ด้วยกันในสุสานเทียนซูหรือที่การประชุมใหญ่จู่สือ แต่หลังจากนั้นเมื่อราชสำนักใช้กำลังสะกดสำนักฝึกหลวง ตอนที่ไม่มีใครกล้ามอบการสนับสนุนให้พวกเขา…กวนเฟยไป๋ก็มา
เขากับเฉินฉางเซิงสนทนากันอย่างไร้รสชาติ จากนั้นก็ขอให้เฉินฉางเซิงส่งเขาด้วยตัวเอง
นี่เป็นการแสดงท่าที ท่าทีว่าเขาไม่สนว่าคนทั้งจิงตูจะเห็น
เฉินฉางเซิงรู้สึกขอบคุณและบอกเขาว่า “ขอบคุณ”
กวนเฟยไป๋ก็ตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไร”
เหล่าผู้เยาว์ซึ่งผ่านประสบการณ์ที่สวินเหมยบุกขึ้นถนนเสินและหวังผ้อมาส่งเขา คำพูดทั้งสองนี้มีความหมายที่ล้ำลึกยิ่งนัก
‘นับจากนี้ไป เราเป็นเพื่อนกัน’
“เจ้าฆ่าพวกนั้นทั้งหมดหรือ”
กวนเฟยไป๋ชี้ไปที่ภูเขาด้านหลัง
เฉินฉางเซิงหันไปทางเจ๋อซิ่ว
เจ๋อซิ่วไม่ได้พูดอะไร เพราะเขาไม่ชอบพูด
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เฉินฉางเซิงจึงอธิบาย
“ช่วงหลายปีมานี้เผ่าหมีสีน้ำตาลทำงานร่วมกับเผ่ามารอย่างลับๆ มีแต่ตอนที่พวกมันเห็นว่าฝ่ายเราก้าวหน้าขึ้นเมื่อปีก่อนจึงกลับมาสนิทกับพวกเราอีกครั้ง เบื้องหลังของพวกมันไม่เคยโปร่งใส ถูกคนอื่นควบคุมได้อย่างง่ายดาย” กวนเฟยไปมองไปที่เขาและถาม “ปัญหาก็คือใครกันที่ต้องการฆ่าเจ้า”
เฉินฉางเซิงตอบ “เราต้องการไปเวิ่นสุ่ย”
ด้วยคำตอบง่ายๆ นี้ กวนเฟยไป๋ก็เข้าใจ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ถาม “เจ้าหมอนั่นสบายดีไหม”