ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 149 ยอดฝีมือลึกลับจากตะวันตก
“ข้าไม่รู้” เฉินฉางเซิงส่ายหน้าและกล่าวเสริม “เขาส่งจดหมายให้ข้าครั้งสุดท้ายก็เมื่อครึ่งปีก่อน”
กวนเฟยไป๋คิดเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พลันกล่าวขึ้น “ข้าจะไปกับเจ้า”
เฉินฉางเซิงค่อนข้างตกใจและเจ๋อซิ่วก็เงยหน้าขึ้น จากงานชุมนุมไม้เลื้อยถึงการสอบใหญ่ จากนั้นก็ไปชมป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์และร่วมงานประชุมใหญ่จู่สือ เมื่อใดก็ตามที่ถังซานสือลิ่วกับกวนเฟยไป๋เห็นหน้ากัน พวกเขาต้องทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนแทบจะลงไม้ลงมือ ทำไมเขาถึงต้องการจะไปเวิ่นสุ่ยขึ้นมา
เห็นสายตาของพวกเขา กวนเฟยไป๋ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “ข้าไปหยอกล้อเขาเล่นคงไม่เสียเปล่าหรอกมั้ง”
“ก็ได้ แล้วแต่เจ้า” เฉินฉางเซิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เจ๋อซิ่วส่ายหน้าและคิดในใจ ฝ่านมาตั้งหลายปีแล้วทำไมพวกเจ้ายังทำตัวเป็นเด็กกันอยู่อีก
เฉินฉางเซิงถาม “แล้วด่านหลานกวนเล่า แม้ว่าจะพูดกันว่าสำนักกระบี่หลีซานของพวกเจ้าเพียงรับคำแนะนำไม่รับคำสั่ง แต่การที่อยู่ๆ ก็จากไปนั้นคงไม่ดีนัก”
กวนเฟยไป๋ตอบ “ข้าบอกพวกเขาแล้วว่าหลังจากเสร็จภารกิจนี้ข้าจะกลับไปหลีซาน ข้าแค่ให้สถานนีส่งสารในเมืองข้างหน้าส่งจดหมายไปก็พอแล้ว”
เฉินฉางเซิงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างจึงถามขึ้น “เจ้าคิดจะกลับไปหลีซานอย่างนั้นหรือ”
“พี่รองเองก็คงออกจากด่านยงเสวี่ยแล้วเช่นกัน เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องล้วนกลับไปกันหมด”
“เพราะเผ่ามารถอยทัพอย่างนั้นหรือ”
“นั่นก็ส่วนหนึ่งแต่สาเหตุหลักก็คือศิษย์พี่ใหญ่กำลังกลับไปหลีซาน”
ได้ยินเช่นนี้เฉินฉางเซิงก็นิ่งเงียบไป ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยปากถาม “แล้วศิษย์พี่ของเจ้าไปอยู่ไหนมาตั้งหลายปี”
เฉินฉางเซิงไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนมาสามปีแล้ว แต่ชิวซานจวินนั้นหายตัวไปถึงห้าปี
แล้วชิวซานจวินไปอยู่ที่ไหนกัน นี่เป็นคำถามที่ทุกคนสนใจเป็นอย่างมาก
“พวกเราก็ไม่รู้เช่นกัน”
กวนเฟยไป๋มองไปที่เฉินฉางเซิง ต้องการจะพูดบางอย่างแต่ก็ตัดสินใจที่จะไม่พูด
ใครก็รู้ว่าการที่ชิวซานจวินหายตัวไปนั้นย่อมเกี่ยวกับเฉินฉางเซิง หากพูดให้เจาะจงก็คือการที่เขาหมั้นหมายกับสวีโหย่วหรง เฉินฉางเซิงเงียบไปเป็นเวลานานก่อนที่จะเอ่ยปากในที่สุด “ข้าไม่เคยพบชิวซานจวิน แต่หากเขาเป็นอย่างที่พวกเจ้าพูดถึงจริง ข้าก็มั่นใจว่าเขาไม่มีทางซ่อนตัวเพียงเพราะผิดหวังในความรัก”
……
……
แสงดาวสว่างที่สุดในยามดึกที่สุดของราตรี
เมื่อยืนอยู่บนยอดเขาก็สามารถมองเห็นได้ทุกสิ่ง
