ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 36 เรื่องของเมืองและดาบ (2)
ถนนปกคลุมด้วยชั้นหิมะบางๆ บนหิมะมีรอยเท้าที่ชัดเจนอยู่
เฉินฉางเซิงได้เดินไปจนถึงปลายถนนแล้ว เมื่อเลี้ยวขวาก็จะเข้าสู่ตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง
เขาเห็นกำแพงห่างไปสิบกว่าจั้ง ด้านหลังกำแพงเป็นลานบ้าน
ไม่มีเสียงดังมาจากด้านหลัง
ไม่มีเสียงดาบหรือการต่อสู้
แต่ใจเขาไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
เพราะเขาเชื่อในหวังผ้อ
ตราบใดที่หวังผ้ออยู่ด้านหลัง ต่อให้คู่ต่อสู้ของหวังผ้อเป็นยอดฝีมือในตำนานอย่างเถี่ยซู่ เขาก็ต้องมุ่งหน้าไปเท่านั้น
ที่กำแพงและลานบ้านด้านหลัง
ลมป่วนพัดเกิดเสียงโหยหวน ฟังดูบาดหูอยู่บ้าง
หิมะบางบนพื้นถนนม้วนตัวขึ้นและหิมะบนหลังคาสองฟากถนนตกลงมา
เสียงโหยหวนของสายลมจากทุกทางเป็นปกติธรรมดา
ร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากหิมะ
กระบี่พุ่งออกมาจากร่างนั้นและแทงใส่หน้าผากเฉินฉางเซิง
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างกันหลายจั้ง เฉินฉางเซิงก็สัมผัสได้ถึงความแหลมคมและกลิ่นอายความตายบนกระบี่นั้น
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะกระบี่นี้ ทว่าเป็นเพราะคนที่ถือกระบี่
จุดแสงอ่อนจางกะพริบบนหิมะที่ปลิวออกมา
มือสังหารที่ซ่อนตัวอยู่ในหิมะเป็นเวลานานดูไม่เหมือนกับอยู่ท่ามกลางหิมะที่ปลิวขึ้น ทว่าเหมือนอยู่ในอีกโลกหนึ่ง
นั่นก็เพราะมือสังหารมีโลกของตัวเอง ประกายแสงพวกนั้นคือหลักฐาน
ศัตรูคนแรกที่เฉินฉางเซิงพบในวันนี้คือมือสังหารขั้นรวบรวมดวงดาว
ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นรวบรวมดวงดาวสามารถปกครองเมืองหนึ่ง เป็นผู้อาวุโสของสำนักหนึ่ง ใครกันจะยินดีมาเป็นมือสังหารที่ไม่อาจเผยกายในแสงสว่างได้
มือสังหารในระดับนี้หาได้ยากยิ่ง
แม้แต่กรมอาญาก็มีไม่มากนัก
มีเพียงที่เดียวในต้าลู่ที่มีจำนวนมาก
ก็คือองค์กรมือสังหารที่ลึกลับที่สุด ซูหลีเคยเป็นสมาชิกขององค์กรนี้
ไม่มีใครรู้ต้นกำเนิดหรือที่ตั้งขององค์กรมือสังหารนี้
แต่เฉินฉางเซิงรู้
อันที่จริงแล้วองค์กรมือสังหารนี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหอความลับสวรรค์
นับจากตอนที่เขาเห็นมือสังหารขั้นรวบรวมดวงดาวและรับรู้ได้ถึงวิธีลอบสังหารที่คุ้นเคย เขาก็รู้ที่มาทันที
ราชสำนักได้ทำการยึดครองหอความลับสวรรค์เสร็จสิ้นแล้ว
เฉินฉางเซิงไม่ได้ตกตะลึง แต่เริ่มเป็นกังวลเรื่องหลิวชิง
ครั้นแล้ว ดวงตาก็เพ่งพิศ ตั้งจิตสมาธิ และถอยไป
ด้วยการหนีง่ายๆ กระบี่อันมืดมัวและเย็นเยียบซึ่งซ่อนอยู่ในลมหิมะก็พลาดเป้า
เมื่อรองเท้าเขากดลงบนหิมะบางเบา กระบี่ไร้ราคีก็หลุดออกจากฝักซ่อนคมดังเช้ง
