ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 27 สายลมมีข้อความ
ผ่านไปครู่หนึ่งเถี่ยซู่ก็ลืมตาขึ้น ประกายความดุร้ายฉายขึ้นในดวงตา จากนั้นก็เป็นประกายความสงสัย เขาเหมือนจะอยู่ในอารมณ์อันซับซ้อน
ใต้ต้นไม้เก่าแก่ ท่ามกลางใบไม้เหลือง บนม้านั่งหิน เขาสัมผัสได้ถึงไอปราณที่หวังผ้อทิ้งไว้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาต้องประหลาดใจที่วิถีดาบของหวังผ้อลึกล้ำยิ่งกว่าเดิมมาก
ด้วยระดับการบำเพ็ญตนของหวังผ้อ การจะก้าวหน้าแม้สักก้าวหนึ่งเป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างยิ่ง ทว่าคนผู้นี้กลับสามารถก้าวหน้าได้มากมายในเวลาอันสั้น… ในเมืองสวินหยางตอนที่หวังผ้อเผชิญหน้ากับจูลั่ว แม้ว่าดาบของเขาจะทรงพลัง เขาก็ยังไม่มีโอกาสแม้เพียงครั้งเดียว ตอนนี้หลังจากทำความเข้าใจอยู่ในอารามถานเจ้อเงียบๆ อยู่หลายวัน สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
หากหวังผ้อยังคงก้าวหน้าต่อไป ไม่มีใครบอกได้ว่าเขาจะข้ามขั้นเมื่อใด
นี่เป็นครั้งแรกที่เถี่ยซู่รู้สึกกดดัน
จากนั้นจิตสังหารของเขาก็เข้มข้นขึ้น
ไม่ว่าเขาหรือราชสำนักต่างก็ไม่อาจปล่อยให้ถึงวันที่วิถีดาบของหวังผ้อมาถึงจุดสมบูรณ์ได้
เขาลุกขึ้นจากม้านั่งหิน มองดูอารามถานเจ้อ สัมผัสไอปราณที่ไหลอยู่ระหว่างฟ้าดิน
มีคนอยู่ในอารามซึ่งมีระดับการบำเพ็ญเพียรล้ำลึก ห่างจากระดับของเขาเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น
เขาเริ่มเดินไปที่นั่น ใบไม้เปียกชุ่มถูกบดขยี้อยู่ใต้รองเท้าจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย ดูเหมือนกับดอกเก๊กฮวย
ลมฤดูใบไม้ร่วงโชยผ่านม่านฝน พัดประตูอารามถานเจ้อ เขายังอยู่ห่างจากธรณีประตูอยู่สิบกว่าจั้ง
ก่อนที่ลมฤดูใบไม้ร่วงอันเย็นเยียบจะพัดกระพือ ก็ถูกสายลมแผ่วเบาสองสายหยุดไว้ สายลมทั้งสองเกิดจากแขนเสื้อคู่หนึ่ง
คนในอารามไม่ใช่หวังผ้อ ทว่าเป็นเหมาชิวอวี่
ประตูรั้วที่ล้อมอารามเอาไว้ถูกผลักเปิด และนักพรตไป๋สือก็เดินออกมาท่ามกลางสายฝน
ราชันย์แห่งหลิงไห่กับนักพรตซื่อหยวนก็ปรากฏออกมาจากทางตะวันออกและตะวันตก
ในฝนฤดูใบไม้ร่วง ร่างมุขนายกหลายคนปรากฏอยู่ในป่า
สี่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายหลวง แต่ละคนถือของวิเศษล้ำค่า นำมุขนายกที่มีการบำเพ็ญเพียรล้ำลึกจำนวนหนึ่งล้อมอารามถานเจ้อเอาไว้อย่างแน่นหนา
เป็นขุมกำลังที่น่าประทับใจอย่างแท้จริง
การสังหารยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องอาศัยขุมกำลังเช่นนี้
เถี่ยซู่จ้องมองเหมาชิวอวี่ ดวงตาหรี่ลงช้าๆ จิตสังหารไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย ทว่ากลับน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม
พระราชวังหลีเคลื่อนไหวแล้วจริงๆ พวกเขาต้องการปกป้องหวังผ้อหรือว่าฉวยโอกาสนี้สังหารเขากันแน่
เขารู้ดีว่าเป็นอย่างหลัง เช่นนั้นต่อให้เขาหนีเอาชีวิตรอดไปได้ในวันนี้ ก็ยังต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิ่ว
