ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 31 หลักการเล็กจ้อย
“ทุกคนเกิดมาก็เป็นคนตัวเล็กๆ”
สังฆราชยิ้มพลางใช้สองมือทำท่าแสดงขนาด “แต่ทุกคนต้องเติบใหญ่ขึ้น มีเรื่องให้เจ้าต้องเรียนรู้หากเจ้าต้องการจะเรียน”
เฉินฉางเซิงเชี่ยวชาญคัมภีร์เต๋า ไม่ว่าวิถีกระบี่และทักษะต่างๆ ล้วนมีความสามารถในการเรียนรู้ได้ พรสวรรค์และการทำความเข้าใจล้วนอยู่ในระดับยอดเยี่ยม แล้วจะมีอะไรที่ยังเรียนไม่ได้อีก
ครั้นได้ยินคำพูดของสังฆราช เขาย่อมนึกถึงบทสนทนาที่มีกับสังฆราชในหอตำราเมื่อสามวันก่อนการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู…แต่ปริมาณหนังสือในโลกนี้มากมายดุจน้ำในมหาสมุทร ความรู้มากมายนับไม่ถ้วนดังดวงดารา งานไม้ การเกษตร การปลูกสมุนไพร งานเย็นปัก จัดสวน มีเรื่องมากมายที่จำเป็นต้องเรียนรู้ แล้วมีความจำเป็นอะไรต้องไปเรียนวิธีเป็นคนยิ่งใหญ่
“หากข้าไม่ต้องการเรียนเล่า” เขาถามกลับสังฆราชอย่างจริงจัง “หรือนี่จะหมายความว่าข้าไม่เหมาะที่จะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งสังฆราช”
สังฆราชยิ้มและตอบกลับ “การอนุมานเช่นนี้ย่อมมีพื้นฐานอยู่บ้าง แต่ต่อให้เจ้าไม่อยากเรียนในตอนนี้ เจ้าก็ยังต้องรู้จักเงียบสักระยะหนึ่ง”
เฉินฉางเซิงปฏิเสธไปตามตรงโดยไม่คิดใคร่ครวญประโยคนั้น “ข้าทำไม่ได้ เพราะจะไม่มีช่วงเวลาเช่นนี้ อาจารย์อยากให้ข้าทำตามคำสั่งทุกอย่าง”
สังฆราชมองดวงตาเขาอย่างใจเย็นและถาม “แม้จะแค่เปลือกนอก เจ้าก็ไม่ยินยอมอย่างนั้นหรือ”
ในสายตาคนทั่วไป อาจารย์กับศิษย์ก็มีความสัมพันธ์ไม่ต่างจากพ่อลูก การที่ศิษย์ที่เชื่อฟังอาจารย์นั้นเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับหลักการฟ้าดิน ไม่ว่าอาจารย์จะสั่งให้ศิษย์ทำอะไร จะเป็นการนิ่งเงียบสักสองสามวัน มัดมือรอให้จับ หรือฆ่าตัวตายตรงนั้นเลย ศิษย์ก็ต้องทำตามโดยไม่ต้องลังเล มีแต่แบบนี้ถึงจะเติมเต็มหน้าที่ของศิษย์ได้
เฉินฉางเซิงไม่คิดเช่นนั้น
“ใช่แล้ว ข้าไม่ยินยอม”
สังฆราชถาม “ทำไม”
เฉินฉางเซิงไม่เคยคิดถึงคำถามนี้ ราวกับว่าในคืนนั้นที่สุสานเทียนซู นับจากตอนที่เขาเห็นอาจารย์และรู้ความจริงของเรื่องนี้ เขาก็เริ่มมีความคิดของตัวเอง
“บางที…อาจเป็นเพราะอาจารย์ทำสิ่งที่ข้าไม่ชอบ”
“เช่นนั้นแล้วเจ้าชอบวิธีการของเหนียงเหนียงอย่างนั้นหรือ”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้า
สังฆราชถาม “แล้วทำไมเลือกเช่นนั้น”
การเลือกที่พูดถึงก็คือ ในรุ่งอรุณวันนั้นที่เขาแบกร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ลงจากสุสานเทียนซู
ยังหมายถึงการปิดประตูสำนักฝึกหลวงหลายวัน ปฏิเสธไม่ยอมรับราชโองการ จนถึงวันนี้ราชสำนักก็ยังไม่อาจควบคุมเขาได้
คำถามของสังฆราชเป็นคำถามที่คนนับไม่ถ้วนในจิงตูเคยถาม หลินกงกงก็เคยถาม ซูม่ออวี๋ก็เช่นกัน หลายคนถามคำถามนี้กับเขา
