ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 20 ขุดหลุม
โจวทงมองไปยังชายวัยกลางคนตรงหน้าเขาแล้วหัวเราะ เขายิ้มลึกล้ำยากหยั่งถึง “นี่คือคำพูดของเซวียฮูหยินเช่นนั้นหรือ”
ชายวัยกลางคนมีสีหน้าไม่สบายใจอยู่บ้าง “ภรรยาข้าอาจเป็นคนใจร้อน แต่ข้าไม่คิดว่านางจะโกหกเพราะความโกรธ”
“ขอบคุณใต้เท้ารองเจ้ากรมที่มาบอกเรื่องนี้กับข้า”
ท่าทีโจวทงจริงใจ ดวงตาอ่อนโยน
แต่เมื่อรองเจ้ากรมพิธีการจากไป ดวงตาเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปแค่ไม่กี่วันหลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้น ในฐานะหนึ่งในผู้มีส่วนร่วม เขาย่อมไม่ลืมเลือน
เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่ภักดีและอุทิศตัวก็ไม่ลืมเช่นกัน
หากพูดอย่างเจาะจง จุดเริ่มต้นของคืนนั้นก็คือประกายดาบที่ส่องสว่างขึ้นในลานต้นไห่ถัง เขาเกือบตายด้วยมือเฉินฉางเซิง
หากมิใช่เพราะดาบนั้น บางทีสถานการณ์อาจไม่พัฒนาไปเช่นนั้น บทบาทของเขาในคืนนั้นอาจแตกต่างไปอย่างมาก
เซวียสิ่งชวนเป็นเพื่อนคนเดียวของเขาบนโลกนี้
เซวี่ยสิ่งชวนเป็นคนเดียวที่เชื่อใจเขาในโลกนี้
ดังนั้นเขาจึงถูกพิษจนตาย
วันนั้นในวังหลวง เขาได้รับการรักษาด้วยวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ ซางสิงโจวเป็นคนรักษาเขาด้วยตัวเอง เขาแทบจะฟื้นตัวจากการบาดเจ็บอย่างสมบูรณ์
ในอนาคต เขาอาจมีสถานะสูงกว่าเดิม มีอำนาจมากกว่าเดิมในคณะผู้ปกครองชุดใหม่นี้ ตำแหน่งของเขายิ่งมั่นคงไม่สั่นคลอน
เพื่อประกาศและพิสูจน์เรื่องนี้กับโลก ศพเซวียสิ่งชวนจึงถูกโยนทิ้งไว้ริมถนนหลวงห้ามไม่ให้กลบฝัง
ในที่สุด เฉินฉางเซิงก็ฝังศพเซวียสิ่งชวน เซวียฮูหยินไม่คิดที่จะไปจากจิงตูอีกต่อไป แล้วเจ้าเด็กที่เรียกว่าพี่จิ่นนั่นก็ถูกนำตัวกลับมา จวนเซวีย…ถึงกับวางแผนจะจัดงานศพ!
แน่นอน โจวทงรู้ว่าทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร พวกมันกำลังตบหน้าเขา
ต้นไห่ถังได้กลายเป็นเศษไม้ไปแล้ว ลานบ้านพังยับเยิน สิ่งก่อสร้างของกรมอาญาบนพื้นดินก็ถูกทำลายหมด มีแต่คุกใต้ดินที่ยังอยู่ในสภาพดี
โจวทงยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง มองขึ้นไปอย่างเงียบงันยังเมฆบางบนท้องฟ้า ครุ่นคิดเรื่องต่างๆ
ผู้ใต้บังคับบัญชามองไปที่สีหน้าเดียวดายของโจวทงและกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “ใต้เท้า…”
“หน้าข้าหนามากตลอดมา ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่มีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้”
โจวทงกล่าวอย่างเรียบเฉย “เจ้าสำนักเฉินตบแก้มซ้ายข้าแล้ว หากเขายังสนใจ ข้าก็จะหันหน้าให้เขาตบแก้มขวาจนเขาพอใจ”
ผู้ใต้บังคับบัญชาดูเหมือนจะไม่ยอมรับเรื่องนี้ “เพราะเหตุใดกัน”
โจวทงดึงสายตากลับมาจากท้องฟ้าและตอบอย่างไม่ยินดียินร้าย “เพราะเขาเป็นศิษย์เจ้าสำนักซาง เป็นศิษย์น้องฝ่าบาท เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งสังฆราช เขามีสิทธิ์ทุกประการที่จะตบหน้าข้า”
