ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 29 ไม่พบกันอีก
แน่นอนว่าคนที่เข้าใจเท่านั้นจึงจะรู้สึกเศร้า
อย่างไรก็ตาม ที่เฉินฉางเซิงเศร้ามิใช่เพราะเขาเข้าใจ หากแต่เพราะการจากลาและยากที่จะได้พบกันใหม่
ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้กับความสัมพันธ์กับลั่วลั่ว หากองค์หญิงใหญ่มาเยือนจิงตู การมาพบเขาก็เป็นเรื่องเหมาะสม แต่นางก็ไม่มา
นี่คือท่าทีของเผ่าปีศาจ
“ฝ่าบาทเป็นสหายกับอาจารย์เจ้า”
จินอวี้ลวี่มองดูเขาและถอนหายใจ “ดังนั้นในตอนแรก ฝ่าบาทจึงไม่สนใจที่เจ้าสนิทสนมกับองค์หญิงลั่วลั่ว ถึงกับหวังให้ประสบความสำเร็จในอนาคต อย่างไรก็ตาม ฝ่าบาทคำนวณดูแล้ว ก็ไม่อาจคำนวณได้ว่าอาจารย์เจ้าจะมีความคิดอื่น หรือว่าเจ้าเอง…ก็มีความคิดอื่น”
เฉินฉางเซิงรักษาความเงียบเอาไว้ ไม่อธิบายเหตุผลของเขา
จินอวี้ลวี่กล่าวต่อ “แน่นอน ต่อให้อาจารย์เจ้ามีความคิดใหม่ ฝ่าบาทก็มีวิธีช่วยปกป้องตำแหน่งผู้สืบทอดสังฆราชของเจ้า”
คำพูดของนักปราชญ์แฝงไว้ซึ่งอำนาจไร้ขีดจำกัด
เฉินฉางเซิงคิดถึงคำพูดนี้
ซางสิงโจวอาจารย์ของเขาก็ย่อมเป็นนักปราชญ์เช่นกัน
แต่คำพูดของนักปราชญ์สองคนย่อมมีอำนาจมากว่าคำพูดนักปราชญ์คนเดียว
หากจักรพรรดิขาวยืนกรานจะสนับสนุนเขาร่วมกับการตัดสินใจอย่างเป็นทางการของสังฆราช แม้แต่ซางสิงโจวก็ไม่อาจต่อต้านได้
จักรพรรดิขาวจะสนับสนุนเขาหรือไม่ ก่อนวันนี้ปัญหานี้ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องพิจารณา
ทุกคนเชื่อว่านี่เป็นเรื่องถูกต้องและคาดหวังได้
เฉินฉางเซิงเป็นอาจารย์ของลั่วลั่ว มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเผ่าปีศาจ หากเขาขึ้นครองตำแหน่งสังฆราช ไม่ว่าแง่ใดก็เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับเผ่าปีศาจ
ตอนนี้ดูเหมือนว่าท่าทีจักรพรรดิขาวจะเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
“การแสดงออกของเจ้านั้นไม่เป็นผู้ใหญ่เกินไป ฝ่าบาทเป็นกังวลเรื่องนี้อย่างมาก”
จินอวี้ลวี่อธิบาย “ต่อให้พวกเราสนับสนุนเจ้า ช่วยให้เจ้าเป็นประมุขพระราชวังหลี แต่เจ้ามีความสามารถที่จะนั่งบนบัลลังก์นั้นได้อย่างมั่นคงหรือไม่ หากไม่ แล้วทำไมเราต้องสนับสนุนเจ้าด้วย”
สมองเฉินฉางเซิงรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง
รู้สึกเหมือนว่าเขาจะได้ยินคำว่า ‘เป็นผู้ใหญ่’ อยู่บ่อยครั้งช่วงไม่นานมานี้
ตอนอายุสิบสี่ยามที่เข้าสู่จิงตู เขามีความสุขุม มั่นคงเกินกว่าอายุ ยากนักที่คนจะรู้สึกว่าเขาขาดคุณสมบัตินี้
ตอนนี้กลับดูเหมือนว่าจะยังไม่พอ อย่างน้อยก็ไม่พอที่จะเป็นคนใหญ่คนโต
