ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 40 หวังผ้อทะลวง (1)
ฤดูหนาวในจิงตูปีนี้หนาวเย็นว่าที่ผ่านมา เพิ่งจะต้นฤดูหนาวทว่าพื้นผิวแม่น้ำลั่วก็กลายเป็นน้ำแข็งเสียแล้ว แม่น้ำนอกประตูน้ำยิ่งเลวร้ายกว่า น้ำแข็งหนาจนคนลงไปยืนได้
ในครั้งนี้หวังผ้อกับเถี่ยซู่ยืนอยู่บนแม่น้ำลั่วที่กลายเป็นน้ำแข็ง
ระหว่างคนทั้งสองมีรูขนาดรัศมีสิบกว่าจั้ง น้ำในแม่น้ำสั่นกระเพื่อมอยู่ภายในหลุมที่ลึกราวกับเหวนรก
เสียงฟ้าร้องที่สะท้อนไปทั่วจิงตูดังขึ้นมาจากถนนอันปกคลุมไปด้วยหิมะ แล้วฟาดลงไปในหลุมนั้นในที่สุด
เถี่ยซู่เอามือไพล่หลัง มองข้ามหลุมนั้นไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำเสมือนว่าเขาไม่ได้ลงมือมาก่อน
หวังผ้อขวางดาบไว้ตรงหน้า มีรูมากมายปรากฏขึ้นบนเสื้อผ้า โดยเฉพาะบนเสื้อยาว ปกเสื้อแขนเสื้อดูเหมือนกับถูกลมแรงพัดกระหน่ำมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ
รอยฉีกขาดบนเสื้อผ้ามีคราบเลือดให้เห็นอย่างเลือนราง
เห็นได้ชัดว่าหลังจากประมือแค่ครั้งเดียว เขาก็ได้รับบาดเจ็บและอาการบาดเจ็บก็ไม่น้อยเลย
แต่สายตาของเถี่ยซู่ก็ไม่มีสัญญาณของความสบายใจอยู่เลย นับประสาอะไรกับแววดูถูกเหยียดหยาม ในทางกลับกันแววตายิ่งดูตึงเครียดและระมัดระวังมากขึ้น
ดาบของหวังผ้อขวางอยู่ตรงหน้าแต่มันยังไม่ออกจากฝัก รอยนิ้วปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนบนฝักดาบหลายรอย เห็นได้ชัดว่ามันเริ่มงอ
แต่เขาก็ยังไม่ชักดาบออกมา
ยอดฝีมือขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ชิงลงมือก่อนแต่เขาก็ยังไม่ชักดาบออกจากฝัก
นี่เป็นเรื่องที่สับสนและน่าตกใจที่สุด
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือแม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่
.……
……
.……
……
ในเมืองสวินหยางตอนที่เขาเผชิญหน้ากับจูลั่วบนถนนกลางสายฝน เขาก็ยังไม่ลังเลที่จะใช้วิชาดาบที่แข็งแกร่งที่สุดสร้างรอยร้าวนับไม่ถ้วนในมิติ แต่ทำได้เพียงแค่กันแสดงจันทร์ของจูลั่วเอาไว้ที่อีกฝั่งของถนน
แต่วันนี้บนถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะในจิงตู เขาไม่ได้ชักดาบออกมาด้วยซ้ำขณะเผชิญหน้ากับเถี่ยซู่ แต่ก็ยังสามารถรับการโจมตีของเถี่ยซู่เอาไว้อย่างมั่นคง
เถี่ยซู่ก็เหมือนกับจูลั่วเป็นหนึ่งในแปดมรสุม ในแง่ของพลังในการต่อสู้ เขายังเหนือกว่าจูลั่วเล็กน้อยด้วยซ้ำ
นี่หมายความว่าในเวลาอันสั้นแค่สองปีเท่านั้น ดาบของหวังผ้อได้เติบโตขึ้นกว่าตอนที่อยู่เมืองสวินหยางอย่างมาก
