ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 62 บทสนทนาในคืนหิมะโปรย
กลางดึกความเย็นโหดร้ายกว่าเดิม ชั้นน้ำแข็งและหิมะรอบบ่อน้ำแข็งราวกับหิน
มือเล็กๆ ปรากฏขึ้นที่ขอบบ่อ สีขาวบริสุทธิ์ใต้แสงโคมไฟจากเมืองพระราชวัง แม้แต่หิมะที่ตกจากฟากฟ้าก็ยังไม่ขาวและเย็นเช่นมือข้างนี้
มือเล็กๆ ออกแรงหิมะแตกกระจาย หญิงสาวปีนขึ้นมาจากบ่อ ภาพนี้เป็นเสมือนภาพจากหนังสยองขวัญทีเดียว
หญิงสาวยืนอยู่กลางหิมะ เมื่อลมหายใจนางปะทะกับอากาศ ก็เปลี่ยนไปเป็นหมอกผลึก ไม่ใช่เพราะลมหายใจของนางอุ่นแต่เพราะว่ามันเย็นเกินไป
นางสวมชุดสีดำที่เก่าโทรมอยู่บ้าง ขัดกับโลกที่ขาวไปด้วยหิมะอย่างมาก
หลังจากผ่านไปหลายร้อยปี จี๊ดจี๊ดก็สามารถออกจากโลกใต้ดินที่อย่างน้อยก็สำหรับนางแล้วแคบเล็กไปบ้าง แล้วก้าวขึ้นสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง
โลกมนุษย์ในตอนนี้ได้ลืมไปแล้วว่ามีมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งโหดเหี้ยมจากเมื่อหลายปีก่อน และนางก็พบว่าโลกมนุษย์ช่างประหลาดอย่างมาก
ดวงจิตของนางถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่บีบให้ออกจากร่างมังกรและใส่เข้าไปในหยกสมประสงค์ เพื่อที่นางจะได้ติดตามเฉินฉางเซิงเข้าไปในสวนโจว ในเวลาเช่นนั้นนางได้เห็นถนนหนทางในจิงตู ต้นไม้เขียวริมทะเลสาบ เวิ่นสุ่ยที่คึกคักวุ่นวาย หุบเขาในยามสนธยา อย่างไรก็ตามทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้านางในตอนนี้ก็ยังรู้สึกแปลกไปอยู่ดี
นางไม่ใช่ดวงจิตอีกต่อไป แต่เป็นร่างจริงสมบูรณ์
เท้าเปลือยของนางสัมผัสได้ถึงความอ่อนนิ่มและอบอุ่นของหิมะ
ปลายผมสัมผัสได้ถึงสายลมฤดูหนาวอันอ่อนโอนและน่ารื่นรมย์
นางไม่ใช้ดวงจิต ทว่าใช้ดวงตาตนเองมองเห็นหิมะจริงๆ เห็นท้องฟ้าพร่างดาวของจริงด้านหลังเมฆหิมะ โอ้ ดวงดาวนับไม่ถ้วน แม้จะผ่านไปหลายร้อยปีพวกเจ้าก็ยังอยู่ที่เดิม ยังคงส่องสว่างด้วยแสงสีเงินงดงาม แต่บ้านเกิดของข้าบนเกาะทางใต้ยังคงเหมือนเดิมหรือไม่กันนะ
สัมผัสถึงความแปลกประหลาดและสัมผัสของความจริงพัวพันและปะกันกันอย่างต่อเนื่องอยู่ในใจนาง ในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกประหม่าอย่างแท้จริง
เขาไม่รู้ว่าในอนาคตอันใกล้นางจะกลายเป็นตำนานใหม่ของโลกมนุษย์ แม้ว่าตัวตนของนางในฐานะมังกรที่สูงศักดิ์และแข็งแกร่งก็เป็นตำนานในโลกมนุษย์อยู่แล้ว นางก็ยังหวาดกลัวต่อโลกที่แปลกประหลาดนี้
โลกนี้เป็นโลกของมนุษย์ โลกมนุษย์มีแต่มนุษย์เต็มไปหมด และมนุษย์เป็นสิ่งที่นางหวาดกลัวที่สุด