การประจานศพของเซวียสิ่งชวนและพวกทหารระดับสูงของกองทัพอวี่หลินบนท้องทุ่งเป็นราชโองการจากราชสำนัก ใครจะหาญกล้าไม่ทำตาม
เฉินฉางเซิงกล้า แล้วใครกล้าใช้เรื่องละเมิดกฎหมายของต้าโจวหรือต่อต้านราชโองการมาเล่นงานเขา
เพราะเหตุใด ดังเช่นที่โจวทงกล่าวไว้ หากราชสำนักไม่ต้องการจะตัดขาดกับนิกายหลวงในทันทีที่โค่นล้มจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็ต้องทนเอาไว้เท่านั้น
ทุกคนในราชสำนักต้องทนเอาไว้ และโจวทงก็เป็นหนึ่งในพวกเขา ต่อให้เขาเป็นคนไม่สำคัญก็ตาม
ผู้ใต้บังคับบัญชาถามด้วยความโมโห “แล้วเราต้องทนไปอีกนานเพียงไร”
โจวทงเงียบไปแล้วจึงกล่าว “แม้แต่เหนียงเหนียงยังตายได้ ทุกคนก็ตายได้”
เขาไม่ได้พูดถึงเฉินฉางเซิง แต่เป็นสังฆราชที่ได้ยอมรับตรงหน้าสุสานเทียนซูว่าเขาแก่และกำลังจะตาย
ในวันที่สังฆราชกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว บางทีเฉินฉางเซิงอาจขึ้นเป็นสังฆราชคนต่อไปจริงๆ ทว่าไม่มีใคร ไม่ว่าราชสำนักหรือซางสิงโจวหรือพวกนิกายหลวง จะยอมให้เขาทำตัวเป็นผู้เยาว์ต่อไป แม้ว่าเขาจะยังเยาว์ก็ตาม นี่คือการแบกรับสวมมงกุฎเทพและรับน้ำหนักของมัน
โจวทงแต่ต้องทนไปจนถึงตอนนั้น
“ให้เขาตบจนพอใจ เขาไม่ได้ฆ่าคนเสียหน่อย”
มีคนมากมายในโลกที่ต้องการให้โจวทงตาย
มีขุนนางใหญ่มากมายในคณะผู้ปกครองใหม่ จงซานอ๋องและอ๋องอีกหลายองค์ล้วนต้องการแล่เนื้อเถือหนังเขา แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไร
เฉินฉางเซิงสามารถใช้วิธีมากมายเพื่อแสดงท่าทีต่อความไร้ยางอายของโจวทง สามารถเปลี่ยนวิธีที่ใช้ตบหน้าเขา แต่ก็ไม่อาจฆ่าเขา
ดังที่เคยกล่าวหลายครั้งก่อนหน้านี้ โจวทงคือตัวแทนของคำสัญญาที่ซางสิงโจวมีต่อโลกนี้
ผู้ใต้บังคับบัญชายังคงไม่สบายใจอยู่บ้าง “แล้วงานศพที่จวนเซวียจัดขึ้นเล่า”
“จัดงานศพ? ข้าว่ามันเหมือนกับการขุดหลุมมากกว่า” โจวทงหัวเราะ จากนั้นก็กล่าวกับผู้ใต้บังคับบัญชา “ไม่สำคัญหรอกว่าลานบ้านจะถูกสร้างใหม่จนเหมือนเดิมหรือไม่ แต่ข้าต้องการให้มีต้นไห่ถังที่นี่ เหมือนกับต้นไห่ถังเมื่อก่อนหน้านี้ จำไว้ว่าขุดหลุมให้ลึก ต้นไม้จะได้งอกงาม”
สำหรับลานบ้านเล็กๆ ในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งแห่งนี้ ต้นไห่ถังมีความสำคัญมาก
มีเป้าหมายเดียวกับที่เขาทำกับโลกนี้
พวกมันล้วนเป็นสัญลักษณ์
……
……
การสร้างคุกโจวขึ้นใหม่เป็นโครงการที่มีปัญหาอย่างมาก กรมโยธาธิการและที่ว่าการจิงตูได้ส่งแรงงานและช่างฝีมือชั้นยอดมามากมาย
การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น ในเวลาแค่สองวัน โครงสร้างก็ถูกสร้างเสร็จแล้ว แต่เวลาก็ยังกดดันอย่างมาก แรงงานยังต้องทำงานอย่างเหนื่อยยากแม้ว่าจะค่ำมืดแล้วก็ตาม
หลุมสำหรับต้นไม้ถูกขุนที่ฐานของกำแพงลานบ้าน หลุมลึกอย่างยิ่งเพื่อให้แน่ใจว่าต้นไห่ถังชนิดใดก็สามารถเติบโตได้เป็นอย่างดีข้างในนั้น
ในยามที่ความมืดลึกล้ำที่สุด เหล่าแรงงานและช่างฝีมือก็ได้พักในที่สุด