เถี่ยซู่ยังคงเรียบเฉยแต่ภายในใจตกตะลึงอยู่บ้าง
โดยไม่ใช้ดาบหวังผ้อก็สามารถรับการโจมตีอันทรงพลังของเถี่ยซู่เอาไว้และยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ คู่ต่อสู้ของเขาเป็นสุดยอดฝีมือของคนรุ่นเยาว์อย่างแท้จริง
เขาไม่รู้ว่าหวังผ้อก้าวหน้าไปมากแค่ไหนในช่วงสองปีมานี้ รู้แค่ว่าเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าข่าวลือมากนัก ถึงกับแข็งแกร่งกว่าที่เขาได้รับรู้ตอนอยู่อารามถานเจ้อ
ความเร็วในการก้าวหน้านี้ช่างน่าตระหนกอย่างแท้จริง
ตอนนี้เขาพบว่าไม่อาจประเมินได้ว่าหวังผ้ออยู่ห่างจากเส้นแบ่งมากแค่ไหน
และยังมีอีกเรื่องหนึ่งให้ต้องคิด
หวังผ้อยังคงไม่ได้ชักดาบออกมา
“นี่เป็นดาบเช่นใดกัน” เถี่ยซู่พลันถามขึ้น
ในเมื่อหวังผ้อยังไม่ชักดาบออกมา ทำไมเถี่ยซู่ถึงได้ถามเช่นนี้
หากมีคนดูอยู่ที่ริมแม่น้ำรั่ว พวกเขาย่อมไม่อาจเข้าใจคำถามนี้
หวังผ้อเข้าใจ
‘ดาบ’ แค่คำเดียวแต่มีความหมายมากมาย
หมายถึงตัวดาบเอง
วิชาการใช้ดาบ
แง่มุมของดาบ
วิถีแห่งดาบ
เขายังไม่ชักดาบแต่เขาได้ใช้วิชาดาบออกมาแล้ว
วิชาดาบนี้ก็คือวางดาบขวางไว้เบื้องหน้า
เต๋าแห่งดาบของหวังผ้อและความน่าอัศจรรย์ของวิชาดาบล้วนอยู่ที่การถือดาบในแนวขวาง
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถกันการโจมตีของเถี่ยซู่ได้โดยไม่ต้องชักดาบ
เถี่ยซู่ไม่เคยเห็นวิชาดาบที่ประณีตเช่นนี้มาก่อน
ที่เขาถามก็คือชื่อและที่มาของวิชาดาบนี้
“ข้าไม่ทราบ” หวังผ้อตอบ
“เขาไม่ได้บอกข้า”
.……
……
.……
……
ระยะห่างระหว่างจวนเว่ยกับตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งค่อนข้างไกลกัน จำเป็นต้องเดินข้ามแม่น้ำลั่ว
เมื่อหวังผ้อกับเฉินฉางเซิงเดินมา พวกเขาได้หยุดคุยกันที่ริมแม่น้ำลั่ว
ริมแม่น้ำลั่วมีต้นสนและเขื่อนกันตลิ่ง ในขณะที่ผิวของแม่น้ำลั่วมีน้ำแข็งและเรื่องราว
ตอนที่พบกันครั้งแรกในเมืองสวินหยาง พวกเขาไม่ได้พูดกันมากนัก ในครั้งนี้เมื่อมาพบกันอีกครั้งในจิงตู พวกเขารู้ว่าพวกเขาต้องแยกจากกันในอีกไม่นาน บางทีอาจตลอดกาล ดังนั้นพวกเขาจึงพูดคุยกันหลายเรื่อง
พวกเขาคุยกันเรื่องหวังจื่อเช่อในอดีต เรื่องสภาพในตอนนี้ของสะพานหน่ายเหอรวมถึงอดีตที่ผ่านมาของพวกเขา
เมื่อเห็นดาบเหล็กที่เอวของหวังผ้อ เฉินฉางเซิงก็นึกไปถึงสุสานในสวนโจวรวมถึงเจ้าของสุสาน ทั้งยังคิดไปถึงวิชาดาบที่สลักเอาไว้บนโลงศพดำแล้วก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้
