ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 43 มุ่งไปข้างหน้าเสมอ ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ตาม
ถนนอยู่ห่างจากกำแพงของลานบ้านแค่สิบกว่าจั้ง
แต่เพื่อข้ามระยะทางนี้กลับเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างที่สุด
หากมันยากที่จะก้าวข้าม ก็ควรเลือกที่จะเดินอ้อมไป
แนวไฟพลันปรากฏขึ้น เพลิงร้อนแรงละลายหิมะเป็นไอหมอกแล้วก็ควัน
ตรงหน้าเปลวเพลิงนี้คือเฉินฉางเซิง หากบอกให้ชัดเจน เปลวเพลิงนี้มีต้นกำเนิดมาจากกระบี่ในมือของเขา
นี่เป็นเพลงกระบี่ที่สองที่ซูหลีสองให้กับเขา เพลงกระบี่สันดาป
เสี่ยวเต๋อมีระดับการบำเพ็ญเพียรสูงมากและมีประสบการณ์มากมาย แต่เขาก็ยังถูกกระบี่นี้ของเฉินฉางเซิงโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว
กระบี่นี้ใช้เจตจำนงของกระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่หลีซาน เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นไม่หวั่นแม้แต่ชีวิตของตัวเอง
เสี่ยวเต๋อประหลาดใจที่กระบวนท่าแรกของเฉินฉางเซิงก็เป็นเพลงกระบี่ที่รุนแรงซึ่งทำร้ายทั้งตนเองและผู้อื่น
นี่เป็นสิ่งที่เฉินฉางเซิงได้เตรียมตัวเอาไว้แล้ว
เขาในตอนนี้มีปราณแท้สะสมอยู่มากมายและมีดวงจิตที่มั่นคง แต่ก็ยังมีระยะห่างอย่างมากระหว่างเขากับยอดฝีมือบนประกาศเซียวเหยา
เขารู้ดีว่าหากต้องการจะเอาชนะยอดฝีมือเช่นนี้ เขาจำเป็นต้องลงมือโดยไม่ทันตั้งตัว ใช้ความสามารถที่ไม่มีใครรู้จนถึงขีดสุด นี่เป็นเพราะเมื่อใดที่ความสามารถและกลยุทธ์ที่ไม่มีใครรู้ถูกนำมาใช้ ก็จะไร้ประสิทธิภาพต่อยอดฝีมือ
นี่หมายความว่าเขาจะใช้กลยุทธ์นี้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ในสำนักฝึกหลวง เขาได้ใช้หินดำกับกระบี่หลายพันเล่มเอาชนะหลินกงกง แต่ตอนนี้เขาไม่อาจใช้สิ่งนั้นเอาชนะยอดฝีมือในระดับเดียวกันนั้นได้อีก
เขารู้ว่าหากเขาต้องการจะสังหารโจวทง เขาต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่แท้จริงมากมาย ดังนั้นในเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาได้ทำการอนุมานมากมาย ตัดสินใจวางแผนการมากมาย คิดคำนวณการต่อสู้กับเสี่ยวเต๋อ เซียวจาง โจวทง จงซานอ๋อง เซียงอ๋อง…
เขาถึงขนาดคิดว่าหากต้องสู้กับหวังผ้อจะหาโอกาสสักเล็กน้อยได้อย่างไร
คนที่ชอบอ่านหนังสือ ชอบใช้ความคิด ชอบจดบันทึก ชอบแก้ปัญหา ก็มักจะเตรียมพร้อมมากกว่าคู่ต่อสู้และมักจะได้รับชัยชนะอย่างคาดไม่ถึง
