ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 25 ดาบมีเต๋า
ข่าวที่หวังผ้ออาจมาจิงตูกระจายไปอย่างรวดเร็ว ก่อความตกตะลึงมากมาย
หลังจากซูหลีจากไป หวังผ้อก็กลายเป็นต้นแบบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นเยาว์ในต้าลู่
เขาไม่ใช่คนที่มีความมั่นใจและใช้ชีวิตสบายๆ อย่างซูหลี ไม่ได้มีกิริยางดงามอย่างซูหลี แต่การปลีกตัวและวางตัวเรียบเฉยก็ทำให้หลายคนนับถือ กระนั้นก็ตาม เขาคล้ายกับซูหลีในเรื่องที่เป็นอัจฉริยะด้านการบำเพ็ญเพียรซึ่งยากจะพบเห็นได้ในรอบร้อยปี เขาเคยกดดันให้ย่ำหิมะเหมยกำจาย สวินเหมย กักตัวอยู่ในสุสานเทียนซูและไม่เคยเปิดโอกาสให้ฮว่าเจี่ยเซียวจางกับเหลียงหวังซุนได้ก้าวข้ามเขาไป มียอดฝีมือมากมายใต้ขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างเซวียสิ่งชวน แต่ก็เป็นเขาที่จัดอยู่อันดับหนึ่งในประกาศเซียวเหยา ซึ่งเป็นการประกาศต่อสาธารณชนว่าเขาคือผู้แข็งแกร่งที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกับซูหลี เขามีความสอดคล้องกับนิยามวีรบุรุษในคติของคนทั่วไปมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น การกระทำของเขาท่ามกลางสายฝนในเมืองสวินหยาง
ที่สำคัญที่สุด เขามีกลิ่นอายความเป็นตำนานที่หนาแน่น ในฐานะทายาทคนเดียวของตระกูลที่ล่มสลาย เติบโตขึ้นในสภาพที่เลวร้ายที่สุด ลำบากยากเข็ญกว่าผู้มีพรสวรรค์ด้านการบำเพ็ญเพียรคนอื่นมากนัก ในตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย เขารับบทเป็นนักบัญชีอยู่หลายปี จากนั้นก็เริ่มท่องโลก ในเวลาสิบกว่าปี เขาได้ทำให้สำนักต้นไหวในแดนใต้กลายเป็นผู้ทรงอำนาจ
เช่นเดียวกับซูม่ออวี๋ คำถามสำคัญที่สุดที่มีหลังจากได้รู้ข่าวนี้ก็คือ ทำไมเขาถึงมายังจิงตูและคิดจะทำอะไรกันแน่
เรื่องราวของเทียนเหลียงหวังผ้อเป็นที่รู้กันไปทั่วต้าลู่ ในฐานะทายาทคนสุดท้ายของตระกูลหวัง เขาเลือกใช้ชื่อหวังผ้อ ความหมายของชื่อนี้เป็นที่รู้กันโดยไม่ต้องถาม บางทีนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ราชสำนักระมัดระวังเรื่องเขาอยู่เสมอ พยายามสะกดเขาเอาไว้เรื่อยมา เขาเองก็รู้เรื่องนี้เช่นกันดังนั้นจึงแทบไม่เคยปรากฏตัวในจิงตู
การมาจิงตูของหวังผ้อจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่
ในอดีตต่อให้เขามาจิงตู เขาก็มาอย่างไร้เสียงและเก็บเนื้อเก็บตัวอย่างมาก เฉกเช่นคืนนั้นที่สวินเหมยเสียชีวิต
ตอนนี้สถานการณ์และเวลาล้วนต่างไป เขาต้องการเข้าสู่จิงตูอย่างเงียบๆ แต่ก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้
คืนนั้นในสุสานเทียนซู จูลั่วได้ฝืนตัวเองโจมตีทั้งที่บาดเจ็บหนักเพื่อทำการใหญ่แห่งโลกหล้า คิดกบฏต่อเทียนไห่ ต้องจ่ายด้วยความตายวิญญาณดับสูญ เขาทำทั้งหมดเพื่อคำสัญญาของซางสิงโจวที่เป็นตัวแทนผู้ปกครองใหม่ ไม่ปล่อยให้ตระกูลหวังรุ่งเรืองได้อีกครั้ง
