ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 33 การแสวงหาเต๋ามีลำดับก่อนหลัง
ในที่สุดเทียนเหลียงหวังผ้อก็ปรากฏตัวในจิงตู
เมื่อเห็นชายในชุดเขียวครามที่ประตู เฉินฉางเซิงก็เข้าใจว่าทำไมเขาจึงได้พบเซียวจาง
คนที่เข้าใจท่านที่สุดในโลกมักไม่ใช่สหายท่าน แต่เป็นศัตรู
คำพูดนี้อาจจะเหมารวมไปหน่อย แต่ก็มักจะถูกต้องอย่างเหมารวม
ทั่วทั้งจิงตู มีเพียงเซียวจางที่คาดเดาได้ว่าหวังผ้อจะมาที่จวนเว่ย ดังนั้นเขาจึงลอบเข้ามารอในจวนเว่ย แต่เขาไม่คาดว่าเฉินฉางเซิงจะมาถึงก่อน
หวังผ้อมองดูเฉินฉางเซิงในหิมะด้วยความประหลาดใจอยู่บ้างจากนั้นก็ยิ้ม
ด้วยรอยยิ้มนี้ คิ้วที่ลู่ลงก็เลิกขึ้น น่ามองราวกับดวงตะวันแย้มผ่านเมฆ
เจ้าก็มาด้วยเช่นกัน
ความรู้สึกที่บังเอิญมาพบกันนี้ช่างยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง
เฉินฉางเซิงกับหวังผ้อเป็นคนประเภทเดียวกัน มักเดินในเส้นทางเดียวกันและมักมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นเหวที่เต็มไปด้วยเงาแห่งความตาย ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในทะเลดวงดาวเบื้องบน วังหลวงที่ได้รับการคุ้มกันหนาแน่น หรือจวนเว่ยที่ไม่มีใครรู้จัก ล้วนไม่ต่างกัน
หวังผ้อชวนเฉินฉางเซิง “ด้วยกันไหม”
“ตกลง” เฉินฉางเซิงรับคำชวนโดยไม่ลังเล เขาเริ่มเดินออกไปจากจวน มือขวาสั่นเลือดหยดลงจากกระบี่สั้นและตกลงบนหิมะ ดูประหนึ่งดอกเหมยเบ่งบาน
เซียวจางโมโหและตะโกนใส่คนทั้งสอง “เฮ้ย!”
เขายืนท่ามกลางสายลมและหิมะ ถือทวนไว้ในมือ บรรจุไว้ด้วยความอาจหาญโหดเหี้ยมที่พุ่งทะยานสู่สวรรค์
แต่หวังผ้อไม่แม้แต่มองดูเขา ในขณะที่เฉินฉางเซิงหันกลับไปมอง ประสานมือทำความเคารพจากนั้นก็หันกลับและเดินต่อไป
การไม่สนใจของหวังผ้อและความเฉยชาของเฉินฉางเซิงทำให้เซียวจางไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป “อ๊าก! เจ้าทำข้าหงุดหงิด!”
เสียงตะโกนของเขาฟังยาก แหบแห้งและแหลมอยู่บ้าง เหมือนอีกากลางทะเลทรายที่ไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวัน
ณ จุดนี้เฉินฉางเซิงได้ออกไปนอกจวนเว่ยแล้วและยืนอยู่ข้างหวังผ้อ
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเซียวจาง หวังผ้อก็ลู่คิ้วลงอีกครั้ง ถามด้วยน้ำเสียงไร้กำลังอยู่บ้าง “เจ้าต้องการอะไรกันแน่”
นับตั้งแต่พวกเขายังเยาว์ เขา เซียวจาง เหลียงหวังซุน สวินเหมยกับเสี่ยวเต๋อมักประลองชี้แนะซึ่งกันและกัน บางครั้งก็เป็นที่การสอบใหญ่ บางครั้งก็ที่การประชุมใหญ่จู่สือ บางครั้งก็ในสวนโจว บางครั้งก็ในสุสานเทียนซู ด่านอารามหรือเมืองสวินหยาง แม้ว่าจะพบหน้ากันในฐานะคู่ต่อสู้หรือศัตรู พวกเขาก็คุ้นเคยกันยิ่งกว่าครอบครัว
“ข้าต้องการอะไรน่ะหรือ แน่นอนว่าต้องการสู้กับเจ้า!”
