ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 37 เรื่องของเมืองและดาบ (3)
หวังผ้อเข้าใจ
เขากับเฉินฉางเซิงต้องการสังหารโจวทง
อีกฝ่ายหนึ่งต้องการที่จะสังหารเขากับเฉินฉางเซิง
ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยเลือกจากจุดยืนที่ต่างไปจากเขากับเฉินฉางเซิงจึงเบี่ยงเบนไปบ้าง
แต่ยังมีสองเรื่องที่เขายังไม่เข้าใจ
หากยึดถือตระกูลถังเป็นพ่อค้าที่สนใจเรื่องกำไรยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ทำไมพวกเขาถึงต้องการให้เฉินฉางเซิงตาย
ทุกคนรู้ว่าเฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วนั้นเป็นเพื่อนที่สนิทกันที่สุด เฉินฉางเซิงกลายเป็นสังฆราชคนต่อไปย่อมเป็นประโยชน์มหาศาลต่อตระกูลถัง
“เมืองไป๋ตี้ก็ไม่เห็นด้วยที่เฉินฉางเซิงจะเป็นสังฆราชคนต่อไป นี่เป็นคำถามที่คนจำนวนมากไม่อาจเข้าใจได้”
ประมุขรองตระกูลถังอธิบาย “เป็นเพราะเมืองไป๋ตี้มีตัวเลือกที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม เฉินฉางเซิงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของตระกูลถังนั้นก็จริง แต่สำหรับข้า เขาเป็นตัวเลือกที่แย่ที่สุด”
คนที่เฉินฉางเซิงมีสัมพันธ์อันดีด้วยคือถังถังไม่ใช่ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย ยิ่งไม่ใช่สำหรับประมุขรองตระกูลถัง
หวังผ้อถาม “หากเป็นเช่นนั้นทำไมประมุขผู้เฒ่าถึงฟังเจ้า”
ประมุขรองตระกูลถังกล่าว “เจ้ารู้ว่าประมุขผู้เฒ่าไม่ชอบจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เฉินฉางเซิงทำนั้นทำให้ประมุขผู้เฒ่าไม่พอใจอย่างมาก”
ในตอนนี้เองเสียงกระบี่ดังออกมาจากลมหิมะที่ปลายถนน ตามด้วยประกายแสงจากรังสีกระบี่
ร่างเฉินฉางเซิงแวบไปมาในหิมะ
กลิ่นคาวเลือดพุ่งผ่านหิมะมาจนถึงจุดที่พวกเขานั่งอยู่พร้อมกับเสียงคำราม
การต่อสู้ที่ด้านนั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่ดาบของหวังผ้อยังคงอยู่บนโต๊ะไม่เคลื่อนไหว
หวังผ้อดึงสายตากลับมา จับจ้องไปที่ดาบบนโต๊ะที่ยังจมอยู่ในหิมะ “รออีกสิบกว่าวันไม่ได้หรือ”
ทั่วต้าลู่ว่าอาการป่วยของสังฆราชนั้นยิ่งนานวันยิ่งหนักหนา เมื่อฤดูใบไม้ร่วงเปลี่ยนเป็นฤดูหนาว เมื่อฤดูมาถึงจุดจบ เวลาสิบกว่าวันสุดท้ายก็มาถึง
หากราชสำนักต้าโจว เมืองไป๋ตี้และตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยต้องการจะชิงตำแหน่งสังฆราชแล้ว ทำไมไม่รออีกสิบกว่าวันเล่า
“ใต้เท้าสังฆราชเป็นนักปราชญ์ เมื่อเขาเสียชีวิต สายฟ้าจะตามมาและเขาย่อมมีแผนสำหรับเรื่องภายหลัง”
ประมุขรองตระกูลถังกล่าวต่อ “ที่เราต้องทำก็คือทำให้แผนของเขาวุ่นวายด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด แก้ปัญหาที่อาจจะซับซ้อนที่สุดในอนาคต”
ต่อให้สังฆราชกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว แต่ทั่วทั้งโลกก็ล่วงรู้แผนของเขา ใครจะกล้าขัดขืนโองการสุดท้ายของเขา
เมื่อนิกายหลวงรวมเป็นหนึ่งก็เหมือนกับกำแพงที่ไม่อาจทลาย ต่อให้คนที่ทรงอำนาจอย่างซางสิงโจวหรือเจ้าแผนการอย่างตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย ก็ต้อประสบปัญหายุ่งยากหากต้องการจะไล่เฉินฉางเซิงออกจากพระราชวังหลี