ตระกูลหวังที่ว่าย่อมหมายถึงหวังผ้อ
หากหวังผ้อยังอยู่ในแดนใต้ ปกป้องสำนักต้นไหวอยู่เงียบๆ เมื่อมีสำนักกระบี่หลีซานกับขุมกำลังอื่นๆ คุ้มครอง ราชสำนักก็ไม่อาจแตะต้องเขาได้ เพราะมีการบรรจบกันของเหนือใต้อยู่เบื้องหลังดังนั้นต้องรักษาความกลมเกลียวเอาไว้เป็นฉากหน้าอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม หากเขาออกจากสำนักต้นไหว เข้าสู่จิงตูตามลำพัง ราชสำนักคงไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไป
ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของราชสำนักต้าโจว
หากเขาปรากฏตัวในจิงตู ราชสำนักก็มีวิธีมากมายมาฆ่าเขา
ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องการมา
เฉินฉางเซิงเข้าใจ เพราะเขาเคยผ่านลมฝนร่วมกับหวังผ้อมาแล้วในเมืองสวินหยาง
เขาชื่นชมยอดฝีมือผู้นี้อย่างลึกล้ำ สองปีที่ผ่านมา เขาได้นำสิ่งที่เรียนรู้จากหวังผ้อมาเป็นพฤติกรรมของตัวเอง เรื่องนี้เคยทำให้ถังซานสือลิ่วเป็นห่วงอย่างมาก
นอกจากเฉินฉางเซิง ยังมีอีกคนหนึ่งที่เข้าใจดีว่าทำไมหวังผ้อถึงมา
ก็คือตัวโจวทงเอง
เมื่อเขาได้รู้ข่าวนี้ สิ่งแรกที่เขาทำก็คือเข้าวังขอพบซางสิงโจว
ไม่นานหลังจากเขาเข้าวัง จิงตูก็ตกอยู่ใต้ความตึงเครียดอีกครั้ง จากกองทัพจนถึงกรมราชทัณฑ์ จากกรมอาญาถึงกองทหารรักษาประตูเมือง ยอดฝีมือและมือสังหารได้กวาดผ่านท้องถนนในจิงตู
เฉินฉางเซิงก็เป็นกังวลอยู่บ้าง หลังจากคิดอยู่คืนหนึ่ง เขาก็อาศัยโอกาสนี้ให้คนของนิกายหลวงช่วยค้นหาแต่ก็ไม่ได้ผลลัพธ์อันใด
การค้นหาของราชสำนักก็ไร้ผลเช่นกัน
ไม่มีใครหาหวังผ้อพบ
เขาหายตัวไป
……
……
เวลาผ่านไปช้าๆ ฤดูใบไม้ร่วงก็เริ่มเข้าที่
งานฉลองการบรรจบกันของเหนือใต้กำลังจะเกิดขึ้น ราชสำนักต้าโตวได้เตรียมการไว้มากมาย อาคารชื่อดังในจิงตูล้วนได้รับการบำรุงรักษาจนเหมือนใหม่ แม้แต่สุสานเทียนซูก็ถูกทำความสะอาด
บรรยากาศในจิงตูยังไม่ผ่อนคลายและสดใสอย่างเต็มที่ คลื่นจากการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซูยังไม่จางหาย สำนักฝึกหลวงยังปฏิเสธที่จะส่งมอบร่างจักรพรรดินี อีกทั้งยังหาตัวหวังผ้อไม่พบ
ในตอนนี้สำนักฝึกหลวงได้รับจดหมายสองฉบับ ฉบับหนึ่งมาจากยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ สวีโหย่วหรงเขียนด้วยตัวเอง
นางกลับไปยังสถานศึกษาหนานซี พูดตามเหตุผล นางควรเรียกตัวศิษย์สถานศึกษาหนานซีกลับ ทว่านางกลับบอกในจดหมายว่านางจะให้ศิษย์สิบแปดคนอยู่กับเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงรู้ดีว่าศิษย์หญิงเหล่านี้เข้าถึงจิตวิญญาณของค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี หากพวกเขาแสดงกำลังเต็มที่ เฉินฉางเซิงย่อมปลอดภัยตราบใดที่ไม่มียอดฝีมือขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์หรือกองทัพใหญ่มาโจมตี