เซียวจางคำราม กระดาษขาวบนใบหน้ากระพือในสายลมและหิมะ เป็นภาพที่ทำให้ขนลุก
หวังผ้อยังสงบอย่างมาก ดูแข็งทื่ออยู่บ้าง ดูไม่เหมือนกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งแม้แต่น้อย
ไม่ว่าเขาคิดอะไร เขาใช้เวลาครุ่นคิดอย่างจริงจัง จากนั้นเขาก็พูดกับเซียวจาง “เจ้าเอาชนะข้าไม่ได้”
นั่นคือความจริง ดังนั้นมันจึงเจ็บมาก
เซียวจางโกรธจัด มือขวาเหมือนต้องการจะบีบทวนให้แหลก
หวังผ้อไม่ต้องการให้เขาโจมตีจึงกล่าวเสริม “แล้วข้าก็มีเรื่องอื่นต้องทำในวันนี้ หากเจ้ายืนกรานจะลงมือ ข้าคงไม่อาจออมมือได้”
เซียวจางหัวเราะอย่างฉุนเฉียวและถามด้วยเสียงแหบ “แปลว่าเจ้าออมมือมาตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาอย่างนั้นหรือ”
หวังผ้อตอบ “ในอดีต ต่อให้ข้าไม่ออมมือ ก็ยากมากที่จะสังหารเจ้ากับที่ แต่วันนี้ต่างออกไป”
เซียวจางตะโกน “ต่างอย่างไร”
หวังผ้อตอบ “ตอนนี้พวกข้ามีสองคน ดังนั้นเจ้าต้องตาย”
ปราณของเซียวจางอ่อนลง
นี่ก็เป็นเรื่องจริง ดังนั้นมันจึงเจ็บมากและยากจะตอบโต้
เซียวจางไม่คิดว่าเฉินฉางเซิงจะปรากฏตัวที่จวนเว่ย
หากเป็นหวังผ้อ ต่อให้เขาไม่อาจสู้ได้ เขาก็ไม่กลัว
หากเป็นเฉินฉางเซิง เขาก็มั่นใจว่าจะใช้ทวนสยบเอาไว้ได้
แต่หากต้องสู้กับทั้งหวังผ้อและเฉินฉางเซิง ถ้าเช่นนั้นเขาก็ไม่มีโอกาสชนะเลย แล้วก็มีโอกาสที่เขาจะตายอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่สมกับวิธีที่หวังผ้อทำสิ่งต่างๆ เหมือนกับที่เขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในจิงตู
เขาตะโกนใส่หวังผ้อ “เจ้ายอมร่วมมือกับคนอื่นจริงหรือ”
หวังผ้อตอบ “ข้าร่วมมือกับเขามาแล้วในเมืองสวินหยาง ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ข้าต้องทำวันนี้ค่อนข้างสำคัญ ดังนั้นข้าไม่อาจให้เจ้ามาเหนี่ยวรั้งไว้”
เซียวจางถาม “เจ้าวางแผนจะทำอะไร เจ้าควรรู้ว่าเมื่อใดที่เจ้าเดินไปตามถนนหลัก ทุกคนต้องการที่จะฆ่าเจ้า”
“ข้าต้องการฆ่าโจวทง”
คำตอบของหวังผ้อสุขุมอย่างมาก ไร้ความกระวนกระวาย “ข้าคิดว่าเจ้ารู้อยู่แล้ว”
นับจากตอนที่เขาเดินตามหลังหวังผ้อ เฉินฉางเซิงไม่เคยพูดอีกเลย
สถานะในตอนนี้ของเขาไม่อ่อนด้อยไปกว่าหวังผ้อหรือเซียวจาง แต่ด้วยพื้นฐานการให้ความเคารพกับผู้อาวุโสของเขา เขายินดีที่จะนิ่งเงียบ
เซียวจางไม่ลืมเขาและถามเขาเช่นกัน “แล้วทำไมเจ้าถึงต้องฆ่าโจวทง”
คำตอบของเฉินฉางเซิงซื่อตรงมาก “เหมือนเช่นการฆ่ารองเจ้ากรมเว่ย มีแต่วิธีนี้เราจึงบอกคนในโลกได้ว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นสิ่งผิด เพื่อให้คนและเรื่องเช่นนี้ปรากฏขึ้นน้อยลงในโลกใบนี้”