หวังจื่อเช่อเพิ่งเริ่มบำเพ็ญเพียรเมื่อเข้าวัยกลางคน แล้วเหตุใดเขาถึงได้แทบไม่เคยพ่ายแพ้หลังจากก้าวขึ้นสู่เวที
ทำไมตอนที่โก่วหานสือยังอยู่ขั้นทะลวงอเวจีทุกคนถึงเชื่อว่าเขาจะเข้าสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวได้สำเร็จ
เฉินฉางเซิงก็เป็นคนแบบนี้เช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงสำเร็จเช่นกัน
ความสำเร็จที่พูดถึงนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาเอาชนะเสี่ยวเต๋อ แต่หมายความว่าเขาสำเร็จในการทำให้การต่อสู้เป็นไปตามที่เขาอนุมานไว้
ในฐานะยอดฝีมือเผ่าปีศาจรุ่นเยาว์ เสี่ยวเต๋อมีการตอบสนองอย่างรวดเร็วมาก การประเมินสถานการณ์ก็เป็นไปอย่างถูกต้องแม่นยำ
เมื่อกระบี่ของเฉินฉางเซิงที่เปี่ยมไปด้วยเจตจำนงอันเด็ดเดี่ยวแทงเข้ามาที่ร่างของเขา มือซ้ายของเสี่ยวเต๋อก็พุ่งผ่านลมหิมะ ฟาดลงใส่เฉินฉางเซิง
ร่างของเสี่ยวเต๋อแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินหรือเหล็ก อาวุธทั่วไปและการโจมตีจากผู้บำเพ็ญเพียรขั้นกลางระดับรวบรวมดวงดาวลงไปไม่อาจทำร้ายเขาได้
แต่เขาไม่รู้ว่ากระบี่ของเฉินฉางเซิงนั้นแหลมคมกว่าที่บรรยายเอาไว้บนอันดับร้อยศาสตรา และความเข้าใจในกระบี่ของเฉินฉางเซิงรวมถึงคุณภาพของปราณแท้นั้นเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับรวบรวมดวงดาวขั้นต้นมากนัก
เสียงแผ่วเบาดังขึ้น กระบี่สั้นแทงเข้าสู่ฝ่ามือของเสี่ยวเต๋อราวกับกระดาษแข็งตัดลงไปบนก้อนเค้ก แต่ก็ไม่อาจแทงลึกลงไปได้
เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากริมฝีปาก
แม้แต่ตอนนี้ เขาก็ยังเชื่อว่าการตอบสนองของตนเองนั้นถูกต้อง
แม้ว่ากระบี่ของเฉินฉางเซิงอาจแทงทะลุผ่านมือของเขาและแทงเข้าสู่หน้าอกมาได้ ตัวเฉินฉางเซิงเองก็ไม่อาจที่จะจากไปได้ อย่างน้อยก็ชั่วขณะหนึ่ง
เมื่อหมัดของเสี่ยวเต๋อตกลงมา ก็จะบดขยี้ใบหน้าของเฉินฉางเซิงจนกลายเป็นก้อนเนื้อเลอะเลือน
เฉินฉางเซิงไม่อาจเลี่ยงหมัดนี้ได้อย่างแท้จริง หนีไปยิ่งเป็นไปไม่ได้ ต่อให้เขายอมปล่อยกระบี่สั้น ต่อให้เขาใช้ย่างก้าวหยั่งเทวา
เขาเคลื่อนไหวเร็วเกินไป ใช้พลังทั้งหมดลงไป เมื่อเขาตัดสินใจที่จะมุ่งไปข้างหน้าแล้วเขาจะถอยหนีได้อย่างไร ดูเหมือนกับว่าเขาจะส่งตัวเองเข้าหาหมัดของเสี่ยวเต๋อ
แต่หมัดของเสี่ยวเต๋อก็ไม่อาจตกลงบนใบหน้าของเฉินฉางเซิง
ร่มกระดาษที่ดูเก่าโทรมกางออกจากมือซ้ายของเฉินฉางเซิง ร่มกางออกด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าฟาดป้องกันร่างของเขาเอาไว้
หมัดของเสี่ยวเต๋อตกลงบนร่ม
เสียงตุ๊บดังกระหึ่ม!