จดหมายอีกฉบับมาจากเวิ่นสุ่ย ถังซานสือลิ่วเป็นคนเขียน
นอกจากเฉินฉางเซิง ไม่มีใครรู้ว่าเนื้อหาในจดหมายคืออะไร แม้แต่ซูม่ออวี๋
ซูม่ออวี๋กับอาจารย์นักเรียนสำนักฝึกหลวงรู้แค่ว่าเฉินฉางเซิงอ่านจดหมายนั้นแล้ว ก็หดหู่อย่างมากและนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
ใบแปะก๊วยสีเหลืองทองปกคลุมพื้นที่สะพานอุดรใหม่
วังหลวงที่อยู่ใกล้ๆ มีแสงโคมสาดส่องออกมา เมื่อแสงส่องต้องพื้นดิน ก็ดูเหมือนว่าอาทิตย์อัสดงได้กลับคืนมา
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ใต้ต้นไม้มองดูภาพนี้และคิดในใจ อาทิตย์อัสดงไม่อาจกลับมาหลังลาลับเทือกเขา ดูเหมือนเพื่อนที่จากไปก็ไม่มีโอกาสจะกลับมา
ทั่วโลกเหมือนจะถูกทาไว้ด้วยสีทองอร่าม รังสรรค์สีบ่อน้ำให้ดูสงบลึกล้ำยิ่งกว่าเดิม
เมื่อแสงจากวังหลวงหม่นมัวไปชั่วคราว ร่างเฉินฉางเซิงก็หายไปจากต้นไม้ สายลมวนรอบขอบบ่อ ใบไม้สีทองถูกลมพัดม้วนขึ้น กลายเป็นภาพอันงดงาม
ใบแปะก๊วยนอกเมืองพระราชวังเป็นภาพอันโด่งดังของจิงตู
น้อยคนที่รู้ว่านอกจิงตูมีอารามนักพรตชื่ออารามถานเจ้อ ที่มีภาพคล้ายคลึงกันบางทีอาจงดงามยิ่งกว่า
ที่ใจกลางลานด้านหลังของอารามมีต้นแปะก๊วยเก่าแก่อยู่ต้นหนึ่ง ว่ากันว่าจักรพรรดิไท่จงทรงปลูกไว้ด้วยตัวเอง ในฤดูใบไม้ร่วงต้นไม้เก่าโบราณนี้ปกคลุมไปด้วยใบสีทอง ประดุจเมฆสีทองหรือดอกไม้ไฟ ใต้ต้นไม้มีใบ้ไม้กองสูง เมฆสีทองตกลงสู่พื้นพิภพ หากมองจากระยะไกลก็ดูเหมือนกับน้ำตกสีทอง
ลึกลงไปใต้ใบแปะก๊วยสีทองมีโต๊ะหินตัวหนึ่ง ข้างโต๊ะหินมีม้านั่งหิน บนม้านั่งหินมีคนนั่งอยู่ ไม่ได้ดื่มชาแต่กำลังทำความเข้าใจดาบ
ทั่วต้าลู่รู้ว่าเขามายังจิงตูและคนนับไม่ถ้วนกำลังหาเขาไปทั่วแต่ก็ไม่พบ นี่เป็นเพราะถึงแม้เขาจะมายังจิงตู แต่เขายังไม่ได้เข้าไปในเมือง
หากมีคนรู้เรื่องนี้ พวกเขาต้องตกตะลึงเป็นแน่ เพราะนี่ต่างไปจากพฤติกรรมที่ผ่านมาของเขา
ทุกคนเชื่อว่าเมื่อเขามายังจิงตู ก็ต้องเข้าสู่เมือง เพราะวิถีดาบของเขานั้น เที่ยงตรงและแท้จริง
โจวทงก็คิดเช่นนี้ แต่กลายเป็นคิดผิดไป
หวังผ้ออยู่ในอารามถานเจ้อมาสิบเอ็ดวันแล้ว
เขาใช้เวลาแต่ละวันนั่งอยู่เงียบๆ ใต้ต้นแปะก๊วย
กำลังทำความเข้าใจดาบ ไม่ใช่ฝึกดาบ ดาบเหล็กยังอยู่ในฝัก ฝักดาบวางพาดอยู่บนเข่า
ต้นไม้เก่าแก่ยังคงผลัดใบร่วงลงคลุมดิน เป็นภาพอันงดงามเจิดจ้า มากจนยากจะจินตนาการได้ว่าอะไรอยู่ใต้ใบไม้พวกนั้น
ใบไม้สีทองย่อมตกลงบนร่างของเขาด้วย สะสมอยู่บนเสื้อผ้าและค่อยๆ ปกคลุมฝักดาบ มากจนยากจะจินตนาการได้ถึงคมดาบในฝัก
เต๋าในดาบของหวังผ้อเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยในโลกใบไม้สีทองนี้