ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 4 ราชโองการแผ่นหนึ่ง
แสงกระจ่างใสของฤดูใบไม้ร่วงสาดส่องทั้งในและนอกหอตำรา สงบสุขเป็นอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เสียงนี้ชราอย่างมาก สงบและไม่กระวนกระวาย เป็นเสียงที่นุ่มนวล สบายๆ ไม่กดดันแต่อย่างใด เป็นเสียงที่ชวนให้เชื่อใจ
หลินกงกงกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร เจ้าคิดว่าฝ่าบาทถูกพวกเราเหล่าขุนนางชั่วควบคุม จึงใช้เวลาถึงสามวันกว่าจะมีราชโองการออกมา สำนักฝึกหลวงถูกล้อมห้ามคนเข้าออก แต่เจ้าผิดแล้ว นี่เป็นราชโองการที่ฝ่าบาททรงร่างด้วยพระองค์เอง ด้วย…ประสงค์จะปกป้องท่าน”
ในยามที่เขากล่าว สายตาไม่เคยละจากผู้เยาว์ที่ริมหน้าต่าง ราวกับว่าเขาพยายามมองผู้เยาว์ผู้นี้ให้ออก แต่ผู้เยาว์กลับไม่มีปฏิกิริยาใด ไม่ว่าจะได้ยินอะไรก็ยังคงก้มหน้าก้มตาต่อไปอย่างเงียบงัน ทำไมถึงไม่มีการตอบสนองเลย ควรมีความตื้นตัน ความไม่เชื่อ ความสงสัยหรือความโกรธ หรืออารมณ์อื่นใดบ้าง ทว่าหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทำไมถึงไม่มีความเปลี่ยนแปลงอันใดเลย
หอตำรายังคงเงียบงัน บางทีอาจเป็นเพราะหลินกงกงไม่พูดอะไร ไม่ได้อ่านพระราชโองการ แต่กลับปล่อยให้ความเงียบนี้ดำรงต่อไป
เวลาผ่านไป ผู้เยาว์คนนั้นในที่สุดก็เงยหน้าขึ้น ทอดตามองออกไปนอกหน้าต่างยังภาพฤดูใบไม้ร่วงอันเย็นสดชื่น
การต่อสู้บนสุสานเทียนซูผ่านไปสามวันแล้ว แต่ใบหน้าของเขายังคงซีดขาว เห็นได้ชัดว่าผอมลงกว่าเดิมมาก อย่างไรก็ตาม สีหน้าเขาสงบอย่างยิ่ง
ไม่มีความเศร้าหรือความโกรธบนใบหน้า ไม่มีความสิ้นหวังขุ่นข้อง มีเพียงความสงบ
เพราะสีหน้าครุ่นคิดของเขา เค้าโครงหน้าอ่อนเยาว์จึงดูสงบยิ่งขึ้น เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มหัวเก่าเช่นที่คนทั่วไปประเมินอีกต่อไป แต่เติบใหญ่แล้วจริงๆ
ในคืนเดียว เขาประสบพบเจอเรื่องราวมากมาย ก้าวข้ามความตาย เห็นภาพอันเจิดจ้าและน่าเกลียดมากมาย เป็นใครก็ต้องเติบโตขึ้นหากผ่านเรื่องเช่นนี้ จริงหรือไม่
เมื่อเขาคิดถึงเรื่องเหล่านี้ สายตาหลินกงกงที่มองไปทางผู้เยาว์คนนี้ก็มีประกายความเสียใจที่คาดไม่ถึงปรากฏขึ้น
ราชโองการสีเหลืองสดถูกนำออกมาจากแขนเสื้อของเขาแล้ว เขาไม่ได้เปิดออก แต่กำไว้แน่นดุจกำทวนเล่มหนึ่ง
“เจ้ารู้ว่าเหตุใดข้าจึงมายังสำนักฝึกหลวงในวันนี้” หลังจากหยุดไปนาน หลินกงกงก็กล่าวต่อ “ข้ามาที่นี่เพื่อนำร่างจักรพรรดินีไป”
หอตำรายังนิ่งเงียบ ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดพลิ้วผ่านหน้าต่าง ท่องไปตามชั้นวางหนังสือและแผ่นกระดานอย่างเสรี
“จากนั้นเล่า” เฉินฉางเซิงถาม
สามวันสามคืนมานี้ เขาไม่กินไม่ดื่ม ไม่เปิดปากสักครั้ง จนกระทั่งตอนนี้
เขาพูดแช่มช้าอย่างมาก น้ำเสียงแหบแห้งอย่างยิ่ง เฉกเช่นทรายที่ถูกแสงแดดแผดเผานานสามวัน
“ในที่สุดเจ้าก็พูดแล้ว”
หลินกงกงมองไปที่เขา น้ำเสียงเจืออารมณ์อันหลากหลาย
เฉินฉางเซิงส่ายหน้า “ข้าพูดไปแล้วก่อนหน้านี้ หากข้าไม่พูด มีหรือท่านจะเข้ามาได้”