สิ่งมีชีวิตใด สูงศักดิ์หรือต่ำต้อย แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ในยามที่อ่อนแอที่สุดซับซ้อนที่สุดน่ากลัวที่สุดมักนึกถึงสิ่งสนับสนุนที่คุ้นเคยอยู่เสมอ สิ่งสนับสนุนนี้อาจเป็นต้นไม้ ก้อนหิน บางทีอาจเป็นหน้าต่าง อาจเป็นคนผู้หนึ่ง
ใจของโจวทงตอนใกล้ตายสับสน ดังนั้นมันรู้แค่ว่าจะคลานไปหาตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง
ในครั้งนี้ ใจของนางก็มีเพียงชื่อเดียวเท่านั้น เฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงเป็นคนของโลกนี้ที่นางคุ้นเคยที่สุด ที่นางไว้ใจที่สุด นอกจากนี้ยังมีอีกบางเหตุผลที่เป็นความลับของนาง นางเชื่ออย่างหนักแน่นว่าเขาต้องรับผิดชอบนาง ดังนั้นหลังจากนางได้สติกลับมา นางก็เริ่มมุ่งไปโดยไม่ลังเลสู่สำนักฝึกหลวงที่อยู่ไม่ไกลออกไป เท้าเปลือยเปล่าของนางย่ำไปบนหิมะเป็นทาง
……
……
สำนักฝึกหลวงและสวนร้อยหญ้าที่อยู่ข้างเคียงต่างถูกคุ้มกันอย่างหนาแน่น ทหารม้านิกายหลวงและกองทัพจากราชสำนักล้อมพื้นที่เอาไว้หมด ทั้งสองฝ่ายต่างจ้องมองกันเงียบๆ อยู่ในค่ายของตนเอง บรรยากาศตึงเครียดอย่างมาก ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
สถานการณ์ในจิงตูเปลี่ยนไปอยู่เสมอ หลังจากสังฆราชกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว ก็ยากที่จะบอกได้ว่าผู้คนจะยังคงโหยหา แต่เป็นไปได้ว่าจะค่อยๆ เริ่มย้ายไปทางฝั่งราชสำนัก อาจารย์นักเรียนของสำนักฝึกหลวงจำนวนมากออกไป เหลือไว้แค่หนึ่งในสามเท่านั้น ศิษย์หญิงสิบแปดคนจากสถานศึกษาหนานซีกับซูม่ออวี๋ยังอยู่แต่พวกเขาเข้าใจว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ มีเพียงสองคนที่ตัดสินใจว่าเรื่องทั้งหมดจะจบอย่างไรอยู่ใต้ต้นไทรย้อยริมทะเลสาบ
ไม่มีใครในจิงตูนอนหลับในคืนนี้ เพราะคนมากมายรู้ว่าอาจารย์กับศิษย์กำลังทำการเจรจาครั้งสุดท้าย
พายุหิมะช่วงหลายวันที่ผ่านมาค่อนข้างรุนแรง สำนักฝึกหลวงเป็นเหมือนกับที่อื่นๆ ในจิงตู ถูกฝังอยู่ใต้หิมะหนา หญ้าตายริมทะเลสาบถูกหิมะคลุมจนหมด มีเพียงบางแห่งเท่านั้นที่จะเห็นยอดหญ้าตายโผล่พ้นหิมะออกมาและแผ่กลิ่นอายความดื้นรั้นออกมา
ต้นไทรใหญ่ใบร่วงหมดมานานแล้ว แต่กิ่งเปล่าเปลือยของมันก็ยังทนทานเช่นเคย มั่นคงพอที่จะให้คนสองสามคนยืนบนกิ่งได้
เฉินฉางเซิงไม่ได้ยืนอยู่บนต้นไม้ แต่อยู่บนพื้นที่ปกคลุมด้วยหิมะด้านล่าง ส่วนอาจารย์ของเขายืนอยู่บนหิมะเช่นกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่อาจารย์กับศิษย์ได้พบกันหลังจากเช้านั้นบนสุสานเทียนซู ในวันนั้นพวกเขาเดินผ่านกันบนถนนเสินราวกับคนแปลกหน้า มองตรงผ่ากันไป ในครั้งนี้สายตาของพวกเขาสบกันตรงๆ บอกได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปจากตอนที่อยู่เมืองซีหนิง