การฆ่าเฉินฉางเซิงก่อนเวลานั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าง่ายกว่าลงมือตอนที่เขาได้ครองตำแหน่งสังฆราชแล้วหลายเท่า
ในตอนนี้ดูเหมือนว่านี่เป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับปัญหานี้ แต่ก่อนที่ทางแก้นี้จะเกิดขึ้น กลับไม่มีใครคิดถึงมันมาก่อน
ไม่มีใครคิดว่าก่อนที่สังฆราชจะลาโลกนี้ไป ซางสิงโจวจะหมดความอดทนที่จะรอต่อไป ถึงกับเลือกที่จะลงมือก่อนสังฆราชจะลาโลก
“ใครเป็นคนตัดสินใจ” หวังผ้อถามประมุขรองตระกูลถัง
ประมุขรองตระกูลถังยิ้ม “นี่ย่อมเป็นการตัดสินใจของปรมาจารย์เต๋า ข้าแค่เสนอข้อคิดเห็นในจังหวะที่เหมาะสม”
หวังผ้อมองตาเขาและกล่าว “ผ่านมาหลายปี ท่านก็ยังใช้ลูกไม้เช่นนี้ไม่เลิก”
“ใช่ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ดี” ประมุขรองตระกูลถังกล่าวอย่างเรียบเฉย รอยยิ้มหายไป
หลายปีก่อน เจ้าสำนักเทียนเต้าคนปัจจุบัน จวงจื่อห้วน ได้พบเขาที่เวิ่นสุ่ย
นับจากนั้นจนถึงตอนนี้ จวงจื่อห้อวนก็ยังตกตะลึงกับพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของประมุขรองตระกูลถัง แต่เขายิ่งตะลึงมากกว่าเดิมกับการที่มันเสียเปล่าไป
ทั่วทั้งโลกมีแต่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังที่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่สนใจพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียร ทิ้งมันไปราวกับรองเท้าเก่าขาดคู่หนึ่ง
เพราะไม่ว่าเขามีพรสวรรค์สูงเพียงใด ก็ไม่อาจอยู่สูงกว่าหวังผ้อ และไม่ว่าเขาจะฝึกฝนหนักเพียงใดก็ไม่อาจก้าวข้ามหวังผ้อได้
หลายปีก่อน เขาไม่ยินยอมและไม่พอใจที่จะยอมรับความจริงนี้
ดังนั้นประมุขรองตระกูลถังที่เคยมีอนาคตสดใสไร้ขีดจำกัด จึงได้กลายเป็นหนุ่มเจ้าสำราญแห่งเมืองเวิ่นสุ่ยและค่อยๆ หายไปจนไม่มีใครรู้จัก
ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้ละทิ้งการบำเพ็ญเพียร และทุ่มเทให้กับเรื่องอื่นอย่างเต็มกำลังอยู่เงียบๆ ด้วยรู้ดีว่ามีแต่ทางนี้ถึงจะเอาชนะหวังผ้อได้
ใช้ปัญญา กลยุทธ์ แผนการที่ไร้ความรู้สึกและการใช้จิตใจของผู้คน
“ในเรื่องการต่อสู้ ข้าอาจไม่ใช่คู่มือของเจ้าไปชั่วชีวิตข้า”
“แต่ในเรื่องอื่น เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ถือรองเท้าให้ข้าด้วยซ้ำ”
“ข้าเข้าใจอย่างชัดเจนว่าแต่ละคนต้องการหรือห่วงใยสิ่งใด มีอุปสรรคใดที่พวกเขาไม่อาจก้าวข้าม เงามืดที่พวกเขามองไม่เห็นอยู่ตรงไหน”
“ทุกคนพูดว่าวิถีดาบของหวังผ้อนั้นตรง เจ้าใช้ความตรงสร้างชื่อเสียง ดังนั้นสิ่งที่เจ้าเป็นกังวลที่สุดก็คือชื่อเสียง”
“วันนี้ข้าใช้ชื่อเสียงที่เจ้าปรารถนามาสะกดดาบของเจ้าเอาไว้ แล้วเจ้าจะทำอะไรได้”
ประมุขรองตระกูลถังมองดูหวังผ้อและหัวเราะ
ดังเช่นที่เขาทำประจำ เขาอ้าปากแต่ไม่มีเสียงออกมา
ทุกคำที่กล่าวออกมาจากปากเป็นคำเย้ยหยันปลุกปั่นหวังผ้อ
หวังผ้อมองหน้าเขา และความปรารถนานั้น แรงกระตุ้นนั้น ก็ยิ่งเข้มข้นรุนแรงมากขึ้น
แต่เขาจะทำอย่างไร
เขาไม่ใช่คนที่จะขายความตรงเพื่อแสวงหาชื่อเสียง
แต่ความเมตตามีน้ำหนักยิ่งกว่าขุนเขา
ขุนเขานี้กำลังบดขยี้เขา เขาควรจะฟันมันทิ้งลงในดาบเดียวหรือไม่
……
……
มู่ฮูหยินเดินออกมาจากตำหนัก เงยหน้าขึ้นมองฟ้า