เมื่อลมหิมะบดบังสายตา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะบอกตำแหน่งของมือสังหารได้
แต่ดวงตาเขาจับจ้องไปยังที่แห่งหนึ่งท่ามกลางหิมะอย่างไร้ความลังเล
เจตจำนงกระบี่จากกระบี่ไร้ราคีพุ่งตามสายตาของเขาไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง
เสียงแผ่วเบาดังขึ้น
เลือดพุ่งเป็นละอองเข้าใส่หิมะที่โปรยปราย
มือสังหารถูกเจตจำนงกระบี่บีบออกมาและพุ่งไปข้างหลังอย่างรวดเร็วจนชนเข้ากับกำแพงของลานบ้าน
หิมะบนกำแพงสั่นสะเทือน ร่วงลงบนใบหน้าของมือสังหาร จากนั้นหิมะก็ถูกเลือดที่ไหลออกมาชำระออกไป
รูลึกที่เต็มไปด้วยเลือดปรากฏขึ้นบนลำคอมือสังหาร
ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสนและสิ้นหวัง
เขาไม่เข้าใจว่าเฉินฉางเซิงมองเห็นตำแหน่งของเขาได้อย่างไร
ต่อให้มองเห็น แต่กระบี่นั้นสามารถแทงทะลุเขตแดนดวงดาวเข้ามาอย่างง่ายดายได้อย่างไร
เฉินฉางเซิงย่อมสามารถทำลายเขตแดนดวงดาวของมือสังหารได้
เพราะเขาใช้เพลงกระบี่รอบรู้และดวงตาที่ฉลาดเฉลียวคู่หนึ่ง
เขาในตอนนี้มีปราณแท้ที่แข็งแกร่งและมั่นคงดั่งภูเขา ดวงจิตสงบนิ่งอ่อนโอนราวมหาสมุทร เพลงกระบี่บรรลุถึงขั้นที่ลึกล้ำที่สุด
ระดับการบำเพ็ญเพียรของเขาในตอนนี้อาจจะด้อยกว่าเมื่อเทียบกับยอดฝีมือที่แท้จริง ทว่าความเข้าใจในกระบี่นั้นได้บรรลุถึงขั้นสูงแล้ว
ในบางแง่มุม เขาอยู่เหนือกว่าคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน
มือสังหารคนนี้ก็อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวเช่นกัน แต่ระดับการบำเพ็ญเพียรนั้นไม่อาจเทียบได้ วิธีการลอบสังหารก็เรียนรู้มาจากซูหลีและหลิวชิง…แล้วเขาจะสามารถป้องกันกระบี่ของเฉินฉางเซิงได้อย่างไรกัน
เลือดซึมลงไปในหิมะ ละลายกลายเป็นของเหลวน่าขยะแขยง มือสังหารไหลลงมาตามกำแพงและตายไป
เฉินฉางเซิงมุ่งไปข้างหน้าต่อไป
ฝีเท้ายังมั่นคงและราบเรียบ สีหน้ายังคงสงบนิ่ง ดูระมัดระวังอย่างมาก
โจมตีครั้งเดียวก็สังหารศัตรูแข็งแกร่งได้หนึ่งคน แต่ก็สิ้นเปลืองพลังไม่น้อย ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเขารู้ว่าการต่อสู้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
ราชสำนักได้ยึดครองหอความลับสวรรค์แล้ว ดังนั้นย่อมมียอดฝีมือในลานบ้านมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ตอนแรก
เขาไม่ใช่โจวตู๋ฟู ไม่ใช่ซูหลี และในตอนนี้ เขาพอจะเห็นหลังของหวังผ้อได้รางๆ ดังนั้นจึงไม่มีทางเรียกได้ว่า ‘ไร้เทียมทาน’
ในคืนนั้นเขาสามารถบุกเข้าลานบ้านแห่งนี้และลอบสังหารโจวทงจนดวงจิตแทบออกจากร่างเพราะเขาฉวยโอกาสจากการไม่ทันตั้งตัว วันนี้ย่อมไม่ง่ายเช่นนั้น
เขารู้ว่าตนกำลังเผชิญกับศัตรูที่ไม่อาจเอาชนะได้ในวันนี้ และนี่คือปัญหาที่เขาจำเป็นต้องรับมือ
สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเยาว์เกินไป เขาเพิ่งบำเพ็ญเพียรมาได้เพียงสามปี มียอดฝีมือจำนวนไม่น้อยในโลกนี้ที่สามารถใช้เพียงแค่กำลังอย่างเดียวก็บดขยี้เขาได้แล้ว เขาไม่มีโอกาสได้ใช้ปัญญาและความเข้าใจในกระบี่ให้เป็นประโยชน์ได้
เหมือนโจวทงที่ไม่ได้ดูถูกเขาอีกต่อไปหรือยอมให้เกิดเรื่องประหลาดใจขึ้นอีก
เหมือนกับพวกผู้แข็งแกร่งบนประกาศเซียวเหยา
เหมือนเสี่ยวเต๋อที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาในตอนนี้
เสี่ยวเต๋ออันดับห้าบนประกาศเซียวเหยา ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในรุ่นกลางของเผ่าปีศาจ
เมื่อเสี่ยวเต๋อเห็นเฉินฉางเซิงเดินออกมาจากหิมะ ประกายความเคารพก็ฉายขึ้นในดวงตาเขา ไม่เหมือนกับความดูถูกเหยียดหยามตอนที่พบกันครั้งแรกบนหานซาน
“วันนี้ข้าจะส่งเจ้าไปด้วยดี”
เฉินฉางเซิงรู้ว่าระหว่างการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู เสี่ยวเต๋อกับเซียวจางมีบทบาทสำคัญในวังหลวง เขาจึงไม่ควรประหลาดใจที่ราชสำนักจะเชิญเสี่ยวเต๋อมารับมือเขา แต่เขาก็ยังประหลาดใจ คณะทูตจากเมืองไป๋ตี้ยังอยู่ในจิงตู จากมุมในก็ตามเสี่ยวเต๋อไม่ควรปรากฏตัวเว้นแต่ว่า…
เขารู้สึกถึงความเย็นของลมหิมะได้อย่างชัดเจนขึ้นมาในทันที
ไม่มีเสียงดังมาจากถนน ไม่มีเสียงดาบหรือการต่อสู้ หวังผ้อยังไม่ชักดาบออกมา
ร่างจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในหิมะ ทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือ คาดเอาได้ว่ามีมือสังหารและนักฆ่าซ่อนตัวอยู่ในเงาอีก
เฉินฉางเซิงมองไปที่ลานบ้านตรงหน้าเงียบๆ
เขาเข้าใจ
ล้านบ้านอยู่ใกล้มาก แต่ก็ไม่แน่ว่าเขาจะเข้าไปได้ในวันนี้
ในตอนนี้เขามองเห็นบางส่วนของลานบ้านแล้ว อย่างเส้นสีขาวที่วาดอยู่บนกำแพงและต้นไห่ถังที่ยื่นออกมาเหนือเส้นนั้น
ต้นไห่ถังไม่เหลือใบบนกิ่งก้านอีกแล้ว กิ่งก้านเปล่าเปลือยปกคลุมไปด้วยหิมะดูเย็นชาและสกปรก
นิ่งงันราวความตาย
……
……
ยามที่ประมุขรองตระกูลถังหัวเราะอย่างไร้เสียง เขาดูน่าขันอยู่บ้าง
ทว่าในมุมมองของฝ่ายตรงข้าม ใบหน้าเขาในตอนนั้นดูน่าหวาดกลัวทีเดียว
ตอนที่รอยยิ้มประมุขรองตระกูลถังจางลงและสีหน้าเรียบเฉย ใบหน้าก็เหมือนเช่นศพที่เย็นเยียบและมืดมัวที่สุด
หวังผ้อมองใบหน้านี้ที่เขาไม่ได้เห็นมาหลายปี ใบหน้าที่ไม่อาจลืม น่าขัน น่าหวาดกลัว มืดมัวและน่าเกลียด ทันใดนั้นเขาก็มีความปรารถนาอันแรงกล้า
ตอนที่เขาทำงานเป็นนักบัญชีในเมืองเว่นสุ่ย เขามักมีความปรารถนาเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่เพราะประโยคนั้นทำให้เขาต้องอดทนอยู่เสมอ
‘ความเมตตาหนักดั่งขุนเขา’ คือประโยคนั้น
ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยดูแลเขาด้วยความเมตตาที่หนักดั่งขุนเขา