ร่มโค้งลงแต่ก็ไม่ขาดออก
พลังที่เหนือจินตนาการแผ่ออกมาจากหมัดของเสี่ยวเต๋อเข้าสู่ร่มและเข้าสู่ร่างของเฉินฉางเซิง
พลังอันเกรี้ยวกราดนี้ไม่อาจที่จะยักย้ายถ่ายเทได้ เป็นการแสดงออกถึงความแข็งแกร่งของเสี่ยวเต๋อ เฉินฉางเซิงไม่อาจทนรับไว้ได้และถอยหลังไปหนึ่งก้าว
น้ำแข็งใต้เท้าของเขาแตกเสียงดังเปรี๊ยะ ถนนใต้น้ำแข็งก็เช่นกัน
เลือดคำหนึ่งพุ่งขึ้นจากลำคอ รสชาติค่อนข้างหวาน
กลายเป็นว่าหนึ่งก้าวไม่เพียงพอ
เขาถอยไปอีกก้าว
ก็ยังไม่พอ
ความแข็งแกร่งที่ถ่ายทอดผ่านร่มกระดาษทองนั้นน่าหวาดหวั่นและเกินต้านทาน
เขาถอยหลังอย่างต่อเนื่อง รองเท้าลอยขึ้นจากพื้นประดุจก้อนหินที่ถูกโยนไปในอากาศ
……
……
หมัดของเสี่ยวเต๋อดูง่ายดายแต่บรรจุไว้ด้วยการหล่อหลอมอย่างยากลำบากมาชั่วชีวิต
การโจมตีเต็มกำลังของยอดฝีมือบนประกาศเซียวเหยาน่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง
เฉินฉางเซิงถูกซัดปลิวไป ความเร็วไม่น้อยไปกว่าตอนที่เขาใช้กระบี่สันดาปพุ่งตรงมา
โชคยังดีที่เขาลอยไปเร็วมากจนเขาสามารถหลบเจตจำนงกระบี่ที่แข็งแกร่งด้านหลังได้อย่างหวุดหวิด
อย่างน้อยเขาก็หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บได้ เจตจำนงกระบี่พวกนั้นทิ้งไว้แค่รอยฉีกขาดเล็กน้อยบนเสื้อผ้า
เขาตกลงบนหิมะที่ปลายอีกฝั่งของถนน
ร่างของเขาโอนเอนราวกับจะทรุดลงได้ทุกขณะ
เขาเดินตรงไปอย่างเด็ดเดี่ยว การปะทะครั้งแรกเขาได้โจมตีด้วยกระบี่สันดาปโดยอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวแต่ก็ไม่อาจที่จะเอาชนะได้ เขาถูกบีบให้ต้องถอยหลังหนึ่งก้าว สองก้าว สุดท้ายก็ถอยไปหลายสิบก้าว
เป็นใครก็มองออกว่าเขาพ่ายแพ้อย่างยับเยิน
ทว่าเฉินฉางเซิงไม่คิดเช่นนั้น
เสี่ยวเต๋อก็ไม่คิดเช่นนั้น เพราะเขารู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าเฉินฉางเซิงจงใจทำเช่นนี้
การที่เขาหลีกการโจมตีของเจตจำนงกระบี่สิบกว่าสายได้นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นการคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เสี่ยวเต๋อไม่ยินดีเป็นอย่างมาก
และตอนที่เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ท้อง ความรู้สึกไม่ยินดีก็ลึกล้ำยิ่งขึ้น
เขาพุ่งผ่านหิมะบนถนนมาพร้อมกับเสียงคำรามอย่างโมโหโทโส
แต่เขาพุ่งใส่ความว่างเปล่า
แสงเจิดจ้าแผ่ออกมาจากกระบี่ไร้ราคี ระเบิดเจตจำนงกระบี่ที่ทะลุทะลวงไปทั้งถนน
เฉินฉางเซิงใช้กระบี่สันดาปอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็ใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาด้วย
ในครั้งนี้เขาไม่ได้พยายามบุกไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญอีกครั้ง แต่พุ่งผ่านหิมะไปอีกมุมหนึ่ง
