ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 67 นางคิดเช่นนี้ (2)
ในคืนที่เจ็ดหลังจากนางมาถึงแผ่นดิน เด็กสาวถูกซุ่มโจมตีจากมังกรเงินชั่วร้าย ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ช่วงครึ่งเดือนต่อมานางไม่อาจเปลี่ยนร่างเป็นมังกร ทำได้แต่เดินอยู่บนพื้น ดังนั้นนางจึงต้องมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ จึงต้องทนทุกข์ตลอดเวลานั้น หากมนุษย์พวกนั้นทำแค่ชี้นิ้วแล้วส่งเสียงร้อง บางทีนางอาจจะทนได้ ทว่าเมื่อนักศึกษาแซ่โจวบุกมาพร้อมกับใบหน้าบวมตอนที่พูดเกี่ยวกับการกำจัดสัตว์รบกวนทั้งสี่ นางก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป
ในฐานะมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่สูงส่ง นิสัยที่สำคัญที่สุดของนางก็คือรักความสะอาด ดังนั้นนางจะปล่อยให้คนที่เหม็นกลิ่นเหล้าเข้าใกล้นางได้อย่างไร
ในวันนั้นนางยื่นมือออกไปเหมือนกับที่นางทำคืนนี้
นักศึกษาแซ่โจวจึงตายเปลี่ยนร่างเป็นดอกไม้โลหิต
ดอกไม้โลหิตที่เบ่งบานเมื่อหลายร้อยปีก่อนนั้นงดงามยิ่งกว่าดอกไม้ในคืนนี้ นักศึกษาแซ่โจวสลายอย่างหมดจดยิ่งกว่า เปลี่ยนเป็นผงละเอียดลอยไปในสายลม
บางทีอาจเป็นเพราะไม่มีโซ่ค้องเท้านางอยู่ในตอนนั้น
นางคิดเช่นนี้
โดยสรุป นักศึกษาแซ่โจวตาย หลังจากนั้นตามที่บัณฑิตชั่วร้ายแซ่หวังกล่าว เขาถึงกับถูกบันทึกเอาไว้ในพงศาวดารเมืองว่าเป็นวีระบุรุษที่คนทั้งมวลยกย่อง
เรื่องนี้นางได้แสดงความไม่เข้าใจและขาดความใส่ใจ
คนในเมืองนั้นได้รวมตัวอาสาสมัครสิบกว่าคนมาฆ่านาง ซึ่งทำให้นางกลายเป็นผู้สังหารหมู่
คนในเมืองนั้นไร้ระเบียบอย่างมาก ดังนั้นการบันทึกของพวกเขาจึงไร้ระเบียบเช่นกัน
นางคิดเช่นนี้
แต่…มันน่าหงุดหงิดอย่างแท้จริงยามที่มีคนมากมาย
ความทรงจำของนางในเรื่องนี้ช่างไม่น่าพอใจอย่างแท้จริง ดังนั้นในขณะที่นางสัมผัสได้ว่ามีคนมากมายนับไม่ถ้วนรอบสำนักฝึกหลวง ปฏิกิริยาแรกของนางคือกระวนกระวายและหวาดกลัว
นางใช้หมวกคลุมบดบังใบหน้างดงาม รีบเร่งฝีเท้าเปลือยเปล่าเข้าไปในสำนักฝึกหลวง ทว่านางถูกพบตัวที่ทางเข้าของตรอกไป๋ฮวาเสียก่อน
มือสังหารจากหอความลับสวรรค์ได้โจมตีออกมาจากหิมะเพื่อสังหารนาง
มือสังหารนี้ไม่ได้เหม็นนักเมื่อเทียบกับนักศึกษาแซ่โจวจากเมื่อหลายร้อยปีก่อน
แต่ในฐานะมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่สูงศักดิ์ การโจมตีเช่นนี้ย่อมต้องถูกตอบโต้กลับอย่างสมกับฐานะของนาง
การตอบโต้นี้เร็วกว่าความเร็วของความคิดนางเสียอีก
ทำให้มือสังหารผู้นี้ถูกกำจัด
มือสังหารจากหอความลับสวรรค์สลายตัว ระเบิดเลือดเนื้อกระจายไปทั่วพื้น
นางรู้สึกสบายขึ้นมาก ความกลัวฝูงชนในส่วนลึกของหัวใจก็จางลงไปมาก รวมกับสิ่งนี้ความโหดเหี้ยมในใจนางก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ไม่นานหลังจากนั้นนางก็ฆ่ายอดฝีมือมนุษย์อีกสามคน ก่อให้เกิดฝนโลหิตและความตายทำให้ความกลัวและกระวนกระวายหายไป ความโหดเหี้ยมกระตุ้นสัญชาตญาณกระหายเลือดขึ้นมา
