ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 154 ลมวสันต์เข้าสู่เมืองเก่า
คลื่นสีดำหยุดอยู่บนทุ่งราบไกลออกไป แม้แต่กระจกพันลี้ของตระกูลถังที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะก็ยังยากที่จะบอกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นกองทหารม้าของใคร
ผ่านไปไม่นาน ทหารม้าร้อยกว่านายก็ออกมาจากกองทัพและควบมาทางเมืองเวิ่นสุ่ย ไม่สนใจหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่บนกำแพง ไม่ว่าพวกเขาจะผ่านการซ้อมมานับไม่ถ้วน แต่ทหารและยามบนกำแพงก็ยังรู้สึกกังวลกับภาพนี้ สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังขาดประสบการณ์จริง
เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชารีบคุ้มกันเจ้าเมืองมายังกำแพงเมือง เขาไม่มีเวลาจะแต่งตัวให้เรียบร้อยด้วยซ้ำอย่าว่าแต่จะใส่ชุดเกราะเลย
เมื่อเขามองไปที่คลื่นทหารม้าที่อยู่ไกลและขบวนทหารม้าร้อยกว่านายใกล้เข้ามามากขึ้นทุกที เจ้าเมืองก็มีสีหน้าซีดลงเรื่อยๆ
ทหารม้าร้อยกว่านายได้เข้ามาอยู่ในระยะของหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่เขาไม่กล้าจะออกคำสั่งให้ยิง เหงื่อไหลโชก หันไปหาองครักษ์ตระกูลถังและถามอย่างแตกตื่น “ท่านประมุขตระกูลอยู่ไหน ทำไมท่านประมุขไม่ส่งใครมา”
เจ้าเมืองเวิ่นสุ่ยถูกแต่งตั้งโดยราชสำนัก แต่เขาก็รู้ดีว่าเขาไม่เคยเป็นนายของเมืองนี้
นานหลายพันปีแล้วที่นายของเมืองนี้มีแซ่เดียวตลอดมา นั่นคือแซ่ถัง
เวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้วนับจากระฆังเตือนครั้งแรก ไม่ว่าพวกเขาจะตอบสนองช้าแค่ไหน ตระกูลถังก็น่าจะส่งใครบางคนมาแล้วในตอนนี้
ทำไมคนบนกำแพงถึงมีแต่เหล่าองครักษ์ แต่กลับไม่มีคนสำคัญของตระกูลถังเลยแม้แต่คนเดียว
ที่ปรึกษามองไปยังทหารม้าที่เข้ามาและคิดถึงความเป็นไปได้ เขากระซิบ “หากไม่มีการเคลื่อนไหวของท่านประมุข ก็หมายความว่ามันไม่มีปัญหา”
เจ้าเมืองพบว่าคำพูดนี้มีเหตุผลทีเดียว เขาเช็ดเหงื่อเย็นบนใบหน้าและถามอย่างหวาดหวั่น “แล้ว…ที่มาเป็นใคร”
……
……
เวลาผ่านไป ทหารม้าร้อยกว่านายก็มาถึงกำแพงเมืองเวิ่นสุ่ย
ไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นเพราะคนบนกำแพงตระหนักได้ว่าผู้มาเป็นใครได้อย่างรวดเร็ว
ผู้มาเยือนเมืองเวิ่นสุ่ยไม่ใช่กองทัพเผ่ามารที่เคลื่อนมา แต่เป็นทหารม้าองครักษ์สองพันนาย
ภารกิจของพวกเขาคือการคุ้มกันมหามุขนายกวิหารศักดิ์สิทธิ์สามท่านมายังเวิ่นสุ่ย
สาเหตุที่มหามุขนายกวิหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามมายังเวิ่นสุ่ยก็เรียบง่ายยิ่งกว่า นั่นคือเพื่อมาพบสังฆราช
