ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 150 ความทะเยอทะยานของดินแดนต้าซี
คนชุดน้ำเงินประหลาดใจที่หวังผ้อมองที่มาของพวกเขาออกในคราวเดียว หลังจากนิ่งเงียบครุ่นคิดเขาก็ตอบ “ข้าไม่คาดคิดว่ายอดฝีมือแห่งต้าลู่จะมีฝีมือถึงขั้นนี้ ตอนที่กวนซิงเค่อมาพบเรา เขายังด้อยกว่าเจ้ามาก เถี่ยซู่ก็ด้อยกว่าเจ้าเช่นกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่าฝั่งของเจ้าเหมาะกับการบำเพ็ญตนมากกว่า”
คนผู้นั้นพูดถึงกวนซิงเค่อกับเถี่ยซู่ สองยอดฝีมือที่มีความสัมพันธ์กับดินแดนต้าซีอย่างล้ำลึก เถี่ยซู่เองก็เกิดที่นั่นด้วย
“เจ้าสนิทกับเถี่ยซู่อย่างนั้นหรือ” หวังผ้อถาม
คนชุดน้ำเงินตอบ “เขาเป็นคนที่รู้จักกันมานาน”
หวังผ้อมองไปที่คนผู้นั้นแล้วเอ่ยถาม “เจ้าอยากจะแก้แค้นแทนเขาหรือเปล่า”
คนผู้นั้นเริ่มหัวเราะ น้ำเสียงยังคงแหบแห้ง
“ล้างแค้นรึ ข้าเคยไล่เถี่ยซู่ลงทะเลที่สุดท้ายแล้วเขาถูกกวนซิงเค่อช่วยไว้ เขาคงไม่คิดว่าข้าจะแก้แค้นแทนเขาหรอกจริงไหม”
ระหว่างการต่อสู้ของพวกเขาในจิงตูเมื่อสามปีก่อน เถี่ยซู่ตายจากการโจมตีที่หวังผ้อใช้ในการทะลวงผ่าน แต่ไม่มีใครปฏิเสธความแข็งแกร่งของเถี่ยซู่ได้ ตอนที่เถี่ยซู่ยังอาศัยอยู่ในดินแดนต้าซี ยังไม่ทะลวงผ่านด่านแต่ก็ยังถูกคนผู้นี้กดดันจนอยู่ในสภาพย่ำแย่ จากเรื่องนี้ก็พอจะเดาได้ว่าคนผู้นี้มีสถานะสูงส่งและชื่อเสียงเลื่องลือในดินแดนต้าซี
หวังผ้อคิดถึงคำตอบที่หยาบคายของคนผู้นี้แล้วอธิบาย “ไม่ใช่ว่าต้าลู่เหมาะกับการบำเพ็ญตนมากกว่า แต่ว่าเรามีบำเพ็ญตนมากกว่า ดังนั้นการแข่งขันจึงสูงกว่า”
คนชุดน้ำเงินพึมพำอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวในที่สุด “มันก็มีเหตุผล ถ้าอย่างนั้นในมุมมองของเจ้า ด้วยระดับของข้าในตอนนี้ ข้าควรจะอยู่อันดับที่เท่าไหร่ในต้าลู่”
หวังผ้อตอบ “น่าจะอยู่ในสิบอันดับแรก”
ต้าลู่กว้างใหญ่และมียอดฝีมือมากมาย หวังผ้อนักดาบยอดฝีมือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบอกด้วยตัวเองว่าคนผู้นี้น่าจะอยู่ในสิบอันดับแรก นี่ย่อมหมายความว่าคนผู้นี้ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง
แต่ที่เขาได้รับเป็นการตอบแทนจากคนผู้นี้ก็คือการถอนหายใจ
“แค่สิบอันดับแรกเท่านั้นหรือ”
คนชุดน้ำเงินกล่าวอย่างเสียใจ “สุดท้ายแล้วการเก็บตัวอยู่ในมุมเล็กๆ อันสงบสุขนั้นไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสมในการบำเพ็ญตน การล้าหลังย่อมเป็นเรื่องคาดคิดได้”
หวังผ้อตอบ “ความสงบสุขนั้นก็คาดหวังได้เช่นกัน”
คนผู้นั้นมองไปที่ดวงตาของหวังผ้อแล้วกล่าว “หากล้าหลังจะทำให้ถูกโจมตี การขังตัวเองจะจบลงด้วยความเน่าเฟะ สุดท้ายแล้วเราก็ยังคงต้องกลับมา”
หวังผ้อนิ่งเงียบไปเป็นเวลานานก่อนที่จะกล่าว “ข้าไม่มีความเห็นในเรื่องนี้”
หากมนุษย์ที่อยู่บนดินแดนต้าซีต้องการกลับคืนสู่ต้าลู่ นี่ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ที่จะก่อให้เกิดปัญหาและความขัดแย้งนานับชนิด
