ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 53 คนที่เข้าใจเจ้าที่สุดในโลกมาถึงแล้ว
สาวชาววังเดินไปที่หน้าต่าง มองไปที่ลานบ้านใต้แสงตะวันอย่างเงียบงัน
แสงแดดสาดส่องต้องใบหน้านาง ทว่าไม่ทำให้เกิดความอบอุ่นได้มากนัก ความซีดเซียวเย็นเยียบซ่อนอยู่ใต้ใบหน้างดงามนั้นอยู่เสมอ ไม่อาจกำจัดออกไปได้
ห้องครัวเงียบมาก ภาพภายในยิ่งประหลาดอย่างยิ่ง ค่อยหมักตัวอยู่ใต้แสงตะวัน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งยาก็เสร็จเรียบร้อย หญิงคนนั้นยกหม้อยาวางลงใส่ถังที่ใส่น้ำเย็นเยียบเอาไว้และรอให้น้ำยาเย็นตัวลง
หญิงงามชาววังผู้นี้ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องวิชาทางจิตเช่นเดียวกับโจวทง เป็นไปได้อย่างสูงว่าที่หญิงคนนั้นไม่เห็นสาวงามที่ริมหน้าต่างเพราะจิตของนางถูกภาพลวงตาทำให้สับสน
ในที่สุดหญิงคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองนาง พิสูจน์ว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องลวงหากแต่เป็นจริงทั้งหมด
หญิงชาววังพิงหน้าต่าง โบกมือเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่าให้ทำทุกอย่างตามปกติ
……
……
ยาไม่อาจให้เย็นชืดก่อนดื่ม เพราะต้องรักษาประสิทธิภาพของตัวยาด้วยความอุ่น ถ้วยยาถูกนำมาตรงหน้าโจวทงทั้งที่ยังคงมีไอร้อนลอยออกมา
โจวทงรู้สึกหลงใหลกับความร้อนที่มากับไอนี้ ความรู้สึกนี้ทำให้เขารู้สึกมีพลัง อย่างไรก็ตาม ตอนที่เขาดื่มยาในถ้วยจนหมด เขาก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง เพราะมียาลวกเหงือกและเพดานปาก เขาไม่ได้โทษผู้หญิงคนนั้น แต่ไม่พอใจกับตัวเอง เขารีบร้อนมากเกินไป
แม้ว่าไม่มีแผลเกิดขึ้นจากการลวกนี้ แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงใช้ลิ้นเลีย
ลิ้นนั้นรับรสที่ค่อนข้างหวานปะแล่ม คล้ายคลึงกับรสของสนิมอยู่บ้าง
เขารู้ว่านี่เป็นรสของเลือดและอดที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้ เขานำเอากระจกออกมาจากโต๊ะและสำรวจภายในปากของตัวเอง
เขาไม่พบสิ่งประหลาดอันใด แค่ไรเหงือกค่อนข้างหลวมและมีเลือดไหลออกมา
รสชาติของเลือดค่อยๆ หายไปทิ้งไว้แค่รสขมของยา เขาหยิบถั่วเคลือบน้ำตาลในจานบนโต๊ะขึ้นมาสองเม็ด โยนเข้าปากแล้วเริ่มเคี้ยวอย่างขันแข็ง
นับตั้งแต่เขายังเด็กมาก เขาก็กลัวการดื่มยา ด้วยว่ามันขมเกินไป ดังนั้นทุกครั้งที่กินยาเขาต้องเตรียมขนมหวานเอาไว้เสมอ
ตอนที่เขาเคี้ยวถั่วเคลือบน้ำตาล เขาก็คิดเรื่องสิ่งที่เขาได้พบเจอมาในวันนี้