แต่เป็นผู้ใหญ่หมายความว่าอย่างไร
เฉินฉางเซิงเข้าใจว่าในสายตาของคนจำนวนมาก ในสายตาจักรพรรดิขาว เขาได้ทำเรื่องที่ไม่เป็นผู้ใหญ่ไปมากมาย
ดังที่อาจารย์อาสังฆราชเคยบอกเขาด้วยตัวเอง ตราบใดที่เขายอมรับ ยอมแพ้ ก้มหัวลง อาจารย์ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่ยอมรับเขากลับ
ต่อให้เขาไม่ทำ เขาก็ควรทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่านี้
อย่างเช่นในหลายวันที่ผ่านนี้ เขาไม่ควรอยู่ในสำนักฝึกหลวง แต่ควรอยู่ในพระราชวังหลี ใช้เวลาทำความเข้าใจเรื่องต่างๆ ของนิกายหลวง
อย่างเช่น เมื่อหลายวันก่อน เขาไม่ควรออกไปนอกประตูเมือง ไปยังทุ่งข้างถนนหลวงเพื่อฝังศพเซวียสิ่งชวนหรือไปจวนเซวียเพื่อแสดงความเคารพ
อย่างเช่น วันก่อนตอนที่อยู่ในสำนักฝึกหลวง เขาปฏิเสธจะรับราชโองการ กลับใช้กระบี่นับพันเล่มฟันใส่หลินกงกงจนชุ่มไปด้วยเลือด
อย่างเช่น วันนั้นตอนที่เขาแบกร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ลงมาจากสุสานเทียนซู เดินผ่านอาจารย์ไปราวกับเป็นคนแปลกหน้า
เช่นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาไปร่วมต้อนรับการมาถึงของคณะทูตจากเมืองไป๋ตี้
เขาเชื่อว่ามีคนที่จะสนับสนุนเขาอยู่เสมอ ต่อให้มนุษย์ไม่ทำ อย่างน้อยเผ่าปีศาจก็จะทำ
ตอนนี้ดูเหมือนว่าความเข้าใจเช่นนี้จะน่าขันอย่างแท้จริง
เขามองไปนอกหน้าต่าง ดูเหมือนว่าแม้แต่ต้นไทรใหญ่ริมทะเลสาบก็ไม่อาจรักษาความเขียวชอุ่มเอาไว้ได้ ดูเย็นเยียบและซึมเศร้ามากขึ้น ทะเลสาบปกคลุมไปด้วยแผ่นน้ำแข็งบางๆ หญ้าที่เหี่ยวเฉามีน้ำค้างแข็งบางๆ เคลือบเอาไว้
ใช่แล้ว เรื่องพวกนี้ล้วนไม่เป็นผู้ใหญ่ อ่อนต่อโลก เอาแต่ใจ หุนหันพลันแล่น น่าสมเพช เป็นฝันกลางวันที่น่าขัน
แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังอบอุ่นกว่าโลกที่อ้างว้าง เย็นชา ไม่ใช่หรือ
……
……
องค์หญิงใหญ่ไปยังวังหลวง จากนั้นก็ไปพระราชวังหลี พบกับซางและอิ๋น
ไม่มีใครรู้ว่านักปราชญ์ทั้งสามพูดคุยอะไรกัน ไม่มีใครรู้ว่าเผ่าปีศาจบรรลุข้อตกลงอันใดกับราชสำนักและนิกายหลวง
ผู้คนรู้แค่ว่านางไม่ได้ไปสำนักฝึกหลวง หรือเชิญคนในสำนักฝึกหลวงไปยังตำหนักที่นางพัก
การที่นางไม่ไปพบเฉินฉางเซิงทำให้คนจำนวนมากประหลาดใจ แต่ก็ยังทำให้สถานการณ์ในจิงตูชัดเจนยิ่งขึ้น
คณะทูตจากแดนใต้ก็มาถึงเช่นกัน พรรคฉางเซิง ตระกูลชิวซานและตระกูลใหญ่อื่นๆ ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้แต่สำนักต้นไหวต่างก็ส่งตัวแทนมาทั้งหมด