ไม่ว่าทหารและชาวเมืองเวิ่นสุ่ยจะหงุดหงิดที่ถูกรบกวนในยามเช้าเพียงใดแต่พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามมหามุขนายกไม่ให้เข้าเมือง
กำลังส่วนใหญ่ของทหารม้าสองพันนายยังอยู่บนทุ่ง ไม่แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์
ประตูเมืองหนาหนักที่เพิ่งปิดไปไม่นานเปิดออกช้าๆ
รถม้าขนาดใหญ่สองคันมีทหารม้าร้อยนายคุ้มครองเข้าสู่เมือง ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วนที่มีอารมณ์แตกต่างกันไป
มหามุขนายกอันหลินพูดกับเจ้าเมืองไม่กี่คำผ่านม่าน ไม่มีเจตนาจะออกจากรถม้า
ผู้คนบนถนนมองดูเงาร่างในรถม้าอย่างสนใจ บ้างก็ถึงกับคุกเข่าและสวดภาวนาบนพื้น
ราชันแห่งหลิงไห่กับนักพรตไป๋สือยังนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน
“ตระกูลถังมีปฏิกิริยารวดเร็วมาก พวกเขาไม่ใช่จะโจมตีได้ง่ายๆ”
ราชันแห่งหลิงไห่พูดอย่างราบเรียบและเขามองผ่านม่านออกไป มองดูองครักษ์ตระกูลถังพวกนั้นที่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกองทัพราชสำนัก
มีความหมายที่ลึกกว่าซ่อนอยู่ในคำพูดนี้ แต่นักพรตไป๋สือได้แต่ยิ้มอ่อน ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
ราชันแห่งหลิงไห่มองไปที่เขาและกล่าว “เมืองเวิ่นสุ่ยไม่เคยพบกับไฟสงคราม แล้วทำไมตระกูลถังถึงได้ระมัดระวังตัวนัก พวกเขาไม่สนใจที่จะทำเกินบรรทัดฐานและติดตั้งหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์กับค่ายกลมากมาย ทำไมถึงมีกำลังส่วนตัวมากมายนัก หรือว่า…พวกเขากำลังคิดจะก่อกบฏ”
ครั้งนี้ความหมายชัดเจนกว่าเดิม รอยยิ้มของนักพรตไป๋สือจางลง แต่เขาก็ยังไม่พูดอะไร เพราะเขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
……
……
ทหารม้าสองพันนายคุ้มครองสามมหามุขนายกแห่งนิกายหลวงมายังเวิ่นสุ่ย
พวกเขามีเหตุผลอันสมควร เพราะพวกเขาต้องรักษาความปลอดภัยให้สังฆราช
ไม่มีใครสามารถส่งเสียงคัดค้านได้
แต่ไม่มีใครลืมเรื่องสำคัญ พระราชวังหลีไม่ได้แจ้งเมืองเวิ่นสุ่ยล่วงหน้า
การหยิบไปโดยไม่บอกก็คือขโมย การมาโดยไม่บอกก็คือการโจมตีโดยไม่ให้ตั้งตัว
ทหารม้าสองพันนายพลันปรากฏตัวนอกเมืองเวิ่นสุ่ย เสียงฝีเท้าดังกระหึ่มฉีกกระชากแสงอรุณ
แม้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทั้งเมืองเวิ่นสุ่ยก็รู้สึกกังวลและไม่สบายใจในเช้านี้
พันปีก่อน กองทัพมารเคลื่อนทัพลงมาจากทางเหนือและล้อมลั่วหยางอยู่นาน กองหน้าของพวกเขาห่องจากจิงตูแค่สามร้อยกว่าลี้ แต่พวกเขาไม่เคยมาถึงเมืองเวิ่นสุ่ย
ในอดีตที่ไกลยิ่งกว่านั้น ในยุคโกลาหลที่เหล่าขุนศึกแย่งชิงอำนาจ ต้าลู่สว่างไปด้วยไฟสัญญาณ ผู้คนพลัดถิ่นและผืนดินกว้างใหญ่ถูกไฟเผา มีเพียงเมืองเวิ่นสุ่ยที่ไม่ถูกโจมตี แต่มองดูโลกตกอยู่ในกลียุค