เขาไม่ได้ถ่ายทอดวิชาดาบนั้นออกไป เพียงแค่บรรยายสิ่งที่เขาทำความเข้าใจให้กับหวังผ้อ
หวังผ้อไม่ได้ขอบคุณเขา ไม่ได้ปฏิเสธ อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้สนใจมากนัก
ต่อให้เขารู้ว่าเป็นวิชาดาบที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาก็ตาม
เขามีวิถีดาบของตนเอง และวิถีดาบที่เขาฝึกฝนมาก็ต่างไปจากดาบของโจวตู๋ฟูอย่างสิ้นเชิง
จากนั้นเฉินฉางเซิงก็กล่าวว่าเขาได้เรียนเพลงกระบี่จากซูหลีในแดนรกร้าง
ผู้บำเพ็ญเพียรมากมายในโลกสนใจกับเรื่องนี้บางทีถึงกับอิจฉา
หวังผ้อไม่ได้อิจฉาเพราะเขาไม่ชอบซูหลี อย่างไรก็ตาม มันก็ยังเป็นกระบี่ของซูหลี ดังนั้นเขาจึงสนใจอยู่บ้าง
เขาสนใจขึ้นมาตอนที่เฉินฉางเซิงพูดถึงกระบี่ที่สามที่เขาเรียนจากซูหลี เป็นกระบี่ที่แม้แต่ซูหลีก็ไม่อาจเรียนได้สำเร็จ
เขาบอกกับเฉินฉางเซิงว่าต้องการเรียนกระบี่นี้
เฉินฉางเซิงตกลง
ภายใต้ต้นหลิวริมแม่น้ำลั่วพวกเขาพูดกันไม่กี่ประโยค
แล้วหวังผ้อก็ได้เรียนรู้กระบี่นี้
ในโลกนี้ เขาเป็นคนที่สามที่เรียนรู้กระบี่นี้
และเขาใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ประโยคก็สามารถเรียนรู้ได้
หากซูหลีได้รู้เรื่องนี้ เขาจะรู้สึกอย่างไรกัน
กระบี่นี้เรียกว่ากระบี่โง่งม
การเรียนรู้กระบี่นี้ต้องใช้ความอดทน ต้องใช้การฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างต่อเนื่อง
กระบี่นี้ไม่ต้องใช้พรสวรรค์ แต่ใช้ความอดทนอย่างโง่งม
ดังนั้นซูหลีไม่อาจเรียนรู้กระบี่นี้ เพราะเขาฉลาดเกินไป
ว่าตามเหตุผล ไม่ว่าหวังผ้อจะมีพรสวรรค์น่าทึ่งเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเรียนรู้ได้ในเวลาอันสั้น
น่าสนใจที่วิธีการฝึกดาบของหวังผ้อนั้นคล้ายคลึงกับวิธีที่เฉินฉางเซิงฝึกกระบี่ แค่ฝึกซ้ำๆ
หลายทศวรรษที่ผ่านมา เขาได้ฟันดาบมามากมายเหลือคณานับ
ตอนนี้เขาก็แค่ทำเหมือนกับกระบี่ก็คือดาบ แล้วก็ใช้ดาบต่างกระบี่ ดาบเล่มนี้
ดังนั้นมือที่น่ากลัวทั้งสองของเถี่ยซู่จึงไม่อาจทะลวงผ่านฝักดาบนี้มาได้
“ท่านแพ้เพราะท่านผิด”
หวังผ้อมองไปที่เถี่ยซู่และกล่าว “ท่านไม่ควรหยุดข้าไม่ให้ชักดาบ”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเถี่ยซู่ก็ถาม “ทำไม”
หวังผ้อตอบ “มีแต่ตอนที่ดาบอยู่ในฝักเท่านั้นจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้นับพันหมื่น มีความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด แม้ว่าดาบนี้ไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดในตอนนั้น แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ทนทานที่สุด”