ทุกคนเห็นได้ว่าลมจะพัดไปทางใดในจิงตู ดังนั้นจึงไม่มีใครในคณะทูตไปยังสำนักฝึกหลวง มีท่าทีเช่นเดียวกับองค์หญิงใหญ่
เพราะมันอ่อนไหวเกินไป และเพราะว่าพวกเขาอยากจะแสดงท่าทีต่อราชสำนัก นอกจากนี้ในฐานะชาวใต้ พวกเขาไม่มีความประทับใจอันดีกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ดังนั้นจึงไม่สนับสนุนเฉินฉางเซิงเพื่อนาง
ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์้เพียงส่งจดหมายและของเล็กน้อยให้ศิษย์สถานศึกษาหนานซีที่อยู่ในสำนักฝึกหลวง
ในยามสนธยาวันหนึ่ง มีใครบางคนมาเคาะประตูสำนักฝึกหลวง มีแขกคนหนึ่งมาเยี่ยมเยือน
แขกคนนั้นก็คือกวนเฟยไป๋ ศิษย์สำนักกระบี่หลีซาน
คนของสำนักฝึกหลวงกับสำนักกระบี่หลีซานคุ้นเคยกันดีในช่วงสามปีที่ผ่านมา เรื่องราวระหว่างพวกเขาค่อนข้างซับซ้อน เป็นทั้งเพื่อนและศัตรู แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังรู้จักกัน
เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็มีจิตใจที่เชื่อมโยงอย่างแท้จริง
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ศิษย์สำนักกระบี่หลีซานก้าวเข้าสู่สำนักฝึกหลวง
กวนเฟยไป๋เดินตามหลังซูม่ออวี๋ เหมือนจะสนใจกับวิวทิวทัศน์ของสำนักฝึกหลวงเป็นอย่างมาก กระทั่งเขาเห็นเหล่าศิษย์น้องหญิงจากสถานศึกษาหนานซี เขาถึงละสายตากลับมา
เฉินฉางเซิงพบกับเขาในหอตำรา
เขาคือว่าที่สังฆราช แม้ว่ากวนเฟยไป๋เป็นสมาชิกของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ เป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์ของหลีซาน ทว่าความแตกต่างทางสถานะของพวกเขาก็ยังกว้างมาก บทสนทนาระหว่างคนทั้งสองไม่ใช่การสนทนาฉันมิตร หรือการพบกันของสหาย แน่นอนว่าไม่ได้มีความเป็นศัตรูเปี่ยมไปด้วยเจตจำนงที่แข็งแกร่งและรวดเร็วเช่นในอดีต เป็นเพียงการสนทนาธรรมดา
บทสนทนาก็เรียบง่ายอย่างมาก
“เจ้าเป็นคนเดียวที่หลีซานส่งมาอย่างนั้นหรือ”
“ก็แค่มาเป็นพิธี จึงไม่จำเป็นต้องส่งคนมาเยอะ”
“ทำไมเป็นเจ้า”
“ใครมาก็เหมือนกัน”
“เช่นนั้นส่งชีเจียนมาไม่ดีกว่าหรือ”
“เจ้าไม่รู้สึกละอายบ้างหรือ”
ซูม่ออวี๋แทรกขึ้นอย่างรวดเร็ว “ระวังคำพูดด้วย”
กวนเฟยไป๋มองเฉินฉางเซิงอย่างโกรธเกรี้ยวอยู่บ้างแล้วถาม “ถังถังอยู่ไหน”
“เจ้าถามหาเขาทำไม”
“ก็ต้องสู้กัน”
“ประลองกระบี่ฟังดูดีกว่านะ”
“แล้วแต่เจ้าเถอะ”
“เขาไม่อยู่”
“เขาไปไหน”
“กลับบ้าน”
“…เจ๋อซิ่วล่ะ”
“…ยังสู้กันหรือ”
“…ประลองกระบี่”
“เขาไม่อยู่”
“ไปไหน”
“ไม่รู้”
ได้ยินคำตอบของเฉินฉางเซิง กวนเฟยไป๋ก็นิ่งเงียบไป
ตอนนี้เองที่เขาตระหนักว่าทั้งถังซานสือลิ่วและเจ๋อซิ่วล้วนไม่อยู่ที่สำนักฝึกหลวง