นี่เป็นครั้งแรกในช่วงนับปีไม่ถ้วนที่เมืองเวิ่นสุ่ยได้พบเจอกับกองทัพ
ทำไมนิกายหลวงถึงทำเช่นนี้ แสดงอำนาจให้ตระกูลถังดูหรือ พวกเขากังวลเรื่องความปลอดภัยของสังฆราชอย่างนั้นหรือ หรือว่าพวกเขาต้องการจะขู่ขวัญบางคนในเมืองเวิ่นสุ่ย
ในฐานะราชทูต จงซานอ๋องไม่ได้กลับไปยังจิงตูทันทีหลังจากออกจากศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน แต่เขากลับเป็นตัวแทนจักรพรรดิตรวจสอบกองทหารต่างๆ ในแดนเหนือ เมื่อเขาได้ทราบข่าวตอนที่อยู่ด่านหลานกวน คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาไม่ได้เป็นเหมือนที่กล่าวมาด้านบน คนของนิกายหลวงไม่ได้ไปซงโจวหรอกหรือ
วันหนึ่ง ราชันแห่งหลิงไห่กับผู้ยิ่งใหญ่นิกายหลวงสองคนได้นำทหารม้าสองพันนายโถมเข้าซงซานด้วยพลังปานฟ้าถล่ม ใช้เรื่องการลอบสังหารสังฆราชชิงตำแหน่งขุนพลเทพศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน สาเหตุหลักที่พวกเขาทำได้สำเร็จก็คือการที่พวกเขามาถึงอย่างฉับพลันเกินไป
ทหารม้านิกายหลวงสองพันนายได้ควบออกไปนอกเมืองสวินหยางและไม่มีอะไรนอกจากดินแดนรกร้างระหว่างมันกับศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องคาดไม่ถึงที่พวกเขาสามารถปิดบังการเคลื่อนไหวจากราชสำนักได้ อย่างไรก็ตาม คำถามก็คือผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามของนิกายหลงออกจากพระราชวังหลีเมื่อไหร่ ทำไมจึงไม่มีใครในจิงตูสังเกตเห็น
ราชสำนักย่อมไม่ยอมปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก เมื่อผู้ยิ่งใหญ่นิกายหลวงสามคนนำทหารม้าสองพันนายออกจากศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน พวกเขาก็ถูกกองทัพต้าโจวจับตาดูเสมอ ทุกคนรู้ว่าพวกเขากำลังเข้าใกล้ศูนย์บัญชาการกองทัพซงโจว
นี่เป็นสิ่งที่คนมากมายในราชสำนักคาดการณ์ไว้
นิกายหลวงคงไม่ส่งกองกำลังขนาดใหญ่แบบนี้มาเพียงเพราะศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน
ศูนย์บัญชาการกองทัพซงโจวตั้งอยู่ไกลออกไปทางตะวันตก ชีวิตที่นั่นยากลำบาก และมันก็สำคัญอย่างยิ่ง ที่สำคัญมันเป็นที่ซึ่งเซวียสิ่งชวนได้เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา แม้ว่าเขาจะตายไปสามปีแล้วและราชสำนักก็ลงมือกวาดล้างหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่อาจที่จะกำจัดอิทธิพลของเขาให้หมดไปได้
ในทุกแง่มุม ศูนย์บัญชาการกองทัพซงโจวควรเป็นเป้าหมายของนิกายหลวง
ใครจะไปคิดว่าสามผู้ยิ่งใหญ่นิกายหลวงกับทหารม้าสองพันนายจะข้ามภูเขาไร้ชีวิตและทะเลทรายทั้งคืนและพลันปรากฏตัวขึ้นนอกเมืองเวิ่นสุ่ย!