เขายื่นมือออกไปในสายฝน ปล่อยให้น้ำเย็นชะล้างอย่างไม่รู้จบ
เขาจ้องมองเหมาชิวอวี่เดินออกจากอารามช้าๆ และถามอย่างไม่ยินดียินร้าย “นี่เป็นคำสั่งใต้เท้าสังฆราชเช่นนั้นหรือ”
เหมาชิวอวี่ไม่ตอบคำถามนี้โดยตรง แต่เขากลับมองไกลออกไป
เถี่ยซู่สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ เป็นเหตุให้เขาถามคำถามนั้น
ในภูเขาที่ห่างไกล สีแดงเหลืองของฤดูใบไม้ร่วงได้หม่นหมองลงเพราะถูกสายฝนเย็นเยียบอาบอยู่เป็นเวลานาน
ราชรถคันหนึ่งได้ปรากฏที่ขอบหน้าผาเมื่อใดก็ไม่ทราบ
เซียงอ๋องมาด้วยตัวเอง
แผนสังหารหวังผ้อของราชสำนักได้กลายเป็นแผนล้อมสังหารเถี่ยซู่ของพระราชวังหลี
หากราชรถไม่ปรากฏบนหน้าผา หากไม่มีเสียงฝีเท้าม้าดังปานฟ้าร้องของกองทัพใหญ่อยู่ด้านหลังภูเขา
ไม่ว่าใครเป็นเป้าหมายของแผนการนี้ก็คงถูกเปิดเผยออกมาแล้ว
“ใต้เท้าสังฆราชต้องการให้ข้าถามเจ้าคำถามหนึ่ง” เหมาชิวอวี่มองไปที่เถี่ยซู่แล้วถาม “พวกเจ้าทั้งหมดลืมคำสาบานที่ได้ให้ไว้ต่อท้องฟ้าพร่างดาวแล้วหรือ”
หลายปีก่อน สังฆราชได้นำเหล่ายอดฝีมือขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์กล่าวคำสาบานต่อท้องฟ้าพร่างดาว
เนื้อหาคำสาบานก็คือ ประโยชน์ของมนุษยชาติมาก่อนสิ่งอื่นใด ดังนั้นจึงห้ามลงมือต่อผู้บำเพ็ญเพียรที่จะเป็นอนาคตและความหวังของมนุษยชาติโดยเด็ดขาด
หวังผ้อย่อมเป็นคนที่อยู่อันดับแรกในรายชื่อนี้
ย้อนไปในเมืองสวินหยาง จูลั่วได้ใช้กระบี่กับเขา ก็นับว่าได้ผิดคำสาบานแล้ว แต่ก็ยังพอจะหาข้อแก้ตัวได้อยู่บ้าง
กระบี่ของเขาแทงใส่ซูหลี
แต่หวังผ้อเลือกที่จะยืนขวางอยู่หน้าซูหลีเอง
แต่วันนี้เล่า เถี่ยซู่มายังอารามถานเจ้อ นำฝนฤดูใบไม้ร่วงมาพร้อมกับเขา เห็นได้ชัดว่ามาเพื่อสังหารหวังผ้อ ดังนั้นจะมีข้อแก้ตัวหรือเหตุผลใดอีก
เขาสามารถตอบคำถามที่สังฆราชฝากเหมาชิวอวี่มาถามได้หรือไม่
เถี่ยซู่ไม่ตอบ
เหมาชิวอวี่กล่าว “เมื่อเจ้าไม่อาจตอบ ก็ไม่อาจแตะต้องหวังผ้อ”
สายตาเถี่ยซู่เย็นเยียบกว่าเดิม สายฝนชะล้างมือเขาจนขาวบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนกับดอกบัวขาวสองดอกในสายฝน
เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขาโกรธมาก
มนุษย์ไม่อาจอยู่ดีมีสุขร้อยวันโดยไม่เจ็บป่วย ดอกไม้ไม่อาจงดงามอยู่นานเป็นพันวัน
เขาเริ่มหัวเราะเย้ยหยัน
เวลาของสังฆราชใกล้หมดแล้ว
“สังฆราชต้องการให้ข้าบอกเจ้าอีกอย่างหนึ่ง…”
เหมาชิวอวี่ดูเหมือนจะรู้ว่าเถี่ยซู่กำลังคิดอะไรจึงกล่าวอย่างใจเย็น “หากว่าหลังจากท่านกลับคืนสู่ทะเลดวงดาวแล้ว เจ้ายังคิดจะลงมือกับหวังผ้อ พระราชวังหลีจะกำจัดตระกูลเจ้าให้สิ้นซาก”
หากบอกว่าพระราชวังหลีเป็นพรรคหนึ่ง ก็ย่อมเป็นพรรคที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก ด้วยว่าเป็นนิกายหลวง
ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนใดต่อต้านนิกายหลวงซึ่งหน้า
ไม่แม้แต่คนที่แข็งแกร่งอย่างเถี่ยซู่