นอกเมืองฮั่นชิว มีเทือกเขาเป็นเขตแดนแบ่งโลกเป็นสองส่วน ด้านหนึ่งเป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ที่มีแม่น้ำหล่อเลี้ยงตลอดทั้งปี ต่อให้เป็นกลางฤดูหนาว ก็ยังเขียวชอุ่มไม่มีร่องรอยความกันดารแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามอีกด้านหนึ่งของเทือกเขากลับเป็นหุบเขากันดารเต็มไปด้วยก้อนหินและแทบไม่มีสิ่งมีชีวิต ดูแห้งแล้งอย่างที่สุด
หากต้องการจะไปยังเวิ่นสุ่ยสามารถเดินทางไปได้ทั้งสองฝั่ง
หลัวปู้ไม่รู้ว่าเฉินฉางเซิงเลือกทางไหน ที่เขาต้องการรู้ในตอนนี้คือมือสังหารในป่าจะเลือกทางไหน
ในกลุ่มมือสังหารมียอดฝีมืออยู่มากมาย ส่วนหนึ่งมาจากตระกูลถัง ส่วนหนึ่งมาจากตระกูลอู๋ อีกส่วนมาจากตระกูลมู่ท่า อีกส่วนหนึ่งมาจากตระกูลของเขาเอง
พูดง่ายๆ ก็คือเหล่ายอดฝีมือจากตระกูลใหญ่ทั้งสี่
หากพวกไล่ล่าตามจับเฉินฉางเซิงได้จริงๆ ไม่มีใครแน่ใจได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
ป่าใต้แสงดาวดูงดงามเกินจริงราวภาพลวงตา และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็ทำให้หลัวปู้สงสัยว่ามันเป็นตริงหรือไม่
มือสังหารจากสี่ตระกูลใหญ่ไม่ได้เลือกเส้นทางใด หลังจากได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนมและทำการปรึกษากัน พวกเขาก็ล่าถอยกลับไปตามทางเดิม
หลัวปู้มีความเข้าใจในความระมัดระวังและความคิดหัวเก่าของพวกตระกูลสูงศักดิ์เป็นอย่างดี หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
มือสังหารพวกนี้พบว่าไม่อาจยืนยันเส้นทางที่เฉินฉางเซิงเลือกได้ ดังนั้นหากต้องการจะไล่ตามต่อไปก็ต้องแยกเป็นสองกลุ่ม นี่อาจฟังเหมือนกับเป็นการคำนวณง่ายๆ แบ่งออกเป็นสองส่วนเท่าๆ กัน แต่การแทงข้างหลังระหว่างตระกูลสูงศักดิ์นั้นทำให้ปัญหานี้ซับซ้อนขึ้นมา อีกอย่างก็คือพวกเขาไม่มั่นใจว่าจะสังหารเฉินฉางเซิงได้หากมีกำลังแค่ครึ่งเดียว
ปัญหาที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือสัญญาณมือที่หน่วยสอดแนมรายงานนั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าสถานการณ์บนถนนลงใต้ริมถนนได้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้นพวกเขาจึงถูกบีบให้ต้องพิจารณาว่ามันเป็นกับดักที่นิกายหลวงวางไว้หรือไม่
……
……
หลัวปู้มองไปทางเหนือยังภูเขาหินและทะเลทราย แสงสีขาวเจิดจ้าของดวงดาว แล้วหันกลับเดินลงจากภูเขา
ใต้ความมืดมิดของป่า เขามาถึงแม่น้ำอย่างรวดเร็ว
เขาเดินเงียบๆ ไปตามแม่น้ำในความมืด ไปตลอดทางจนกระทั่งตะวันขึ้นและทอแสงย้อมแม่น้ำคดเคี้ยวให้กลายเป็นเข็มขัดสีเงิน
แม่น้ำนี้เป็นสาขาของแม่น้ำเวิ่นสุ่ยที่ไหลลงใต้ เทียบกับภูเขาและทะเลทรายตอนเหนือ ที่นี่อบอุ่นกว่าเล็กน้อย
แต่มันยังเป็นกลางฤดูหนาว ดังนั้นแม่น้ำจึงยังเป็นน้ำแข็งหนา บนพื้นแม่น้ำมีหิมะหนา
ด้านหน้าแม่น้ำไหลไปทางขวาตรงจุดที่มีหน้าผาซึ่งเต็มไปด้วยเหมยฤดูหนาวยื่นออกมา