นิกายหลวงต้องการจะทำอะไรกันแน่ สังฆราชหนุ่มจะบ้าไปแล้วจริงๆ แล้วตั้งใจจะกวาดล้างเวิ่นสุ่ยอย่างนั้นหรือ
ในที่สุดจงซานอ๋องก็เริ่มคิดถึงคำถามนี้ แล้วสีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชามากยิ่งขึ้น
เขาไม่อยากเชื่อในข้อสันนิษฐานที่เหลวไหล ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่ามากว่าสังฆราชหนุ่มไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้
และการกวาดล้างเวิ่นสุ่ยด้วยทหารม้าสองพันนายน่ะหรือ นี่เป็นการดูถูกสติปัญญาของสังฆราชและความแข็งแกร่งของตระกูลถังเกินไปหน่อย
ในตอนนั้นเอง เสียงโห่ร้องก็ดังกระหึ่มก็ดังขึ้นมาจากถนนในศูนย์บัญชาการกองทัพ
จงซานอ๋องขมวดคิ้วเล็กน้อยและถาม “เกิดอะไรขึ้น”
แม้ว่าจะผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว เสียงโห่ร้องภายนอกก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ทว่ามันกลับดังขึ้น ราวกับว่าด่านหลานกวนกำลังเฉลิมฉลองอะไรบางอย่าง
ขุนพลเทพเจี้ยนซีเดินเข้าสู่ห้องโถงทหารและกล่าวด้วยน้ำเสียงหม่นมัว “เราเพิ่งได้รับข่าวเกี่ยวกับยาจูซาชุดใหม่และจะเริ่มแจกจ่ายพรุ่งนี้”
สายตาของจงซานอ๋องเยือกเย็นยิ่งขึ้นในยามที่เขาคิดในใจ ข้าไม่รู้ว่าองค์สังฆราชฉลาดเพียงใด แต่ความใจกว้างของเขาไม่ธรรมดาเลย
……
……
เวิ่นสุ่ยเป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองในโลกที่เรียกได้ว่าเก่าแก่โบราณ ช่วงกลางฤดูหนาวที่หิมะและใบไม้เหลืองให้สีที่แตกต่างกันชัดเจน มันก็ดูสงบเงียบมากขึ้น
ใครที่เห็นกำแพงเก่ากระดำกระด่างและป้ายสัญลักษณ์ที่ไม่ได้เปลี่ยนแม้จะผ่านลมฝนมาหลายร้อยปีก็ต้องรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายประวัติศาสตร์ที่หนาหนัก
เมื่อนึกถึงตระกูลชั้นสูงในเมือง กลิ่นอายประวัติศาสตร์หนาหนักก็ได้รับการเสริมด้วยพลังที่สามารถผ่านช่วงกลียุคไปได้
แม้ราชันแห่งหลิงไห่จะหยุดฉุนเฉียวตั้งแต่เข้าเมืองมา แต่ก็ยังคงเคร่งขรึมอยู่บ้าง
เขาเลิกม่านขึ้น อย่างแรกที่เห็นก็คือผู้คน บ้างคุกเข่าบ้างยืนบนถนนแล้วจากนั้นก็เห็นแสงบนน้ำ
เมืองเวิ่นสุ่ยอยู่ขึ้นไปทางเหนือจากจิงตู แต่แม่น้ำที่มีชื่อเดียวกันไม่ได้เป็นน้ำแข็งแม้จะอยู่กลางฤดูหนาว ดูเหมือนว่ามันจะไหลไปตลอดกาล
มีแต่ต้นหญ้าที่ปกคลุมด้วยหิมะริมแม่น้ำและดอกไม้เหลืองสองสามดอกที่เห็นได้ชัดว่าถูกแช่แข็งจนตายเป็นหลักฐานพิสูจน์ถึงกฎธรรมชาติที่ไม่อาจหยุดได้