เฉินฉางเซิงได้เป็นสังฆราชแล้ว แต่เขาไม่ได้สวมชุดคลุมศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้สวมมงกุฎศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้ถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาสวมชุดของสำนักฝึกหลวง ผมถูกหวีไว้อย่างดีม้วนเป็นมวยนักพรตอย่างเรียบง่าย ที่ปักอยู่บนมวยผมสีดำไม่ใช่ปิ่นปักผมจากไม้ดำที่สูงค่าแต่เป็นตะเกียบไม้ธรรมดา
ซางสิงโจวมีผมดำเต็มศีรษะไร้ร่องรอยสีขาว ผมหวีอย่างประณีตคล้ายคลึงกัน ใบหน้าบรรจุไว้ด้วยกลิ่นอายสูงศักดิ์สุขุม แผ่ความงามและผ่อนคลายที่ยากบรรยาย อย่างไรก็ตามเสื้อผ้าของเขาเรียบง่ายมาก เป็นแค่ชุดนักพรตสีน้ำเงิน เขาไม่ดูเหมือนกับคนที่สำคัญที่สุดในยุคปัจจุบัน ทว่าเป็นเพียงนักพรตธรรมดาคนหนึ่ง
หากมีคนเห็นภาพนี้ก็จะพบว่าในบางแง่มุมอาจารย์กับศิษย์คู่นี้เหมือนกันมาก ไม่ใช่ความเหมือนกันทางภายนอกแต่เป็นความเฉยชาบนใบหน้าและความบาดหมางที่ซ่อนเอาไว้ใต้เปลือกนอกที่สงบ
เฉินฉางเซิงเตรียมที่จะเปิดปากพูดแต่ก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่รู้จะพูดอะไร
เป็นเวลาหลายปีนับตั้งแต่เขาพูดกับคนผู้นี้ครั้งก่อน สำหรับผู้บำเพ็ญเพียร เวลาไม่กี่ปีนับเป็นเวลาอันสั้น แต่เขายังรู้สึกว่าเป็นเวลานานมาก นานจนความทรงจำเกี่ยวกับเมืองซีหนิงและวัดเก่าออกจะเลือนรางอยู่บ้าง อย่างน้อยความทรงจำบางอย่างก็ยากที่จะนึกขึ้นมาได้อย่างชัดเจน
เขายังจำได้ชัดเจนถึงรอยกระดำกระด่างบนผนังของวัดเก่าหลังจากที่รูปปั้นนักพรตถูกย้ายไป เขายังจำได้ชัดเจนถึงคืนก่อนที่เขาจะจากมา ศิษย์พี่ทำผักสี่จาน แต่ละจานรสชาติต่างกัน แต่ไม่มีจานไหนใส่กระเทียมมากเกินไป แต่เขาไม่อาจจำได้ว่าคำพูดสุดท้ายของอาจารย์คืออะไร
ในตอนนั้นเองซางสิงโจวก็พูดขึ้น
“ข้าเก็บเจ้ามาจากลำธาร แม้ว่าข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะอยู่ในลำธาร หากไม่มีข้า เจ้าก็ต้องจมน้ำในลำธารนั้น ไม่ก็ถูกมังกรทองชรานั่นกิน สรุปแล้วข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้ เลี้ยงเจ้าจนโต ชีวิตเจ้าเป็นของข้า”
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายพรุ่งนี้จะเป็นวันใหม่ วันใหม่ที่เหมือนกับวันใหม่นับครั้งไม่ถ้วนก่อนหน้านี้ แต่ก็เป็นวันแรกของต้าลู่ใหม่ บทสนทนากลางหิมะในคืนนี้จะตัดสินว่าคนในจิงตูกับทั้งต้าลู่จะผ่านวันรุ่งขึ้นอย่างสงบและยินดีต่อรุ่งอรุณแรกของปีได้เหมือนกับหลายปีที่ผ่านมาได้หรือไม่
ไม่มีใครจินตนาการได้ถึงบทสนทนานี้ว่าจะเริ่มอย่างกะทันหันดำเนินไปอย่างแข็งกร้าวจนแค่อารัมภบทก็ฟังเหมือนจุดจบ