เมื่อเขากล่าวก็ยังคงมองไปนอกหน้าต่าง เพ่งพิศสนามหญ้าที่เริ่มเหลือง ดูน้ำเย็นในทะเลสาบยามฤดูใบไม้ร่วง มองดูต้นไทรใหญ่ริมทะเลสาบ น้ำเสียงสงบอย่างมากประหนึ่งไร้ซึ่งอารมณ์อันใด สีหน้าเคร่งเครียดอย่างมากไม่มีความดูถูกเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาเพิ่งให้คำอธิบายโต้แย้งไปอย่างใจเย็น
อย่างไรก็ตาม ขันทีหลินก็พ่ายแพ้อย่างแรงในครั้งนี้ รู้สึกแน่นอกขึ้นมา
นี่คือข้อเท็จจริง แม้จะไร้ความหมายก็ยังเป็นข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเป็นคนให้ซูม่ออวี๋เปิดประตูสำนักฝึกหลวง
นี่ไม่เกี่ยวข้องกับหลินกงกง ไม่เกี่ยวข้องกับราชโองการเท่าใดนัก เขาแค่อยากจะพูดบางอย่างออกไป
ดังเช่นที่ผู้เยาว์คนหนึ่งเคยพูดไว้ในโรงเตี๊ยมสวนหลีจื่อเมื่อสามปีก่อน เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงเป็นคนที่ทำให้คนอื่นพูดอะไรไม่ออก
หอตำราเงียบงันอีกครั้ง จนกระทั่งหลินกงกงพูดขึ้นอีก
“ใช่แล้ว แต่เจ้าก็ยังพูดอยู่ดี เช่นเดียวกับที่ไม่ใช่ทุกคนในสำนักฝึกหลวงจะยินดีตายไปพร้อมกับสำนัก” เขากล่าวพร้อมมองเฉินฉางเซิง
“สำนักฝึกหลวงไม่ใช่สำนักเด็ดดารา กฎของสำนักก็ไม่เข้มงวดนัก ไม่มีธรรมเนียมที่ต้องทำเช่นนั้น นี่คือสถานที่เอาไว้ศึกษาเล่าเรียน มีสิทธิ์อะไรไปเรียกร้องให้พวกเขาทำเรื่องเช่นนั้น”
เฉินฉางเซิงไม่มีจิตคิดร้ายกับพวกอาจารย์และนักเรียนที่ออกจากสำนักฝึกหลวงไป ไม่รู้สึกว่าต้องให้คำอธิบายอันใดกับขันทีชราผู้นี้
“จากนั้นเล่า” เขาถาม ตามองออกไปชมทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงนอกหน้าต่าง
นี่เป็นการกล่าวซ้ำ เป็นการย้ำเตือน ที่สำคัญ เป็นคำถามที่เขาต้องการคำตอบ
“หลังจากเรารับร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ก็ย่อมต้องทำพิธีศพอย่างยิ่งใหญ่เป็นธรรมดา ไม่สิ…ต้องเป็นพระราชพิธี” หลินกงกงอธิบายอย่างเรียบเฉย “แม้ในสายตาข้า จักรพรรดินีมารควรถูกบดกระดูกจนเป็นเถ้าโปรยทิ้งลงท่อระบายน้ำโสโครก แต่นางก็ยังเป็นชายาจักรพรรดิเซียน เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดฝ่าบาท นางมีศักดิ์ฐานะ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลถึงปัญหานี้”
เฉินฉางเซิงมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างใจเย็นในยามที่เขาตอบ “ข้าฝังนางไปแล้ว”
หอตำราเปลี่ยนเป็นเงียบงันอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีใครพูดอะไรเป็นเวลานาน
ในเมื่อนางถูกฝังไปแล้ว นางย่อมต้องมีหลุมศพ หากมีหลุมศพก็ย่อมไม่อาจขุดขึ้นมาได้อีก แม้มีพระราชโองการ็ไร้ความหมาย
เพราะนี่คือศีลธรรมจรรยา เป็นความเคารพที่มีต่อผู้จากไป
“แม้แต่สุสานในสวนโจวยังเปิดได้ ก็ไม่มีสุสานใดในโลกที่เปิดไม่ได้”
หลินกงกงหรี่ตาลงเล็กน้อยยามที่เขามองไปยังเฉินฉางเซิง “บางทีเจ้าอาจบอกข้าได้ว่าสุสานของนางอยู่ที่ใด”
นางถูกฝังอยู่ในส่วนลึกของสวนร้อยหญ้า
เฉินฉางเซิงคิดอยู่ในใจ ไม่ตอบคำถามนี้
ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาพบจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่หลายครั้ง ล้วนแล้วแต่อยู่ในสวนร้อยหญ้าทั้งสิ้น
เขาไม่เคยถามจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ว่าเหตุใดนางจึงชอบนั่งดื่มชาในสวนร้อยหญ้า หรือว่าโต๊ะหิน กาน้ำชาโลหะกับชาดำชาขาวเหล่านั้นมีความหมายอันใดกับนาง
