ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 18 คนจริง
กินเวลาหิว นอนเวลาง่วง กินยาเวลาป่วย ฝังศพคนเมื่อตายไป นี่คือหลักการของฟ้าดินที่ไม่มีวันเปลี่ยน
หลักการฟ้าดินคืออะไร ก็คือหลักการยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกนี้
เสียงเฉินฉางเซิงกระจายออกไปตามลมฤดูใบไม้ร่วง ทอดไปยังฝูงชนที่ล้อมอยู่อย่างเงียบงัน
สวีซื่อจีไม่มีคำพูดจะตอบโต้ ต่อหน้าหลักการเช่นนี้ พูดอะไรไปก็ถือว่าขาดหลักการ
เฉินฉางเซิงเดินเข้าสู่ท้องทุ่งด้านข้างถนนหลวง เสื้อผ้าส่องประกายแสงดาวที่แม้แต่แสงตะวันอันเจิดจ้าก็ไม่อาจปิดบังได้
สีหน้าสวีซื่อจีเย็นชาลงเล็กน้อย “เจ้าต้องการจะโจมตีข้าเช่นนั้นหรือ”
คำถามนี้เป็นทั้งการข่มขู่และไม่ใช่การข่มขู่ ฟังเหมือนกับคำเตือนเสียมากกว่า
นี่ไม่เกี่ยวกับอำนาจหรือความแข็งแกร่ง เฉินฉางเซิงได้ยินคำที่ไม่ได้กล่าวออกมาอย่างชัดเจน
ข้าคือบิดาของสวีโหย่วหรง เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าต้องการจะโจมตีข้า
ก่อนการต่อสู้บนสะพานหน่ายเหอ เมื่อไหร่ที่เฉินฉางเซิงคิดถึงสวีโหย่วหรง เขาก็มักรู้สึกสงสารและเห็นใจ เพราะสวีโหย่วหรงมีพ่ออย่างสวีซื่อจี
ในครั้งนี้ เขายังรู้สึกว่าสวีซื่อจีเป็นฝ่ายที่น่าสงสาร แน่นอนว่าความน่าสงสารมีหลากหลาย ความน่าสงสารนี้ทำให้คนรู้สึกเหนื่อยหน่ายอยู่บ้าง
เขาไม่สนใจและเดินสู่ท้องทุ่ง
ซูม่ออวี๋ทำตามเจตนาของเฉินฉางเซิง นำตัวเซวียฮูหยินไปรอที่ทางหลวง
สายตามากมายจับจ้องไปยังสวีซื่อจี
ทหารและเจ้าหน้าที่ของกองทัพรักษาการประตูเมืองกำกระบี่กระชับทวน ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี
สวีซื่อจีรู้ว่าเขาไม่อาจทำอะไรได้
ลูกศรที่ทำให้เทียนไห่เซิ่งจากกรมราชทัณฑ์ตาบอดนั้นเห็นได้ชัดว่ามาจากหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่ามือปราบจากกรมราชทัณฑ์กับทหารม้ากองทัพรักษาการณ์ประตูเมืองยังไม่อาจหาคนยิงหน้าไม้พบ แต่เขาก็มั่นใจได้ว่ากองทัพม้านิกายหลวงอยู่ไม่ไกล ยิ่งไปกว่านั้น ลึกเข้าไปในตรอกใกล้ประตูเมือง เขายังพอจะเห็นเงาร่างของมุขนายกหลายท่าน
มุขนายกทั้งหลายมาถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยนักบวชมากมาจากสำนักการศึกษากลาง
นักบวชไม่สนใจสายตาสวีซื่อจีและสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคนจากกองทัพรักษาการณ์ประตูเมืองกับกรมราชทัณฑ์ ก่อนเริ่มทำการรักษาทหารกองทัพเมืองชงที่บาดเจ็บ
ย่อมต้องมีผู้ที่สนใจเรื่องในท้องทุ่งด้วยเช่นกัน
เฉินฉางเซิงกลับมายังถนนหลวง
ตอนนี้เองที่เซวียฮูหยินยืนยันได้ถึงฐานะของเขา แม้ว่ายังประหลาดใจอยู่บ้างแต่ก็ซาบซึ้งใจอย่างมาก นางกล่าวอย่างจริงใจ “ขอบคุณท่านสำหรับความเมตตา”
เฉินฉางเซิงตอบ “ฮูหยิน ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ข้าไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ข้าแค่บังเอิญเดินผ่านมาเห็นเข้า”