รถม้าหยุดนอกอารามเต๋า ราชันแห่งหลิงไห่ก้าวขึ้นบนบันไดหิน นักพรตไป๋สือและมหามุขนายกอันหลินเดินตามอยู่ด้านหลัง
ที่ปลายของทางหินที่เงียบสงบเป็นประตูศักดิ์สิทธิ์ที่นำไปยังหอหลัง
ต้นสาลี่ถูกปลูกอยู่หลังประตูนั่น ใต้ต้นไม้มีชายหนุ่มยืนอยู่
ราชันแห่งหลิงไห่ไม่ชอบชายหนุ่มผู้นี้
ไม่เคยชอบ
แม้แต่หลังจากเขาพบว่าชายหนุ่มเป็นผู้สืบทอดที่เที่ยงธรรมของนิกายหลวง เขาก็ยังไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมสังฆราชที่เขาเคารพเหนือสิ่งอื่นใดจึงเลือกคนผู้นี้เป็นผู้สืบทอด
ในสายตาของเขา แม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะไม่ใช่คนขี้ขลาดแต่เขาก็ยังขาดความแหลมคม เขาไร้ชีวิตชีวาและไม่แสดงความโน้มเอียงในเรื่องใด
การขาดความโน้มเอียงหมายความว่าเขาไม่มีความชอบหรือไม่ชอบ ไม่มีความหลงใหลหรือเกลียดชัง ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่า ‘ความรับผิดชอบ’ หมายถึงสิ่งใด
ในขณะนี้ตอนที่เขาเห็นร่างใต้ต้นสาลี่ เขาก็เข้าใจบางอย่างในที่สุด
ชายหนุ่มผู้นี้ไม่เคยไร้ชีวิตชีวา
เขาสงบและใจเย็น
ชายหนุ่มผู้นี้เป็นเหมือนกับสายน้ำเล็กๆ
สายน้ำนี้อาจจะตื้นอยู่บ้าง แต่ก็ใสสะอาด สามารถมองเห็นปลาที่ก้นลำธารและภาพสะท้อน
สายน้ำนี้ดูอ่อนโยนแต่ก็มีความเหนี่ยวแน่นเหลือเชื่อ แม้แต่กระบี่ที่คมที่สุดก็ไม่อาจที่จะตัดกระแสน้ำได้
สายน้ำนี้อาจดูสงบอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วบรรจุไว้ด้วยพลังอันพลุ่งพล่านที่ยากจะจินตนาการได้ มันสามารถกัดเซาะภูเขา เปิดผ่านดินแดนใหม่ ไหลสู่ตะวันตกจนไปถึงมหาสมุทร
เหมือนกับที่ทุกคนรู้ว่าเขาไม่ควรมายังเวิ่นสุ่ย ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมาเวิ่นสุ่ย แต่เขาก็ยังมา
ราชันแห่งหลิงไห่เข้าใจการเลือกของสังฆราชได้ในที่สุด
เขาหมอบกราบอย่างสุขุม
นักพรตไป๋สือกับอันหลินมองตากันด้วยสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็หมอบกราบเช่นกัน
ชายหนุ่มหันมาและกล่าว “ลุกขึ้นเถอะ”
ลมเย็นพัดเข้ามา ทำให้ดอกไม้เล็กๆ นับไม่ถ้วนตกลงจากต้นไม้และร่วงลงบนร่างของเขา พวกมันตกบนบ่าและดูบริสุทธิ์สะอาดราวกับเกล็ดหิมะ
ดอกไม้เล็กๆ สีขาวร่วงลงและปกคลุมพื้นดิน
ตอนนี้เป็นฤดูหนาวที่เย็นเยียบ ทำไมมันจึงเป็นภาพที่งดงามนัก
บางทีอาจเป็นเพราะเขาทำยาเมื่อวานนี้ ทำให้สวนนี้พลันอบอุ่นและชีวิตก็ค่อยๆ เบ่งบาน
มันจึงเหมือนกับสายลมวสันต์ได้พัดเข้ามาในคืนนี้และทำให้ดอกไม้ทั้งหมดบนต้นแพรเบ่งบาน