เซวียเหอใช้เวลาตลอดปีนำทัพในทุ่งหิมะแดนเหนือ จึงเป็นที่คาดเดาได้ว่าเขาจะหาพิษเช่นนี้ได้แต่เขาวางยาพิษตอนอยู่ในคุกใต้ดินได้อย่างไร
เซวียเหอต้องการจะวางยาพิษเขาให้ตายเพื่อล้างแค้นให้กับเซวียสิ่งชวน และทำให้โลกได้รู้ว่านี่เป็นการลงโทษจากวงจรของวิธีสวรรค์อย่างนั้นหรือ
ปัญหาก็คือการวางยาพิษเขาให้ตายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นบนริมฝีปากโจวทง สัมผัสถึงความภูมิใจปรากฏอยู่ในดวงตาอันมืดมิด
ถั่วเคลือบน้ำตาลรสชาติดี ข้อเสียเดียวของมันก็คือมันติดฟันอยู่บ้าง เขาหยิบไม้จิ้มฟันที่ทำจากเงินอย่างประณีตออกมา เขี่ยฟันพลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาเป็นกังวล
เซวียเหออาจจะหนีจากคุกโจวไปแล้วแต่ก็ไม่สำคัญ แม้ว่าโลกนี้จะกว้างใหญ่ก็ไม่มีที่ให้คนตระกูลเซวียในตอนนี้
โจวทงมองออกไปนอกหน้าต่างมองไปยังลานบ้านของเพื่อนบ้านและคิดในใจ หลังจากเรื่องนี้จบลง ข้าจะจับเซวียเหอให้เร็วที่สุดและวางยาพิษมันจนตาย ให้พิษออกฤทธิ์ช้าๆ ช้ามากๆ
เขาคิดไว้แล้วว่าพิษชนิดใดที่จะทำให้เซวียเหอตายอย่างช้าที่สุดและเจ็บปวดที่สุด
เสียงแตกเบาๆ ดังมาจากข้างในปาก หยุดกระบวนความคิดที่สดใสงดงามอย่างที่สุดลง
ฟันซี่หนึ่งหลุดออกจากราก ร่วงลงบนมือเขาเงียบๆ ปลายรากยังเปื้อนไปด้วยเลือด เป็นภาพที่ชั่วร้ายอย่างที่สุด
ครั้นจ้องไปที่ฟันซี่นี้ ก็รู้สึกว่าร่างที่เพิ่งอบอุ่นกลับมาเย็นอีกครั้งหนึ่ง
เขาคิดอยู่เงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็มองไปที่ตัวเองในกระจกอีกครั้ง
ภาพที่เห็นทำให้เขาตกใจกลัวสุดใจ
เหงือกของเขากลายเป็นสีม่วงดำ ฟันหลวมอย่างมากแทบจะหลุดลงมาได้หากมีลมเพียงแผ่วเบาพัดมา
ฟันของเขาส่งความเจ็บปวดที่ชัดเจนและยากทนทานกว่าเดิม ทำให้ร่างกายสั่นสะท้านอีกครั้ง
เขาต้องการแค่จะเขี่ยน้ำตาลออกจากร่องฟันแต่กลับทำให้ฟันหลุดออกมา
ปลายไม้จิ้มฟันเงินอันประณีตกลายเป็นสีดำราวกับถ่านหิน
มันต้องเป็นภาพลวงตา เขาพูดกับตัวเอง
เขามีประสบการณ์ในการใช้พิษมามากดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าไม่มีความผิดพลาดในการประเมินของตัวเอง แม้ว่าวิธีที่เขาใช้แก้พิษจะไม่อาจขับพิษทั้งหมดออกจากร่างกาย อย่างน้อยก็ต้องไม่ล้มเหลวในการหยุดยั้งพิษ เขาต้องมีเวลาเพิ่มขึ้นในการแก้พิษอย่างช้าๆ
แล้วทำไมหลังจากดื่มยาเข้าไป ไม่เพียงแต่พิษในร่างกายไม่ถูกควบคุมไว้ แต่กลับรุนแรงยิ่งกว่าเดิมจนส่งผลกระทบถึงฟันของเขา