ต่อให้แค่ยอดฝีมือจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่กลับมา พวกเขาก็ยังต้องการดินแดนและทรัพยากร
แต่นับตั้งแต่จักรพรรดิไท่จงจนถึงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่และมาจนถึงตอนนี้ การร่วมมือกับเผ่าปีศาจรวมถึงการบรรจบกันของเหนือใต้และในที่สุดก็เป็นการรวมกันของตะวันออกและตะวันตก นี่เป็นแนวโน้มที่ไม่อาจฝืน
เพราะมนุษยชาติต้องการที่จะต่อต้านและกำจัดเผ่ามาร จึงจำเป็นต้องรวบรวมความแข็งแกร่งทั้งหมด
สุดท้ายแล้วผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนต้าซีก็ยังเป็นมนุษย์ ดังนั้นในสายตาของยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ พวกเขาก็ยังน่าเชื่อถือกว่าเผ่าปีศาจในเมืองไป๋ตี้ และการที่จะเพิ่มความสัมพันธ์กันก็เป็นเรื่องถูกต้อง ส่วนพวกเผ่าปีศาจเอง ในอดีตพวกเขาอาจเป็นกังวลต่อการกลับมาของมนุษย์จากดินแดนต้าซีจะส่งผลต่อสถานะของพวกเขา แต่ตอนนี้จักรพรรดินีของพวกเขามาจากดินแดนต้าซี พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไป
คนที่ตัดสินใจเรื่องนี้ได้นั้นมีน้อยมาก จักรพรรดิแห่งต้าโจว สังฆราช เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ คู่สามีภรรยาจักรพรรดิขาว ตอนนี้ก็เพิ่มซางสิงโจวมาอีกคน
ยอดฝีมืออย่างหวังผ้อย่อมมีสิทธิ์มีเสียงในเรื่องนี้เช่นกัน
ในอดีต หวังผ้อสนับสนุนเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ความคิดเขาเปลี่ยนไปแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการที่มู่จิ่วซือเกือบได้เป็นสังฆราชหรือการที่ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์จากต้าซีได้นำคนมาลอบสังหารเฉินฉางเซิง เห็นได้ชัดว่าซางสิงโจวได้ติดต่อผ่านมู่ฮูหยินเพื่อทำข้อตกลงกับดินแดนต้าซี
ความขัดแย้งระหว่างราชสำนักต้าโจวกับนิกายหลวงเลวร้ายลงทุกวัน ต่างฝ่ายต่างจับตามองซึ่งกันและกัน ทำให้ยากที่ราชสำนักจะส่งยอดฝีมือมาฆ่าสังฆราชแบบลับๆ ได้ อย่างไรก็ตามดินแดนต้าซีเป็นขุมกำลังที่อยู่นอกกระดาน
หากเฉินฉางเซิงเดินทางมาตามแม่น้ำจริงตามแผนที่วางไว้แต่แรก หากหวังผ้อไม่ได้มา ดินแดนต้าซีคงฆ่าเขาได้จริงๆ
หวังผ้อไม่อาจยอมรับได้
“เมื่อเจ้าไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ ทำไมเจ้าถึงปรากฏตัวที่นี่”
คนชุดน้ำเงินถาม “นิกายหลวงต้องเตรียมตัวไว้แล้ว ดังนั้นการปรากฏตัวของเจ้าไม่จำเป็น บางทีองค์สังฆราชอาจต้องการใช้วิธีนี้บีบให้เจ้าแสดงจุดยืนออกมาก็ได้”
“แค่เพราะข้าไม่มีความเห็นไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่มีจุดยืน จุดยืนของข้าไม่เคยเปลี่ยนเลยสักครั้ง”
หวังผ้อกล่าวต่อ “ตอนที่เทียนไห่สู้กับราชสกุล ราชสำนักสู้กับซูหลี หรือตอนนี้ที่อาจารย์สู้กับศิษย์ ข้าสนับสนุนคนที่มีจุดยืนถูกต้องเสมอมา”
คนผู้นั้นถาม “ที่เจ้าเรียกว่า ‘ถูกต้อง’ คืออะไรกันแน่”
หวังผ้อถาม “องค์สังฆราชเป็นคนดี”
อะไรคือจุดยืนที่ถูกต้อง จะแยกถูกผิดได้อย่างไร สุดท้ายก็คือคำถามเรื่องดีเลว