หิมะกำลังตกลงมาจากท้องฟ้า หิมะตกลงจากเมฆแต่ไม่ว่าคนอื่นจะเห็นเช่นไร ในสายตานาง หิมะและเมฆก็คือแกะที่มีขนฟูนุ่มสีขาว
ไม่ว่าสายตานางจะมองไปที่ใด เกล็ดหิมะจะกระจายตัวและเมฆก็จะเคลื่อนไปช้าๆ ประดุจฝูงแกะถูกต้อน
เมื่อเขาเห็นภาพนี้ เหมาชิวอวี่ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมผิดปกติ แขนเสื้อทั้งสองพลิ้วไหวแม้ไร้ลม
นางถอนสายตากลับมาและมองไปยังบางแห่งด้านข้างตำหนัก รอยยิ้มเย็นชาปรากฏบนใบหน้านางในยามที่ถาม “น้องสาวข้าถูกเจ้าลงโทษที่นั่นหรือ”
นอกจากเป็นจักรพรรดินีเผ่าปีศาจ นางยังมีอีกฐานะหนึ่ง องค์หญิงใหญ่แห่งดินแดนต้าซี น้องสาวนางก็คือคนที่เคยเป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวง มู่จิ่วซือ
ย้อนไปตอนที่ซางสิงโจวต้องการไล่เฉินฉางเซิงออกจากนิกายหลวงและผลักดันมู่จิ่วซือเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งสังฆราช เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวพันกับเซวียนหยวนผ้ออย่างใกล้ชิด
ตรงข้ามกับความคาดหมาย เหมาชิวอวี่สงบลงกับคำถามนี้ แขนเสื้อพลิ้วเบาๆ ในสายลม
หิมะตรงหน้าตำหนักถูกลมพัดปลิวไปทุกทิศทาง กระจายไปในเงามืดของตำหนักต่างๆ เผยให้เห็นร่างมากมาย
นักพรตไป๋สือ
ราชันย์แห่งหลิงไห่
อันหลิน
นักพรตซื่อหยวน
ห้าผู้ยิ่งใหญ่ ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายหลวงล้วนอยู่ที่นี่หมดแล้ว
และที่นี่คือพระราชวังหลี
ต่อให้นางเป็นนักปราชญ์ ก็ไม่อาจลงมือได้ตามใจโดยไร้อุปสรรค
นับประสาอะไรกับความจริงที่ว่าถึงแม้สังฆราชจะป่วยหนัก เขาก็ยังเป็นสังฆราช
เหมาชิวอวี่มองนางและถามอย่างจริงจัง “เหนียงเหนียง ท่านต้องการให้นิกายหลวงเป็นศัตรูจริงหรือ”
“ข้ามีมุมมองไม่เหมือนกับอิ๋น ข้าก็เลยเป็นศัตรูกับนิกายหลวงอย่างนั้นหรือ” นางถามกลับอย่างใจเย็น “ซางไม่อาจเป็นตัวแทนของนิกายหลวงหรือ”
เหมาชิวอวี่ ราชันย์แห่งหลิงไห่และผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ห้วงแห่งจิตถูกความเย็นแทรกซึม
พวกเขารู้ว่าหากเรื่องวันนี้ดำเนินไปโดยขาดความชอบธรรมแม้เพียงน้อยนิด นิกายหลวงต้องเผชิญกับปัญหาภายในครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ย้ายไปแดนใต้
ซางสิงโจวก็เป็นผู้สือทอดที่ถูกต้องของนิกายหลวงและยังเป็นศิษยืพี่ของสังฆราช หนึ่งพันปีก่อนเขาก็อาศัยอยู่ในพระราชวังหลี
จากบางแง่มุม หลังจากสังฆราชจากไป ก็เป็นเขาที่เหมาะสมกับการเป็นตัวแทนนิกายหลวงที่สุด
ความหมายของมู่ฮูหยินผ่านคำถามนั้นชัดเจนมาก
พายุหิมะเหนือพระราชวังหลีรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน
……
……
พายุหิมะเหนือวังหลวงก็รุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน
ลมตะวันตกม้วนเกล็ดหิมะขึ้นและกระทบกับประตูข้างของตำหนัก
ประตูถูกเปิดออก แต่ลมหิมะไม่อาจผ่านไปได้ในยามที่ซางสิงโจวเดินออกไป
เพื่อยึดครองหอความลับสวรรค์และสร้างความมั่นคงให้กับราชสำนักในเวลาอันสั้น เขาได้ขังตัวเองอยู่ในห้องเป็นเวลาหลายวัน
วันนี้เขาได้เดินออกมาแล้ว
เขาเตรียมที่จะออกจากวังหลวง
เขาต้องการไปยังพระราชวังหลี
นักพรตที่มีการบำเพ็ญเพียรล้ำลึกสิบกว่าคนเดินออกมาจากหิมะ เดินตามหลังเขาไป