เขาพอจะจินตนาการได้ว่าเวลาในสำนักฝึกหลวงนี้จะเจ็บปวดเพียงไหนสำหรับเฉินฉางเซิง
“ถ้าอย่างนั้นข้าไปละ”
“ไม่ส่งนะ”
เมื่อคนที่เขามาหาไม่อยู่และเขาไม่อาจสู้อย่างที่ต้องการจะสู้ ทางที่ดีก็ไปเสียดีกว่า อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะไปกวนเฟยไป๋มีข้อเรียกร้อง
เขาบอกเฉินฉางเซิง “เจ้าไปส่งข้า”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้า “ไม่ไป”
กวนเฟยไป๋ยืนกราน “แค่ไปส่งที่หน้าประตูก็พอ”
เฉินฉางเซิงปฏิเสธ “ข้าไม่อยากไป”
หากเขาไปส่งกวนเฟยไป๋ที่ประตูสำนัก หลายคนต้องเห็น
นี่เป็นสิ่งที่กวนเฟยไป๋ต้องการ
เฉินฉางเซิงไม่ต้องการที่จะลากเขาหลีซานมาสู่ปลักน้ำนี้ ดังนั้นเขาจึงยืนกรานปฏิเสธ
กวนเฟยไป๋คิดแล้วกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าไปละ”
เฉินฉางเซิงกล่าว “ขอบคุณ”
กวนเฟยไป๋เดินไปที่ประตู โบกมือโดยไม่หันหน้ากลับมาตอนที่ตอบ “ไม่เป็นไร”
……
……
ถังถังกลับไปเวิ่นสุ่ย แต่เจ๋อซิ่วไปไหน ไม่มีใครรู้
ราชสำนักย่อมไม่ลืมลูกหมาป่าตัวนี้ สายลับของกรมอาญาไม่เคยหยุดการค้นหาเขา แต่พวกเขาก็ไม่พบอะไรเช่นเดียวกับการตามหาหวังผ้อ
ลานบ้านในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งถูกสร้างขึ้นใหม่ตามแบบที่เคยเป็น พื้นดินราบเรียบปกคลุมไปด้วยดินสดใหม่ รอให้ฤดูใบไม้ผลิมาถึงเพื่อปลูกหญ้า
ในยามที่ความมืดลึกล้ำที่สุด พื้นดินปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็ง มีเสียงครูดดังมาจากส่วนลึกของพื้นดิน ประดุจหนอนกัดกินใบหม่อน หรือไส้เดือนจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังขุดลึกลงไปอย่างเต็มกำลังก่อนที่ฤดูหนาวจะมาเยือน
นี่เป็นช่วงปลายสุดของฤดูใบไม้ร่วงก่อนที่ฤดูหนาวจะเริ่มขึ้น
หลังจากงานฉลองการบรรจบกันของเหนือใต้จบลงอย่างราบรื่น คณะทูตต่างๆ กลับไม่มีทีท่าว่าจะออกไปจากจิงตูอย่างผิดความคาดหมาย นี่เป็นเพราะอาการประชวรของสังฆราชแย่ลงทุกวัน
โจงทองมองต้นไห่ถังอยู่ในลานบ้าน พึมพำกับตัวเอง “ถึงเวลาแล้ว”
ถึงเวลาแล้วสำหรับบางคน
ในร้านน้ำชาตอนใต้ของเมือง นักบัญชีกล่าวลากับเถ้าแก่ ผู้จัดการไปจนถึงเสี่ยวเอ้อ แล้วเดินออกจากประตูไป
พวกเขารู้จักกันเป็นเวลาสั้นๆ แค่สิบกว่าวันกลับทำให้ทุกคนในร้านน้ำชาตั้งแต่เถ้าแก่จนถึงผู้จัดการยันเสี่ยวเอ้อทั่วไป รู้สึกใจหายเมื่อเขาจากไป
เฉินฉางเซิงวางพู่กันลงบนหินฝนหมึก เป่ากระดาษให้หมึกแห้ง ปิดผนึกจดหมาย แล้วส่งต่อให้ซูม่ออวี๋ ก่อนเดินออกจากหอตำรา
ซูม่ออวี๋มองหลังของเขา รู้อยู่แก่ใจว่าหลังจากแยกกันในวันนี้ก็ยากที่จะได้พบกันใหม่
……