หลังจากเดินทางจากซีหนิงถึงจิงตู เขาก็เป็นผู้สืบทอดนิกายหลวงมาตลอด ในเวลาเดียวกันก็เป็นคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่
ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่
เขาไม่ใช่รัชทายาทเจาหมิง ก็ย่อมไม่ใช่บุตรนาง
แล้วทำไมกัน
เฉินฉางเซิงตอบ “เหนียงเหนียงถูกอาจารย์หลอกลวงจึงเข้าใจตัวตนของข้าผิดไป ทำให้นางทำเหมือนข้าเป็นลูกนาง ทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ในสุสานเทียนซูคืนนั้น”
หากนางไม่เปลี่ยนชะตาให้เขา บางทีจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อาจเป็นฝ่ายชนะในการยึดอำนาจ อย่างน้อยก็รักษาชีวิตตนเองเอาไว้ได้
สังฆราชตอบ “เมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิด ที่นางจ่ายไปก็เพื่อศิษย์พี่ของเจ้า ไม่ใช่ตัวเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องแบกรับความเมตตานี้เอาไว้”
“ข้าเข้าใจความหมายของอาจารย์อา แต่ในสุสานเทียนซู อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง นางเคยนับข้าเป็นบุตรของนาง”
หลังจากเงียบไปเป็นเวลานาน เฉินฉางเซิงกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใคร แต่เมื่อนางทำเหมือนข้าเป็นบุตรที่แท้จริง ข้าก็ถือว่านางเป็นมารดาข้า”
สังฆราชถอนหายใจ ไม่พูดอะไรอีก
เมื่อเขาถือว่าเทียนไห่เป็นมารดา เขาก็ต้องดูแลเรื่องภายหลังของนางเป็นธรรมดา
ไม่มีใครสามารถอยู่เหนือหลักการนี้ได้
เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “ส่วนอาจารย์…เมื่อเขาไม่เคยถือว่าข้าเป็นศิษย์มาตั้งแต่แรก ข้าก็ไม่นับว่าเขาเป็นอาจารย์”
สังฆราชยิ้มให้เขา “มีเหตุผล”
หลังจากพูดสองประโยคที่เขาต้องการพูดที่สุดแล้ว เฉินฉางเซิงก็รู้สึกสดชื่นและเตรียมที่จะกล่าวลา
สังฆราชมองท้องฟ้านอกชายคาและกล่าว “หิมะกำลังจะตก จำไว้ว่าต้องพกร่ม”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจชัดเจนนักว่ามีความหมายลึกซึ้งเบื้องหลังคำพูดนี้หรือไม่ เขาเพิ่งเป็นกังวลว่าผู้อาวุโสที่ห่วงใยเขาอย่างลึกซึ้งอาจรู้สึกหดหู่หากเขาจากไป
เขากล่าวกับสังฆราช “อาจารย์อา พระราชวังหลียังจำเป็นต้องมีผู้นำคนใหม่ อาจารย์อาไม่คิดว่าเจ้าสำนักเหมาเหมาะสมมากหรอกหรือ”
สังฆราชตอบ “หากเขาเหมาะสม เรื่องนี้ก็จบไป และก็ไม่มีเหตุผลให้ข้าปล่อยเจ้าไป”
เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าไม่เหมาะสม”
สังฆราชยิ้มจางๆ และถาม “เจ้าไม่เหมาะสมอย่างไร”
แม้แต่ฝ่ายตรงข้ามของเฉินฉางเซิงก็ไม่อาจบอกเหตุผลได้ว่าทำไมเฉินฉางเซิงถึงไม่เหมาะกับการสืบทอดตำแหน่งสังฆราช