เซวียฮูหยินกล่าว “ข้าเพียงแค่เป็นกังวลว่าเรื่องนี้จะส่งผลกับท่าน”
เฉินฉางเซิงตอบ “ไม่เป็นไรหรอก”
สวีซื่อจีอยู่ด้านข้างตลอดเวลา มองดูด้วยสายตาเย็นชา เขาตระหนักว่าเฉินฉางเซิงกับเซวียฮูหยินเป็นคนแปลกหน้าอย่างสิ้นเชิง ยืนยันได้ในที่สุดว่าไม่มีมิตรภาพอันใดระหว่างเขากับจวนเซวีย อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยิ่งทำให้สวีซื่อจีสับสนมากขึ้น
ขัดราชโองการและขัดแย้งกับอาจารย์ตนเองเพียงเพราะศพคนผู้หนึ่ง คุ้มแล้วเช่นนั้นหรือ
เขามองเฉินฉางเซิงแล้วกล่าวอย่างสงสัย “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าทำทั้งหมดนี้เพื่อสิ่งที่เรียกว่าหลักการ”
เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าไม่ใช่หวังผ้อที่ทำทุกอย่างเพื่อความซื่อตรง ข้าตัดสินใจทำ เพราะสิ่งนี้มีประโยชน์ต่อข้า”
สวีซื่อจียิ้มเยาะพลางคิดในใจ เหมือนที่คิดไว้
“ข้าฝึกตนตามวิถีแห่งการทำตามใจตนเอง ไม่ว่าข้าพบเจอเรื่องใด ข้าก็จะทำตามใจตนเองเสมอ มิเช่นนั้นการบำเพ็ญเพียรของข้าจะได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง”
การทำตามใจตนหมายถึงสิ่งใด
หากเขาเห็นภูเขาเขียวและพบว่ามันงดงาม เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร
หากเขาเห็นภูเขาเขียวและพบว่าไม่สบายตา เช่นนั้นเขาก็จะกำจัดมันไป
หากถนนตรงหน้าทอดยาวตรงไปอย่างเที่ยงธรรม เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร
หากเขาเห็นความไม่ยุติธรรมบนถนน เขาย่อมชักดาบออกมา
หากทิวทัศน์สดใสงดงาม เขาก็จะชื่นชมมัน
หากตรงนห้าเป็นควันสกปรกและโรคภัย เขาจะนิ่งเงียบได้เช่นไร
ซูม่ออวี๋ถอนหายใจอย่างชื่นชม การทำตามใจเช่นนี้แล้วมันต่างจากวิถีดาบของหวังผ้อตรงไหนกัน
สวีซื่อจีถามคำถามสุดท้าย “เจ้าไม่กลัวจริงหรือ”
เฉินฉางเซิงไม่ตอบคำถามนี้ หันกลับไปเดินเข้าสู่จิงตู
สี่วันก่อน เขาแบกร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ลงจากสุสานเทียนซูและฝังเอาไว้ในสวนร้อยหญ้า
เขาทำเรื่องเช่นนี้ไปแล้ว ดังนั้นยังจำเป็นต้องกังวลเรื่องเซวียสิ่งชวนอีกหรือ
……
……
ศพเจ้าหน้าที่ระดับสูงล้วนถูกกลบฝังจนหมดสิ้น หลุมฝังศพปรากฏเพิ่มขึ้นอีกหลายหลุมที่ชายเมืองจิงตู ทว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในจิงตูแม้แต่น้อย
นี่ทำให้หลายคนประหลาดใจ สุดท้ายแล้วเจตจำนงของราชสำนักช่วงสี่วันที่ผ่านมาก็ออกจะโหดร้ายอยู่บ้าง ทุกคนเชื่อว่าสำนักฝึกหลวงกับเฉินฉางเซิงต้องพบกับมรสุมเป็นแน่ ต่อให้พระราชวังหลีแสดงกำลังออกมาปกป้องพวกเขาอย่างไม่ลังเลก็ตาม
ในลมฝนฤดูใบไม้ร่วง ผู้ที่มายังสำนักฝึกหลวงไม่ใช่ทหารจากราชสำนัก หากแต่เป็นเซวียฮูหยิน
หอประชุมสำนักฝึกหลวงได้รับการซ่อมแซมแล้วในฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นย่อมเป็นที่ที่เฉินฉางเซิงไปพบกับเซวียฮูหยิน
เซวียฮูหยินแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจอีกครั้ง เฉินฉางเซิงก็บอกว่าไม่จำเป็นอีกครั้ง