เขาเป็นเหมือนกับควันกลุ่มหนึ่ง สายฟ้าเส้นหนึ่ง
ที่ตรงนี้ก็มีกำแพงเช่นกัน แต่กำแพงนี้ไม่ได้บังกิ่งเปลือยเปล่าของต้นไห่ถังและลานบ้านด้านหลัง อันที่จริงไม่มีใครรู้ว่าด้านหลังกำแพงคืออะไร
เฉินฉางเซิงพุ่งผ่านกำแพงนั้นไป
ตามมาด้วยเสียงกำแพงถูกทะลวงชั้นแล้วชั้นเล่าที่ดังก้องไปทั่วถนน
มีลานบ้านและเรือนมากมายบนถนน แต่ไม่มีที่แห่งใดเป็นที่ซึ่งเขาต้องการจะไป
แต่อาคารเหล่านี้ล้วนเชื่อมต่อกันผ่านกำแพง ดังนั้นหากเขาทะลวงผ่านกำแพงต่อไป เขาก็ย่อมต้องพุ่งเข้าสู่สถานที่ซึ่งเขาต้องการจะไป
ลานบ้านที่มีต้นไห่ถัง
เมื่อเขารู้อยู่เสมอว่าลานบ้านแห่งนี้อยู่ตรงไหน ดังนั้นทิศทางของเขาย่อมไม่ผิดพลาด
ถอยหรืออ้อมไปไม่ได้หมายความว่ายอมแพ้ แต่เป็นการเลือกวิธีไปข้างหน้าที่ต่างออกไป
นั่นคือสิ่งที่เฉินฉางเซิงคิด ดังนั้นเขาจึงทำเช่นนี้
ท้องฟ้าพร่างดาวมักสงสารผู้เยาว์ที่กล้าหาญและเตรียมตัวอยู่เสมอ
เขาทำสำเร็จอีกครั้ง
ต้นไห่ถังสะท้อนอยู่ในดวงตา ตามมาด้วยเงาของกระบี่
แสงดาวส่องประกายอยู่ในแขนเสื้อของมือสังหาร เป็นมือสังหารขั้นรวบรวมดวงดาวอีกคนหนึ่ง อาจมาจากหอความลับสวรรค์
แม้อยู่ตรงหน้าการโจมตีที่น่ากลัวและชั่วร้ายเฉินฉางเซิงก็ไม่หยุดหรือลดความเร็วลง
ร่มกระดาษทองกางออกอีกครั้งดังพรึบ กั้นหิมะที่ตกลงมาจากต้นไห่ถังและกระบี่เล่มนั้น
เจตจำนงกระบี่จำนวนเล็กน้อยหลุดผ่านขอบของร่มและฉีกเสื้อผ้าบนไหล่ของเขา
ประกายกระบี่ส่องแสงออกจากมือ ถูกร่มกระดาษทองบดบังเอาไว้ มันสร้างแผลลึกบนลำคอของมือสังหาร
มือสังหารจากหอความลับสวรรค์ล้มลงเอามือกุมลำคอเอาไว้
มือสังหารผู้นี้อาจเคยฆ่าคนมีชื่อเสียงมาหลายคน และหากผู้คนได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาพวกเขาต้องตะลึงเป็นแน่
แต่เฉินฉางเซิงไม่แม้แต่จะเหลียวมองตอนที่เขาพุ่งตรงต่อไป
ไม่ใช่เพราะเขาคุ้นเคยกับมือสังหารที่เก่งกาจที่สุดในโลกกับมือสังหารอันดับสามของโลก
ทว่าเป็นเพราะสิ่งเขาต้องการที่สุดในตอนนี้ก็คือเวลา
เสี่ยวเต๋อสามารถตามมาได้อย่างรวดเร็ว
เซียวจางก็อาจปรากฏตัวขึ้นได้ทุกขณะ
ยอดฝีมือพวกนี้อาจล้อมลานบ้านอีกครั้งได้ทุกขณะ
ที่สำคัญก็คือ หวังผ้อจะสามารถถ่วงเวลาเถี่ยซู่ไว้บนถนนได้นานแค่ไหน
เขาไม่ล่วงรู้
ต้นไห่ถังส่ายไหว ไม่มีใบไม้ให้ร่วงดังนั้นจึงมีแต่กิ่งเปล่าเปลืองหักร่วงลงมากิ่งสองกิ่ง
ในตรอกด้านนอกลานบ้าน เสี่ยวเต๋อส่งเสียงร้องอย่างโกรธเกรี้ยวยาวนาน
ปราณที่ทรงพลังหลายสิบสายพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง
เฉินฉางเซิงอยู่ที่บันไดหินแล้ว
ด้านบนคือเก้าอี้มีที่เท้าแขน
บนเก้าอี้มีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่
ชายคนนี้สวมชุดขุนนางสีแดงเข้ม
เขาดูเหมือนจะนั่งอยู่ในทะเลเลือด
เขาผู้นั้นก็คือโจวทง