แล้วถ้าหากภูเขานี้ถล่มลงตรงหน้าเขา เขาควรจะทำอย่างไร
หวังผ้อไม่เคยคิดถึงคำถามนี้มาก่อน
ดาบของเขาตรงและมุมมองต่อโลกนี้ก็ตรงเช่นกัน
หากมีความแค้นก็ต้องชำระ หากมีบุญคุณก็ต้องทดแทน ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องง่ายๆ เช่นนี้
จนถึงวันนี้ตอนที่เขาได้ยินคำพูดของประมุขรองตระกูลถัง
“เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ชักดาบ”
คิ้วเขาลู่ลง ดูเหมือนจะทุกข์ใจอย่างมาก “นี่เป็นความประสงค์ของใคร”
ประมุขรองตระกูลถังเข้าใจความหมายของคำถามนี้ “ย่อมต้องเป็นของประมุขผู้เฒ่า”
เฉินฉางเซิงมองไปที่เขาและไม่พูดอะไร
ประมุขรองตระกูลถังเย้ย “หากเป็นความประสงค์ของข้า ทำไมข้าต้องห้ามเจ้าด้วย ข้าคงปล่อยให้เจ้าตายด้วยมือของเถี่ยซูอย่างสบายใจ”
หวังผ้อคิดใคร่ครวญและตอบ “ก็จริง”
ประมุขรองตระกูลถังอธิบาย “แต่ประมุขผู้เฒ่าเอ็นดูเจ้าเหมือนเป็นหลานตัวเอง เขาไม่ต้องการให้เจ้าตาย ดังนั้นเขาจึงส่งข้ามาเพื่อพูดเช่นนั้น”
หวังผ้อเงียบไปอีกครั้ง
“เจ้าคงคิดว่าตระกูลถังของเราตั้งใจจะบีบให้เจ้าตอบแทนความเมตตาในตอนนี้ ช่างเป็นเรื่องที่ไร้ยางอาย” ประมุขรองตระกูลถังจ้องตาเขา ไม่พยายามที่จะปกปิดความมุ่งร้ายของตน “ตอนนี้เจ้าตระหนักแล้วว่าตระกูลถังทำไปเพื่อปกป้องชีวิตเจ้า เจ้าไม่รู้สึกแย่ ที่ไม่อาจดูถูกพ่อค้าอย่างพวกเราได้หรอกหรือ”
หวังผ้อมองกลับไปอย่างใจเย็นและกล่าว “ในเมื่อท่านอยากให้ข้าตาย เราแสร้งทำเป็นว่าท่านไม่เคยพูดคำนั้นออกมาก็ได้”
“ถึงแม้ข้าต้องการให้เจ้าตาย ข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้าตายเช่นนี้ มันไม่มีคุณค่าอันใด”
ประมุขรองตระกูลถังเย้ย “ข้าไม่สนว่าประมุขผู้เฒ่าคิดอะไร ข้ารู้แค่ว่าตระกูลถังของข้าได้จ่ายให้เจ้าไปสูงมาก ดังนั้นเจ้าจึงเป็นสินทรัพย์ของตระกูลถัง เป็นธุรกิจที่ตระกูลถังของข้าลงทุนไป ต่อให้เจ้าอยากตาย เจ้าก็ต้องสร้างเงินตอบแทนตระกูลถังของข้าได้มากพอ แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้าตายด้วยเหตุผลไร้สาระได้อย่างไร”
ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าวีรบุรุษหรือความยุติธรรม
ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ
หากเจ้าต้องการที่จะตาย ก็ต้องตายอย่างมีคุณค่า จะมาวุ่นวายกับเด็กน้อยได้อย่างไร
เช่นนั้นความหมายของคุณค่าคืออะไร
หวังผ้อเข้าใจ
ตำแหน่งสังฆราชเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดในโลกนี้
หลังจากคืบหน้าไปทีละนิด สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นเรื่องนี้
ในวันที่หิมะตกเป็นครั้งแรกในจิงตู ในมุมมองของคนมากมาย เป็นวันที่เขากับเฉินฉางเซิงมาฆ่าโจวทง
แต่ในสายตาคนอื่น เป็นวันที่เฉินฉางเซิงหาที่ตาย
……