ไม่แม้แต่คนที่เคยเป็นผู้นำของแปดมรสุม ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ที่ควบคุมองค์กรอันน่าหวาดหวั่นอย่างหอความลับสวรรค์
แน่นอนว่ายอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจต้านทานพระราชวังหลีได้ แต่พวกเขาก็ไม่ถูกสังหารได้ง่ายนัก ตราบใดที่ไม่ตกอยู่ในวงล้อมที่แน่นหนาเช่นในวันนี้
อย่างไรก็ตาม แม้จะบำเพ็ญเพียรด้วยเต๋าแห่งการปลีกวิเวก แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะสามารถอยู่เพียงคนเดียวได้อย่างแท้จริง
พวกเขายังมีครอบครัว ญาติ สหาย ศิษย์ร่วมสำนัก คนในตระกูลและเพื่อนร่วมรบ
หลังจากเหมาชิวอวี่ประกาศแล้ว อารามก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
‘กำจัดตระกูลเจ้าให้สิ้นซาก’
ประโยคนี้ก็เป็นเช่นเถี่ยซู่ ไม่โอนอ่อน เย็นชา ให้ความรู้สึกดุจโลหะ
เถี่ยซู่มองกลับไปที่เขาและกล่าว “พวกเจ้าควรจะรู้ดีว่าหวังผ้อมายังจิงตูเพื่อฆ่าคน”
สีหน้าเหมาชิวอวี่ไม่เปลี่ยนไป “หากเขาฆ่าคน เขาก็ทำผิดกฎหมายต้าโจว จะมีเจ้าหน้าที่ของราชสำนักลงโทษเขา”
หลายคนหันไปมองราชรถบนหน้าผาไกล
เซียงอ๋องไม่ออกมาจากราชรถ
เถี่ยซู่หัวเราะอย่างเย้ยหยัน
คำพูดของเหมาชิวอวี่เป็นตัวแทนจุดยืนของพระราชวังหลี
เป็นจุดยืนที่เย็นชาอย่างยิ่ง
“เขามาเพื่อฆ่าคนแต่พวกเจ้าไม่มีใครสน ข้ายังไม่ได้ฆ่าใครเลย ทำไมใต้เท้าสังฆราชถึงสนใจนัก”
“เพราะเจ้ามีเจตนา”
“นี่ไม่ยุติธรรม”
เหมาชิวอวี่ไม่ตอบคำถามเถี่ยซู่ แต่หันกายเดินออกจากภูเขาไป
ราชันย์แห่งหลิงไห่กับพวกก็ตามไป
สังฆราชไม่ได้ปรารถนาจะสังหารเถี่ยซู่จริงๆ
พระราชวังหลีแค่ต้องการแสดงอำนาจออกมา ดังเช่นตอนที่อยู่หน้าสำนักฝึกหลวง
ที่เรียกว่าคุ้มครองส่งก็คือใช้ดาบเบิกทาง ที่เรียกว่านำขบวนเรือก็คือใช้เรือแล่นนำทาง ไม่จำเป็นต้องชักดาบชนเรือก็ได้
ยามที่เถี่ยซู่มองคนของนิกายหลวงจากไปในสายฝนฤดูใบไม้ร่วง หางตาเขากระตุก
คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนมีอำนาจในนิกายหลวง ทว่าไม่มีใครเป็นคู่มือของเขา กระนั้นเขาก็ไม่กล้าลงมือกับพวกเขา
ไม่ยุติธรรมจริงๆ
เหมือนกับที่เขาได้พูดกับเซียวจางบนทางภูเขาก่อนหน้านี้
ต่อหน้าสังฆราชและนิกายหลวง เขามีสิทธิ์อะไรมาพูดเรื่องความยุติธรรม
……
……
ใบไม้เหลืองได้ร่วงหมดแล้วและความเย็นก็ลึกล้ำกว่าเดิม
ฤดูหนาวปีนี้เหมือนจะมาเยือนจิงตูเร็วกว่าปกติ ดูจากปฏิทิน นี่ยังเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง แต่หิมะก็ได้ตกลงมาบ้างแล้ว
ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณสะพานอุดรใหม่สัมผัสได้อย่างชัดเจนยิ่งกว่าคนอื่น พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในบ้าน ถูมือไปพลางสบถด่าอากาศเลวร้ายไปพลาง
ไม่มีใครรู้ว่าฤดูหนาวที่โหดร้ายนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับก้นบ่อ
ลมเย็นพัดออกมาจากบ่อน้ำอย่างต่อเนื่อง ส่งเสียงราวกับมีคนเป่าขลุ่ยหรือกำลังร่ำไห้ด้วยความปีติ