โจวทงไม่อาจเข้าใจและตกอยู่ในความเงียบงัน
แม้แต่ในตอนนี้เขาก็ไม่คิดว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับยา หรืออาจมีบางอย่างเกิดขึ้นตอนต้มยา
เขาไม่เคยสงสัยในตัวหญิงผู้นี้
เขานำยาออกมาสองเม็ดและกลืนลงไป ควบคุมการกระจายของพิษเป็นการชั่วคราว
เรารู้สึกสับสนอยู่บ้าง สายตาพร่าเลือน
หากสายตาของเขาไม่พร่า เขาจะเห็นหญิงผู้นั้นเดินไปที่ประตูของลานบ้านเล็กๆ นี้ได้อย่างไร
ห่อผ้าที่หุ้มด้วยผ้าลูกไม้สีฟ้าอยู่ในวงแขนของหญิงผู้นั้น
เป็นห่อผ้าเล็กๆ เรียบง่าย ไม่อาจบรรจุสิ่งใดได้มากนัก
แน่นอนว่าเขาซื้อของมีค่ามากมายให้นางช่วงหลายปีมานี้ ห่อผ้าเล็กๆ จะเก็บพวกมันทั้งหมดได้อย่างไร
ดังนั้นนางคงไม่มีเจตนาที่จะจากไป นางคงไม่คิดที่จะทิ้งเขา นางคงไม่เป็นปัญหา นางคงไม่ได้วางยาพิษเขา
ดังนั้นตาของเขาต้องฝาดไปแน่ๆ พิษนี้ร้ายแรงเกินไป เขาถึงกับเริ่มมองเห็นภาพลวงตา
โจวทงกล่าวกับตัวเองเช่นนี้แล้วจากนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้
ระยะห่างระหว่างบ้านและประตูหลักแค่สิบกว่าจั้ง ลานบ้านตรงกลางเต็มไปด้วยแสงแดด
เขากับหญิงผู้นั้นมองกันและกัน โดยมีพื้นดินที่อาบไปด้วยแสงแดดอยู่ตรงกลาง
สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นสงบ อบอุ่นและสุขุม นางโค้งคำนับเล็กน้อย ดังเช่นที่นางทำทุกครั้งเมื่อเขากล่าวลา เพียงแต่วันนี้นางเป็นฝ่ายที่กล่าวลา
กลายเป็นว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา
ทำไม โจวทงไม่ได้เอ่ยปากถามเพราะเขารู้ดีว่ามีเหตุผลมากมายนับไม่ถ้วน แต่เมื่อเขาไม่เคยตระหนักถึงมันมาก่อน ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ในตอนนี้
สิ่งที่โหดร้ายที่สุดในโลกนี้ก็คือตอนที่เราไม่ต้องการรู้คำตอบ แต่กลับมีคนยืนกรานจะบอกคำตอบกับเรา
“นางไม่ได้ชอบเจ้า นางไม่เคยชอบเจ้า”
หญิงงามชาววังเดินมาที่ประตูและกล่าว “นางแค่กลัวเจ้า จึงไม่กล้าจากไป”
ทำไมวันนี้นางถึงไม่กลัวขึ้นมา ก็ย่อมเป็นเพราะว่าเขากำลังจะตาย
โจวทงไม่ได้ตกใจกับการปรากฏตัวของนาง
อันที่จริง เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมยาที่เขาดื่มถึงได้ไร้ผล มีคนใส่ยาพิษลงไปในยา
เมื่อเข้าใจเรื่องนี้ เขาก็รู้ว่ามีคนอื่นอยู่ในลานบ้านแห่งนี้ และเขาก็ยังรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร
คนที่เข้าใจท่านที่สุดมักไม่ใช่ญาติ มิเช่นนั้นเซวียสิ่งชวนคงไม่ตายอย่างอนาถเพียงนั้น ถึงขนาดถูกทิ้งศพไว้กลางทุ่งหลังจากที่ตายไป