เถี่ยซู่ถาม “เช่นนั้นแล้วข้าต้องโง่รอให้เจ้าชักดาบออกมาหรือ”
หวังผ้อตอบ “ยิ่งท่านไม่กล้าดูรูปร่างที่แท้จริงของดาบนี้เท่าไร รูปร่างที่แท้จริงของมันก็ยิ่งมักจะเลวร้ายกว่าที่ท่านต้องการ”
เถี่ยซู่มีสีหน้าไม่แยแส แต่มือที่ไพล่หลังกำแน่น แสงเย็นเยียบแหลมคมเริ่มไหลออกมาจากร่องระหว่างนิ้ว ตัดลมหิมะอย่างเงียบงัน
ภาพนี้คือตัวแทนของอารมณ์ในตอนนี้ของเขา หวังผ้อพูดถูกเกี่ยวกับเจตนาของเขา ดังนั้นมันหมายความว่าเขาคาดเดาผลลัพธ์ได้ถูกต้องด้วยหรือไม่
เถี่ยซู่จับจ้องไปที่ดาบของหวังผ้อตอนที่เขากล่าว “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็แสดงรูปร่างที่แท้จริงของมันให้ข้าดู หากว่าเจ้ายังสามารถทำได้อยู่ละก็”
ดาบของหวังผ้อคือความจริง
นับตั้งแต่เขาออกจากสำนักต้นไหว ทั่วทั้งโลกก็เงยหน้ามองด้วยความสนใจ
แต่ตอนนี้ดาบนี้งอแล้ว ดังนั้นเขาจะชักดาบออกจากฝักได้อย่างไร
เมื่อกล่าวออกไป เถี่ยซู่ก็ได้ถึงตัวหวังผ้อแล้ว มือทั้งสองแหวกผ่านอากาศ
ลมแรงพัดขึ้นเหนือแม่น้ำลั่ว หิมะบดบังสรรพสิ่งจนพร่าเลือน แทบมองไม่เห็นนิ้วทั้งสิบท่ามกลางสายลม เมื่อมันพุ่งขึ้นก็ทำให้หิมะปั่นป่วนพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า มันคือกิ่งก้านของต้นไม่ใหญ่ ดอกไม้ขนาดยักษ์เริ่มเบ่งบาน
ไอปราณที่แข็งดุจเหล็กจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดลงบนร่างหวังผ้อ เมื่อกิ่งก้านพวกนั้นขยายตัว กลีบดอกไม้ก็บานออก
ต้นไม้เหล็กออกดอก
นี่เป็นวิชาเต๋าขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ พลังจากบนท้องฟ้าพร่างดาว
ดาบนี้สามารถป้องกันได้ตามต้องการ แต่ก็ยังไม่อาจที่จะบดบังท้องฟ้าได้หมด
หากหวังผ้อยังไม่ชักดาบออกจากฝัก เขาก็คงตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ดังนั้นหวังผ้อย่อมต้องชักดาบ
แม้ว่าดาบยังอยู่ในฝัก เจตจำนงของมันก็พุ่งขึ้นมาแล้ว
รวดเร็วทรงพลังแต่ก็เรียบง่ายอย่างมาก เต๋าแห่งดาบพุ่งทะยานสู่สวรรค์
พายุหิมะรุนแรงขึ้นและรอยร้าวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนพื้นน้ำแข็งของแม่น้ำลั่ว
เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงเจตจำนงดาบ เถี่ยซู่ก็หน้าเปลี่ยนไปในทันที กลายเป็นไม่แยแสและจิตสังหารระเบิดออกจากดวงตา
มีแต่เขาที่มองเห็นว่าหวังผ้อกำลังพยายามใช้ดาบนี้ทะลวงผ่าน!