หลัวปู้เดินไปที่พุ่มไม้นั่น แค่เหลียวดู เขาก็เห็นคนบนพื้นผิวแม่น้ำไกลออกไป
มีรูมากมายถูกเจาะบนพื้นน้ำแข็งของแม่น้ำ แผ่รอยแตกร้าวไปทุกทิศทางยืดยาวหลายสิบจั้ง ที่ปลายของรอยร้าวแต่ละสายมีคนในชุดดำยืนอยู่
น้ำแข็งเปื้อนไปด้วยเลือด ร่างในชุดดำไม่เคลื่อนไหว เขาไม่อาจบอกได้ว่าคนเหล่านั้นยังมีชีวิตหรือไม่
จากภาพนี้เขาพอจะจินตนาการได้ว่าเกิดการต่อสู้ที่สะเทือนฟ้าดินขนาดไหน
เขาพอจะจินตนาการได้ว่าอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งเพียงใด
ยังมีสองร่างที่ยืนอยู่บนแม่น้ำที่ปกคลุมไปด้วยหิมะเย็นเยียบ
คนหนั่งเป็นคนชุดสีน้ำเงินที่หลัวปู้เห็นในเมืองฮั่นชิว ใบหน้าของเขามีหน้ากากทองแดงปิดอยู่ทำให้ดูน่ากลัวผิดปกติ
ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของเขา
เมื่อหิมะตกลงมาจากท้องฟ้าหรือลมเย็นพัดผ่านแม่น้ำมาทางคนผู้นั้น พวกมันก็หลีกเลี่ยงไป
ด้วยการต่อสู้ระดับนี้ คนชุดน้ำเงินไม่อาจที่จะปกปิดปราณของตนเอาไว้ได้ ไม่ต้องพูดถึงระดับการบำเพ็ญตน
หลัวปู้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มือขวาของเขากำด้ามกระบี่ที่เอวตามสัญชาตญาณ
ต่อให้เขาโจมตี เขายังไม่ใช่คู่มือของคนชุดน้ำเงิน แต่การถือกระบี่เอาไว้ก็ทำให้เขาสงบลงได้ ทำให้เขาแน่ใจว่าไม่ถูกค้นพบ
คนชุดน้ำเงินนั้นเป็นยอดฝีมือขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์!
กำลังที่ดินแดนต้าซีซ่อนเอาไว้นั้นเหนือกว่าที่หลายคนในต้าลู่รับรู้มากนัก
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือไม่ว่าคนชุดน้ำเงินจะแข็งแกร่งแค่ไหน พวกเขาก็ยังเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการต่อสู้เช้านี้
เลือดไหลลงอาบบ่าของคนผู้นั้นและหน้ากากก็มีบางส่วนหลุดหายไป
ใครกันที่เอาชนะยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้
คนสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินยืนอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ แต่สีน้ำเงินนั้นอ่อนกว่าและเสื้อคลุมก็ดูเรียบง่ายกว่า
เขาไม่ได้สวมหน้ากาก ในหน้าสัมผัสกับหิมะและโลกนี้โดยตรงพร้อมกับสีหน้าเรียบเฉย
คิ้วของเขาลู่ลงและไหล่ก็ลู่ลงเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงดูข้นแค้นอยู่บ้าง
ลมหิมะพัดผ่านร่างกายเขา แขนเสื้อข้างหนึ่งสั่นพลิ้ว คาดไม่ถึงว่ามันจะว่างเปล่า
สามปีก่อน เขาได้ตัดแขนตัวเอง
มือที่เหลืออยู่กำดาบเหล็กเอาไว้
เขายืนในสายลมอย่างไร้ความหวาดกลัว
น้ำที่ไหลอยู่ด้านล่างได้ถูกตัดขาดไปแล้ว
“ข้าไม่คิดว่าข้าจะมีโอกาสได้รับรู้ดาบของเทียนเหลียงหวังผ้อ”
คนชุดน้ำเงินกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
หวังผ้อตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ข้าก็ไม่คาดคิดว่าจะมีโอกาสได้เห็นธรรมเนียมสูงส่งของดินแดนต้าซี”