และคนที่เข้าใจท่านที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูดังที่มักเขียนกันในหนังสือ เพราะท่านต้องเป็นกังวลว่าศัตรูจะรู้ความลับและต้องหาวิธีมากมายมาปิดบังเอาไว้
คนที่เข้าใจท่านที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องเป็นสหายท่าน การเป็นสหายกันจนผมหงอกขาวนั้นเป็นเรื่องที่งดงาม ทว่าท่านอาจใช้เวลาร่วมกันน้อยเกินไป ระยะห่างระหว่างเมืองของพวกท่านอาจไกลเกินไป ตอนที่ท่านได้พบกัน ท่านก็เอาแต่ดื่มสุราพูดถึงเรื่องเก่า เดาเรื่องอนาคต สบถว่าอาจารย์ในอดีตหรือผู้มีอำนาจในปัจจุบัน มีโอกาสน้อยนักที่จะพูดกันในเรื่องที่ลึกซึ้ง
ดังนั้นคนที่เข้าใจท่านที่สุดส่วนมากแล้วจะเป็นหุ้นส่วนที่ทำงานร่วมกับท่าน
ปีแล้วปีเล่า วันแล้ววันเล่าที่ทำงานร่วมกัน คงเป็นการยากที่จะไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ท่านดื่มกินร่วมกันหลายครั้ง พูดคุยกันในหลายเรื่องอย่างลึกซึ้ง มีการแข่งขันกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ท่านจดจำเรื่องเหล่านั้นได้ดี เตรียมที่จะเอาไปใช้ในอนาคต ยกตัวอย่างเช่นเขาอาจพบว่าร้านอาหารที่ท่านมักไปซื้อข้าวกล่องอยู่ไหนและท่านอาจรู้ว่าร้านบะหมี่ที่เขาชอบคือร้านไหน เขาอาจรู้ว่าท่านเกลียดหัวหน้าหน่วยคนไหนที่สุด ท่านอาจรู้ว่าเขาชอบรายการใดมากที่สุด เขาอาจรู้จักหญิงสาวทุกคนที่ท่านเคยคุยด้วยในช่วงหลายปีมานี้ในขณะที่ท่านรู้ว่าเขานอกใจไปกี่ครั้งในช่วงหลายเดือนมานี้ ตอนเช้าหลังวันเทศกาลพวกท่านถึงกับออกมาจากเหลาสุราเดียวกันส่งยิ้มให้กันเพราะเหลาสุรานั้นเป็นที่ที่พวกท่านได้ส่วนลดมากที่สุด
ว่าตามเหตุผล โจวทงไม่มีหุ้นส่วนที่ทำงานร่วมกัน กรมอาญาเป็นหน่วยงานพิเศษอยู่ใต้การจัดการของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์โดยตรง ไม่จำเป็นต้องติดต่อกับผู้ใดในราชสำนัก เฉิงจวิ้นกับแปดพยัคฆ์ที่เหลือและทหารม้าเกราะแดงล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา อย่างไรก็ตาม ยังมีบุคคลพิเศษอยู่ในโลกนี้เช่นกัน อย่างเช่นสาวงามชาววังผู้นี้
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้พึ่งพาเซวียสิ่งชวน เทียนฉุย สวีซื่อจีและขุนพลเทพคนอื่นเพื่อควบคุมกองทัพต้าโจว เพื่อควบคุมราชสำนักและเพื่อปกครองประชาชนนับล้านล้านคนของต้าโจว นางได้พึ่งพาคนสองคนเป็นหลัก คนแรกก็คือโจวทงและอีกคนย่อมเป็นม่ออวี่