แต่ผู้คนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แล้วจะตัดสินได้อย่างไร เมื่อไม่อาจมองเห็นได้ทั้งชีวิตก็ได้แต่ดูที่ปัจจุบัน ตราบใดที่ปัจจุบันนี้พวกเขาเป็นคนดีนั่นก็เพียงพอแล้ว ตอนที่ซูหลีบาดเจ็บบนทุ่งหิมะเมื่อหลายปีก่อน หรือตอนที่เฉินฉางเซิงถูกไห่ตี๋ทำร้ายบาดเจ็บสาหัสเมื่อปีก่อน พวกเขาพวกเขาไม่ควรถูกโลกกระทำต่อเขาแบบนั้น
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง คนชุดน้ำเงินก็เอ่ยถาม “หากตระกูลถังต้องการจะสังหารเขาเล่า”
หวังผ้อนึกถึงพายุหิมะในจิงตูเมื่อสามปีก่อน
ในขณะที่เขากับเถี่ยซู่นั่งตรงข้ามกันที่โต๊ะตัวนั้น ประมุขรองตระกูลถังก็พูดประโยคหนึ่ง
‘ความเมตตาหนักดั่งขุนเขา’
แล้วทำไม
เขาก็ยังใช้ฝักดาบตบหน้าประมุขรองตระกูลถังอยู่ดี ยังคงใช้ดาบทะลวงผ่านและสังหารเถี่ยซู่
หากความเมตตามีน้ำหนักดั่งขุนเขา มันก็ควรได้รับการตอบแทน แต่การเรียกค่าชดเชยความเมตตานั้นเป็นเรื่องที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง
คนผู้นั้นเข้าใจความเงียบของเขาและส่ายหน้า “ตอนนั้นเป็นเพียงแค่ประมุขรองตระกูลถัง แต่หากเขาเข้าไปนเวิ่นสุ่ยในตอนนี้ เขาจะต้องเผชิญหน้ากับประมุขผู้เฒ่า”
หลายปีก่อนหวังผ้อทำงานเป็นนักบัญชีที่เวิ่นสุ่ยอยู่หลายปี ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังดูแลเลี้ยงดูเหมือนกับเป็นลูกชาย เขาไม่ได้กลับไปยังเวิ่นสุ่ยมาหลายไปแล้ว ควรกลับไปปีนี้หรือไม่ เหมือนกับที่คนชุดน้ำเงินเพิ่งพูดไป ทั่วทั้งต้าลู่ต่างอยากรู้ หากเขากลับไปเวิ่นสุ่ยจริงๆ เขาจะเผชิญหน้ากับประมุขผู้เฒ่าอย่างไร ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด จิตใจหนักแน่นแค่ไหน เขาจะสามารถยกดาบสู้กับประมุขผู้เฒ่าได้หรือ
เมื่อเขามองร่างของหวังผ้อหายไปตามสายน้ำ หลัวปู้ก็นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน นิ้วมือของเขาเคลื่อนไประหว่างเหมยฤดูหนาวอย่างแผ่วเบาไม่ก่อให้เกิดเสียง
แม้แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรในสถานการณ์นี้
คนชุดน้ำเงินก็จากไปเช่นกัน
หลัวปู้ออกจากริมแม่น้ำ ติดตามพวกเขาไปในระยะห่างสองสามลี้
เห็นได้ชัดว่าผู้มาเยือนลึกลับจากต้าโจวเป็นยอดฝีมือขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ติดตามพวกเขาโดยไม่ถูกจับได้นั้นเป็นเรื่องยากที่จะทำได้ บางทีอาจกลายเป็นโทษประหาร แต่หลัวปู้ไม่คิดที่จะหยุด เพราะเขาต้องการจะรู้ว่าความจริงทั้งหมดเป็นเช่นไร
มันก็เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนที่เขาได้แข่งกับยอดฝีมือรุ่นเยาว์จากเมืองเสวี่ยเหล่าและเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงเพื่อหากุญแจนั่น
และตอนนี้เขามั่นใจว่าเขาจะไม่ถูกคนพวกนั้นพบ
ทั้งสองฝั่งแม่น้ำปกคลุมไปด้วยหญ้าที่ถูกแช่แข็งตาย พวกมันดูเหมือนกับหญ้าแถวคอกม้าผาชัน เหมือนกับกระบี่นับไม่ถ้วนกองซ้อนกัน
เขาเดินไปท่ามกลางหญ้าที่มีน้ำค้างแข็งเกาะราวกับต้องการจะเป็นหนึ่งเดียวกับพวกมัน เพราะเขาก็เป็นกระบี่เล่มหนึ่ง