เซวียฮูหยินกล่าว “อันที่จริงแล้วสามีผู้ล่วงลับของข้าก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับท่านเสมอมา”
เฉินฉางเซิงรู้สึกสับสนอยู่บ้าง “ขุนพลเทพเซวียเคยพูดถึงข้าตอนอยู่บ้านด้วยหรือ”
ดังที่กล่าวเมื่อวาน เขามิใช่ญาติสนิทมิตรสหายของตระกูลเซวีย อาจเรียกได้ว่าเป็นคนแปลกหน้า เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเซวียสิ่งชวนถึงได้พูดถึงเขาตอนที่อยู่บ้าน แน่นอนอาจปรึกษาเรื่องในราชสำนักกับภรรยา เป็นกังวลเกี่ยวกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ แต่สงสัยใคร่รูู้…นี่ค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข่าวลือเรื่องรัชทายาทเจาหมิง
เซวียฮูหยินมองเขาและกล่าว “เขาบอกว่าท่านเป็นคนจริงคนที่สองที่เขาเคยพบมาตลอดชั่วชีวิตของเขา”
หลังจากเขามาจากเมืองซีหนิงถึงจิงตู ผู้คนในโลกก็มีคำประเมินมากมายให้กับเฉินฉางเซิง เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ สุขุมและเติบโตก่อนวัย สงบราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ
เขาไม่รู้ว่าก่อนเซวียสิ่งชวนมีบางคนได้ใช้คำว่า ‘คนจริง’ พูดถึงเขาแล้ว
เซวียฮูหยินกล่าวต่อ “สามีผู้ล่วงลับของข้าไม่เข้าใจ ท่านเป็นคนที่ตัดแขนน้องชายเขาอย่างแน่แท้ แต่ไม่ว่าเขาพบเจอท่านที่วังหลวงหรือที่ใดก็ตาม ท่านก็ยังสามารถรักษาความสงบเอาไว้ได้เสมอ”
เฉินฉางเซิงเข้าใจว่านี่หมายถึงตอนที่เขาคุ้มครองส่งซูหลีกลับแดนใต้ ใช้กระบี่รอบรู้ที่เพิ่งเรียนตัดแขนขุนพลเทพเซวียเหอในแดนรกร้าง
หลังจากนั้น เขาก็พบเซวียสิ่งชวนหลายครั้ง ว่าตามเหตุผล เขาควรต้องสำนึกผิด ระวังตัว หรืออย่างน้อยก็ต้องแสดงอารมณ์ออกมาบ้าง แต่เขาไม่เคยเลย
เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับเซวียสิ่งชวน ทำราวกับว่าเรื่องไม่เคยเกิดขึ้น
“ในตอนนั้น เซวียเหอบอกข้าว่า เพราะข้าไม่สังหารเขา เขาก็จะจดจำความเมตตาของข้าเอาไว้”
เฉินฉางเซิงคิดแล้วกล่าวต่อ “พวกเขาเป็นพี่น้องกัน และข้าก็ไม่ต้องการให้ขุนพลเทพเซวียจดจำความมีเมตตานี้ ดังนั้นข้าจึงไม่พูดถึงมัน”
เซวียฮูหยินถอนหายใจอย่างเปี่ยมด้วยอารมณ์
ในตอนนั้นที่แดนรกร้าง เซวียเหอได้กล่าวว่า “ท่านไม่สังหารข้า เพียงแค่ตัดแขนเท่านั้น ดังนั้นข้าจะจดจำความเมตตาของท่านเอาไว้”
การแทงข้างหลังเกิดขึ้นบ่อยมากในโลกปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อคนทั่วไปได้ยินคำพูดเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่คิดว่าเป็นความจริง
แต่เฉินฉางเซิงกลับถือว่าเป็นจริง
เซวียสิ่งชวนเคยคิดเรื่องนี้เป็นเวลานานก่อนที่จะสรุปได้ว่าเฉินฉางเซิงนั้นสงบและไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้ ก็เพราะเขาถือว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นความจริง
ในคืนนั้นเขาก็ถอนหายใจอย่างเปี่ยมด้วยอารมณ์กับภรรยาและกล่าวชม “เฉินฉางเซิงเป็นคนจริงผู้หนึ่ง”