พวกเขาเป็นเสมือนแขนซ้ายขวาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ในราชสำนักและมักถูกประณามร่วมกันในฐานะตัวร้าย พวกเขาทำงานร่วมกันมาหลายปี และแม้ว่าไม่อาจพูดได้ว่าพวกเขาสื่อใจถึงกัน ทว่าพวกเขาก็มีความเข้าใจร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญหน้ากับตระกูลเทียนไห่หรือรับมือกับจิตใจอันแข็งแกร่งของกองทัพ ความเข้าใจร่วมกันนี้เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเสมอ
ความเข้าใจร่วมกันนี้หมายความว่าทั้งสองมีความเข้าใจในกันและกันอย่างล้ำลึก
โจวทงรู้ว่าในดวงจิตของม่ออวี่มีใจที่กบฏและความไม่ยินยอมฝังอยู่ในส่วนลึกที่สุด และยังพอเดาความคิดของนางเกี่ยวกับคนบางคนได้อีกด้วย ม่ออวี่รู้ว่าโจวทงซ่อนความกลัวต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เอาไว้เป็นอย่างดี รวมถึงลานบ้านเล็กๆ ที่อาบไปด้วยแสงแดดแห่งนี้ ดังนั้นนางจึงมายังที่แห่งนี้ในวันนี้เพื่อมอบการโจมตีถึงตายให้กับเขา
……
……
เมื่อเห็นม่ออวี่เดินผ่านประตูมาโจวทงก็สงบใจลงอย่างรวดเร็ว เร็วกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก ไม่กี่วันหลังจากการยึดอำนาจในสุสานเทียนซู เขาได้สั่งให้กรมอาญาสืบหาร่องรอยและยืนยันที่อยู่ของนางในแดนใต้ บางทีอาจเพราะเหตุนี้เขาจึงเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าเขาจะได้พบนางในจิงตู
เขากล่าวกับม่ออวี่ “ข้ารู้ว่าเจ้ากลับมาที่จิงตู แต่ข้าไม่คาดคิดว่าจะเป็นตอนนี้”
ม่ออวี่ถาม “ทำไม”
โจวทงอธิบาย “เพราะเจ้าเข้าใจดีว่าหากเจ้ากลับมาที่จิงตู เจ้าต้องตายอย่างแน่นอน”
ม่ออวี่จ้องมองเขาและกล่าว “ข้าไม่สนใจเรื่องนั้น ตราบใดที่เจ้าตายต่อหน้าข้า”
โจวทงไม่รู้ว่าเฉินฉางเซิงก็พูดแบบเดียวกันเมื่อไม่นานมานี้
เขามองไปที่ม่ออวี่และถาม “เจ้ากลับมาเพื่อล้างแค้นให้เหนียงเหนียงอย่างนั้นหรือ”
“ข้าไม่มีความสามารถ เจ้าเองก็ไม่ใช่ศัตรูของข้า เจ้าไม่มีค่าเช่นนั้น”
ในสายตาของม่ออวี่ เขาเป็นสุนัขที่จักรพรรดินีเลี้ยงไว้ “ข้ามาเพื่อลงโทษสุนัขของเหนียงเหนียงแทนนาง”
หลังจากหยุดอยู่ครู่หนึ่งโจวทงก็ถาม “เจ้าเตรียมจะลงโทษสุนัขตัวนี้อย่างไร”
ม่ออวี่แนะนำ “โยนลงหม้อต้มดีไหม ข้าคิดว่าไม่เลวเลย”
โจวทงกล่าวกับนางอย่างจริงจัง “ข้าไม่ได้จับกระต่ายตัวนั้น”
“ข้าไม่ได้หมายถึง ‘ฆ่าสุนัขหลังจับกระต่าย[1]’ ข้าแค่ไม่มีประสบการณ์ในการทรมานคนเหมือนเจ้า ดังนั้นข้าจึงคิดได้แค่ว่าจะต้มเจ้าจนตาย”
ม่ออวี่ถามอย่างจริงใจ “เจ้ามีวิธีอื่นแนะนำหรือไม่”
[1] สำนวนจีนสมัยรณรัฐ หมายถึง ฆ่าคนไว้ใจเมื่อหมดประโยชน์แล้ว