แต่ในสวนร้อยหญ้า นางลูบใบหน้าเขา มองตาเขา เขาเห็นภาพสะท้อนในดวงตานาง และรู้ว่าที่นั่นเป็นที่ที่นางชื่นชอบที่สุด เพราะมันเป็นสถานที่ที่นางมีช่วงเวลาที่งดงามที่สุด
ดังนั้น เขาจึงฝังนางไว้ในสวนร้อยหญ้า
“เจ้าสำนักเฉินจะขัดราชโองการอย่างนั้นหรือ”
หลินกงกงหรี่ตาลงกว่าเดิม เผยความแหลมคมและน้ำเสียงหยาบกร้านผิดปกติ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกเฉินฉางเซิงว่าเจ้าสำนัก กล่าวอย่างเคร่งเครียดจริงจัง สีหน้าเคร่งขรึมอย่างยิ่ง
เฉินฉางเซิงมองออกไปนอกหน้าต่าง ชมทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงอย่างเงียบงัน
ในตอนนั้นเองที่เขาตระหนักว่าวันในฤดูใบไม้ร่วงที่ขาดฝนนั้นไม่ค่อยมีความหมายเท่าใดนัก
ไม่มีฝนตกลงบนใบไม้เหลือใบไม้แดง ฝุ่นลอยที่ขึ้นนอกกำแพงสำนักกระจายไปในแสงแดด ไม่สดใสน่ามองอีกต่อไป ให้ความรู้สึกขุ่นหมอง ชวนให้ไม่สบายใจ
เขาไม่พอใจกับวันฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้
“ทั้งจูลั่วกับกวนซิงเค่อได้เปลี่ยนเป็นฝุ่นผงและแสงหลังเสียชีวิต กลับคืนสู่ทะเลดวงดาว ไม่เหลือร่องรอยในโลกมนุษย์แม้แต่น้อย การบำเพ็ญเพียรของเหนียงเหนียงสูงกว่ามรสุมทั้งสองมากนัก หากนางต้องการ นางย่อมเปลี่ยนร่างให้กลายเป็นฝุ่นดาวในยามที่นางดับสูญ แต่นางไม่ได้ทำ ท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”
หลินกงกงเข้าสู่หอตำราและยืนบนแผ่นไม้กระดานสีดำแวววาว
ธรณีประตูอยู่ด้านหลังเขาพอดี
เขามองไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าว “เพราะเหนียงเหนียงรู้ว่าเจ้าให้ความสำคัญกับความรู้สึก รู้ว่าเจ้าต้องนำร่างนางไป จึงทิ้งปัญหาให้เจ้ามากมาย”
คำพูดของเขาหนักหนาสาหัสอยู่บ้าง สีหน้าก็เคร่งขรึมจริงจังอย่างมาก
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขา รู้ว่ามีคนมากมายที่คิดอย่างนี้เช่นกัน แต่เขาไม่เชื่อเช่นนั้น
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เป็นคนเช่นใด ก่อนกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว เหตุใดต้องมาสนใจเรื่องเล็กน้อยหลังจากตายแล้วด้วย
แต่น่าเสียดายที่คงไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้
“เจ้ามีส่วนร่วมในการตายของจักรพรรดินีมารบนยอดเขาสุสานเทียนซู และยังเป็นศิษย์น้องฝ่าบาทอีกด้วย”
เสียงหลินกงกงหยาบกร้านขึ้นเรื่อยๆ “แต่ทุกคนเห็นนางช่วยเจ้าบนยอดเขาสุสานเทียนซูและยังเห็นเจ้าแบกนางไปเช่นกัน”
เฉินฉางเซิงยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่ตอบคำพูดเหล่านี้
หลินกงกงกล่าวต่อ “ในสายตาผู้อื่น เจ้าหามีค่าไม่ จะดูหมิ่นเจ้าหรือสังหารเจ้าล้วนเป็นเรื่องง่ายดาย แม้แต่เจ้าสำนักซางก็เชื่อว่ามีเจ้าอยู่ก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีก แต่…ข้าไม่คิดเช่นนั้น เหตุนี้ ข้าจึงมายังสำนักฝึกหลวงเพื่อประกาศราชโองการนี้ และยังเป็นการให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง”
เฉินฉางเซิงกะพริบตาราวกับปรารถนาจะบดขยี้ฤดูใบไม้ร่วงนอกหน้าต่างลง