เขาเป็นผู้สืบทอดสายตรงของนิกายหลวง มีความเชี่ยวชาญในคัมภีร์เต๋า มีพรสวรรค์น่าเหลือเชื่อ มีฐานะที่สูงส่ง จิตใจบริสุทธิ์ ใจเย็นมีเมตตา เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเป็นสังฆราชคนต่อไป
ในอดีต ผู้คนใช้อายุมาตั้งคำถามการตัดสินใจนี้ เขาอายุน้อยเกินไป แต่ตอนนี้ตอนใต้มีเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่อายุน้อยยิ่งกว่าเสียอีก
“ข้าขาดความเป็นผู้ใหญ่ หุนหันเอาแต่ใจ ไม่อาจทำการใหญ่”
เฉินฉางเซิงมองไปที่ท้องฟ้าหม่นมัว คิดถึงเรื่องหุนหันเอาแต่ใจที่เคยทำเหล่านั้น ก็รู้สึกเป็นหงุดหงิดไม่สบายใจอยู่บ้าง
“อันที่จริงแล้วนี่คือสาเหตุที่ข้าเลือกเจ้า”
สังฆราชถอนหายใจ “หากเจ้าสุขุมเก็บตัวราวกับไม้ท่อนหนึ่งทั้งที่ยังเยาว์ อย่างมากเจ้าก็เป็นข้าอีกคนในอนาคต แล้วนั่นจะมีความหมายอย่างไรกับนิกายหลวงและผู้คน”
เฉินฉางเซิงเข้าใจและตอบอย่างเอาจริงเอาจัง “ไม่ว่าข้าจะอยู่หรือไม่ ข้าจะตั้งใจบำเพ็ญเพียรอย่างที่อาจารย์อาคาดหวังไว้”
สังฆราชรู้ว่าเขาเข้าใจความหมายและซาบซึ้งมาก “หากเจ้าไปจากจิงตู อย่าลืมเอาลูกข้าไปกับเจ้าด้วย”
เฉินฉางเซิงมองตามสายตาสังฆราชและตระหนักว่าเขาพูดถึงใบไม้คราม
……
……
เฉินฉางเซิงออกจากพระราชวังหลี
ในเวลาสั้นๆ ข่าวนี้ก็แพร่ไปทั่วจิงตู
ลานบ้านในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งย่อมเป็นที่แรกที่ได้รู้
โจวทงนั่งอยู่บนเก้าอี้แบบมีที่ท้าวแขน มือซ้ายถือกาน้ำชาสีแดงในขณะที่ใช้มือขวาลูบกาเบาๆ ตาจ้องมองพื้นดิน ปากถามอย่างเฉยชา “เขาไปไหน”
เจ้าหน้าที่หลายคนมองตากัน จากนั้นก็รายงานด้วยเสียงไม่แน่ใจ “รายงานจากสามกลุ่มยืนยันว่าเขาไปยังจวนเว่ย”
โจวทงเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินรายงาน หรี่ตามองผู้ใต้บังคับบัญชา น้ำเสียงคมขึ้นเล็กน้อยตอนที่ถาม “จวนเว่ยหรือ”
เจ้าหน้าที่ตอบอย่างลังเล “ใต้เท้า ไม่พลาดแน่”
โจวทงรู้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมไม่พลาด
เพียงแค่ตอนนั้นเขาไม่อาจนึกได้ว่าจวนไหนคือจวนเว่ย
ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เข้าใจ เฉินฉางเซิงออกจากสำนักฝึกหลวงแล้วไปพระราชวังหลี แต่ทำไมยังไม่มาตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง…เพื่อฆ่าเขา
จวนเว่ยเป็นสถานที่อย่างไรกัน
กรมอาญาไม่มีเวลาตอบสนอง ขุมกำลังต่างๆ ในจิงตู เซียงอ๋อง จงซานอ๋อง สวีซื่อจี แม้แต่พระราชวังหลีก็ไม่มีเวลาตอบสอง
เฉินฉางเซิงมาถึงส่วนลึกของจวนเว่ยแล้ว
หิมะเริ่มตกลงจากท้องฟ้าในที่สุด ปกคลุมสนามหญ้าช้าๆ
เฉกเช่นใบหน้าประมุขจวนเว่ย ขาวโพลนอย่างมาก
เฉินฉางเซิงมองไปที่คนผู้นั้นและกล่าว “สวัสดีใต้เท้าเว่ย”
เสียงใต้เท้าเว่ยสั่นตอนที่กล่าว “สวัสดีเจ้าสำนักเฉิน ไม่ทราบว่าท่านมาบ้านของขุนนางผู้นี้ด้วยเหตุใด”
เฉินฉางเซิงดวงตาสุกใส กายตั้งตรง น้ำเสียงจริงใจอย่างยิ่ง
“ข้ามาฆ่าท่าน”
……