หวังผ้อที่อยู่ด้านข้างพอใจมากที่ได้ยินคำพูดนี้ “ใช่แล้ว การลืมบุญคุณและทำเรื่องอยุติธรรมเป็นสิ่งผิด การทรยศนายเพื่ออำนาจเป็นสิ่งผิด เมื่อทำสิ่งผิดก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน”
“ทรยศนาย? จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไม่ใช่คนดี แต่ข้าก็ไม่เห็นเจ้าจะมาฆ่านางสักหน่อย” เซียวจางเย้ยกลับ
หวังผ้อตอบ “เพราะข้าไม่มั่นใจว่าข้าสังหารเทียนไห่ได้ ดังนั้นข้าจึงไม่มีความกล้า”
เซียวจางถาม “แล้วตอนนี้เจ้ามีความมั่นใจที่จะฆ่าโจวทงอย่างนั้นหรือ”
หวังผ้อตอบ “ใช่ เพราะตอนนี้ดาบของข้าเร็วขึ้นแล้ว”
เซียวจางแย้งกลับไปอย่างก้าวร้าว “หลักการพวกนี้มาจากไหนกัน เพื่อเอาชีวิตรอด มีอะไรที่ไม่อาจทำได้”
“เจ้ามีหลักการของเจ้า เราก็มีของเราแล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากหลักการทั้งสองขัดแย้งกัน ในอดีตข้าไม่เข้าใจ แต่ช่วงนี้ข้าได้ทำความเข้าใจแล้ว”
หวังผ้อมองดวงตาเซียวจางและพูดอย่างจริงจัง “หากเราฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด เช่นนั้นหลักการของพวกเราย่อมเป็นฝ่ายชนะ”
เฉินฉางเซิงเสริม “นี่คือหลักการ”
เซียวจางเงียบไปแล้วตอบ “ดูเหมือนจะมีเหตุผล”
หวังผ้อกล่าวอย่างใจเย็น “หากเจ้าเห็นด้วยกับหลักการนี้ เช่นนั้นก็ยกเลิกความพยายามที่จะหยุดพวกเรา หาไม่แล้วเราต้องฆ่าเจ้าจริงๆ”
เซียวจางจ้องกลับไปที่เขาและกล่าว “ข้าเคยสู้กับเจ้านับครั้งไม่ถ้วนหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่เจ้าไม่เคยพูดกับข้ามากเท่านี้มาก่อน”
หวังผ้อตอบ “เพราะข้าอยากโน้มน้าวเจ้า”
เซียวจางถาม “ทำไมเจ้าถึงต้องการโน้มน้าวข้า”
หวังผ้อตอบ “เพราะข้าไม่อยากใช้ดาบสู้กับเจ้าแบบนี้”
หลายสัปดาห์ก่อน ทั่วต้าลู่ได้รู้ว่าเขาออกจากสำนักต้นไหวมายังจิงตู
นับจากวันนั้นมา เขาก็ไม่เคยชักดาบเลยสักครั้งเดียว
เจตจำนงดาบของเขาได้สะสมมาจนถึงระดับที่ไม่อาจจินตนาการได้
หากเซียวจางต้องการโจมตีด้วยทวน ความพ่ายแพ้ต่อดาบนี้ย่อมเป็นเรื่องแน่นอน
แต่หวังผ้อย่อมไม่อาจมั่นใจว่าจะเดินไปบนถนนในจิงตูได้ไกลนัก
……
……
ในลมและหิมะ หวังผ้อกับเฉินฉางเซิงเดินไปตามถนน คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลัง
พวกเขาไม่ได้เดินเคียงคู่กันเพราะเฉินฉางเซิงยืนกรานเช่นนี้ เขารู้สึกว่าเขายังไม่คู่ควร
เป็นเฉกเช่นว่าพวกเขากลับไปยังเมืองสวินหยาง ในตอนนั้นพวกเขาก็มีคนหนึ่งอยู่ด้านหน้า คนหนึ่งอยู่ด้านหลัง เผชิญหน้ากับยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายอาบไปด้วยเลือด แต่ก็ไม่ยอมหยุดจนกว่าพวกเขาจะตายไป
กระนั้นก็ตาม ในตอนนั้นพวกเขาเป็นฝ่ายตีฝ่าวงล้อมออกมา วันนี้พวกเขาเป็นฝ่ายที่มาเพื่อสังหาร