ไม่มีใครสังเกตร่างที่ออกมาจากกำแพงของลานบ้านและกระโดดลงไปในหลุม
เสียงอ่อนนุ่มราวกับมีดที่ตัดลงไปในก้อนเต้าหู้ดังออกมาจากในหลุม
ประกายแสงเย็นเยียบจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากนิ้วมือของร่างนั้น แต่เห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่อาวุธ
ผนังดินของหลุมนั้นเหมือนกับเต้าหู้ ส่งเสียงเบาๆ ยามที่ถูกตัด
แล้วร่างนั้นก็หายไป
.……
……
.……
……
จวนเซวียจัดงานศพ
โถงพิธีศพอยู่ภายในจวน ไม่อาจมองเห็นได้จากถนน มีแต่ธงขาวผืนหนึ่ง นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน
ไม่มีเสียงร้องไห้คร่ำควรญหรือดนตรี ช่างเยือกเย็นเปลี่ยวร้างอย่างที่สุด
ไม่มีเสียงดนตรีเพราะไม่มีนักดนตรีคนใดกล้ามาทำงานที่จวนเซวีย
ไม่มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญเพราะไม่มีแขกมาแสดงความเคารพ ดังนั้นไม่ว่าจริงใจหรือแสร้งทำ ผู้คนในจวนก็ไม่อาจร้องไห้เศร้าโศกไปได้ตลอดกาล
นี่เป็นภาพที่คนมากมายคาดเดาเอาไว้แล้ว
ศพที่เหลือของเซวียสิ่งชวนถูกเฉินฉางเซิงฝังไปแล้ว
งานศพในจวนเซวียย่อมมีความหมายต่างไปเช่นกัน
บางคนถึงกับเชื่อว่านี่เป็นการแข่งขันระหว่างราชสำนักกับนิกายหลวง ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ ซางสิงโจวกับเฉินฉางเซิง
หากมองผ่านงานศพนี้ก็จะเห็นได้ว่าลมในจิงตู หรือบางทีอาจทั่วทั้งต้าลู่ กำลังพัดไปทางใด
จากบางมุมมอง ใครก็ตามที่มาเคารพศพเซวียสิ่งชวนก็เหมือนเคาพรศพจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
มีบางคนที่ยังภักดีต่อการปกครองของเทียนไห่ แต่จะมีใครกล้าแสดงออกมา
ในโถงพิธีศพอันเย็นเยียบ พ่อบ้านมองไปยังเซวียฮูหยินและกล่าวอย่างเสียใจ “ดูเหมือน…ไม่มีใครมาแล้ว”
อย่าว่าแต่พวกขุนนางในราชสำนัก แม้แต่แม่ทัพนายกองในกองทัพ เพื่อนเก่าเหล่านั้น หรือแม้แต่พระราชวังหลีก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอันใด
เว้นเพียงแค่ราชันย์แห่งหลิงไห่กับนักพรตซื่อหยวนที่มาในตอนเช้าตรู่เพื่อแสดงความเคารพ
สองผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวงอันที่จริงแล้วมีความสัมพันธ์กับเซวียสิ่งชวนค่อนข้างธรรมดา แต่ทุกคนรู้ว่าพวกเขาเป็นเหมือนเซวียสิ่งชวน เป็นสนับสนุนผู้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่อย่างแข็งขัน
เซวียฮูหยินมองไปยังประตูจวนที่เปลี่ยวร้างและตอบอย่างใจเย็น “ต้องมีคนที่อยากมา ถึงแม้ว่าจะไม่สะดวกนักที่พวกเขาจะมาได้ อย่างน้อยเราก็ต้องรอ”
ใช่แล้ว มีคนมากมายในจิงตูที่อยากมาแสดงความเคารพต่อเซวียสิ่งชวน ด้วยมิตรภาพที่มีกับเซวียสิ่งชวน หากพวกเขาไม่มาก็ไม่สมเหตุผลอย่างมาก
แต่ด้วยเหตุผลมากมาย พวกเขาไม่กล้ามา จึงถูกบีบให้ตกอยู่ในสถาพที่ยากลำบาก
เช่นที่โจวทงพูดไว้ จวนเซวียจัดงานศพก็เหมือนกับขุดหลุมให้คนพวกนั้น
พวกเขาจะโดดลงไปหรือไม่
เวลาผ่านไปช้าๆ
ดวงตะวันค่อยๆ เคลื่อนผ่านท้องฟ้า
เวลานั้นก็มาถึง
จวนเซวียก็ยังคงเปลี่ยวร้าง ยังไม่มีใครมา