นางเลียเลือดรอบปากตามสัญชาตญาณ นางเคยคิดว่ามันจะหวานอร่อย แต่ใครจะไปคิดว่ารสชาติจะน่ารังเกียจสะอิดสะเอียน เป็นเพราะต้าลู่ขาดพลังทำให้มนุษย์มีรสชาติไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ หรือว่า…อาหารที่เฉินฉางเซิงนำมาให้นางช่วงหลายปีมานี้อร่อยเกินไปและเปลี่ยนรสนิยมของนางไป
นางคิดเช่นนี้ นั่นทำให้นางไม่อาจที่จะควบคุมความคลื่นไส้ได้และเริ่มอาเจียนออกมา
สถานการณ์นี้ทำให้นางโมโห ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจอย่างมากกับมนุษย์อ่อนแอพวกนี้และเฉินฉางเซิงที่อาจมีเจตนาไม่ดี
นางเริ่มระบายความโกรธราวกับเด็กที่ถูกแกล้ง นางกระทืบเท้าอย่างต่อเนื่องขับไล่ลมหิมะไปทำให้แผ่นดินแตกร้าวและทำให้ทั่วโลกตกใจกลัว
……
……
ลมหิมะพัดมาอีกครั้ง นางเดินไปยังสำนักฝึกหลวง
ร่างของนางไม่ใหญ่นัก ในทางกลับกันค่อนข้างเล็กเสียด้วยซ้ำ ทว่าเมื่อนางเดิน ขนาดของตรอกไป๋ฮวาก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับว่าไม่อาจแบกรับน้ำหนักได้
เลือดค่อยๆ ไหลออกมาจากความมืด บางทีเป็นของมือสังหารที่ไม่อาจหนีได้ทันเวลาหรือทหารบางคนที่ถูกกระแทกล้ม
ยอดฝีมือจากราชสำนักพวกนี้ได้หนีไปไกล รู้สึกว่าปราณที่น่ากลัวนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น ความรู้สึกกดขี่ที่น่ากลัวกลายเป็นความจริง
หน้าของเสี่ยวเต๋อกลายเป็นไม่น่าดูอย่างที่สุด หน้าซีดขาวจนไร้สีเลือดอย่างสิ้นเชิง
เขาอ่อนไหวต่อปราณนี้ยิ่งกว่ายอดฝีมือเผ่ามนุษย์
ปราณนี้เห็นได้ชัดว่ายังไม่เติบโตเต็มที่ แต่ก็ดูเหมือนจะมาจากสายลมที่เก่าแก่ที่สุด บรรจุไว้ด้วยกลิ่นอายของยุคบรรพกาล สำหรับมนุษย์ ปราณนี้ทรงพลังและน่ากลัวแต่สำหรับเผ่าปีศาจ บดขยี้วิญญาณ ทำให้พวกเขาไม่อาจรวบความกล้ามาขัดขืนได้
ร่างของเสี่ยวเต๋อสั่นอย่างต่อเนื่อง ว่าตามเหตุผลต่อให้เขาไม่ใช่คู่มือของเด็กสาวชุดดำ เขาก็ต้องพยายามที่จะหยุดการก้าวเดินของนาง แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเคลื่อนปราณแท้หรือแปลงสภาพอย่างไร แม้กระทั่งพยายามกลายร่างบ้าคลั่ง เขาก็ไม่อาจรวบรวมความกล้าได้ เขาไม่กล้าที่จะก้าวแม้แต่ก้าวเดียว
นี่คือการสะกดข่มของสิ่งมีชีวิตที่ระดับสูงกว่าต่อสิ่งมีชีวิตที่ระดับต่ำกว่า ซึ่งติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดและน่ากลัวอย่างแท้จริง
และเขายังสามารถอยู่ในตรอกต่อได้ สามารถยืนอยู่และไม่คุกเข่าลงในหิมะ เป็นบทพิสูจน์ที่เพียงพอต่อความแข็งแกร่งและภาคภูมิ
แต่ก็ยังห่างจากความพอไปไกล
เด็กหญิงสังเกตเห็นถึงการมีอยู่ของเผ่ามารและหันไปมองเขาอย่างสนใจ เมื่อสายตาของนางตกมาที่ร่างของเขา วิญญาณของเสี่ยวเต๋อดูเหมือนจะถูกลวกด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ความกลัวไหลออกจากดวงตาและเขาไม่กล้าอยู่ต่อ เขาหันกลับและหายตัวไปในความมืดทันที
ไม่นานหลังจากเสี่ยวเต๋อหายตัวไป เสียงถอนหายใจยาวก็ดังออกมาจากความมืด
ประกายความระมัดระวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กสาวชุดดำ
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และหลังจากเสียงถอนหายใจนี้ก็ไม่มีเสียงใดอีก
บนสะพานหน่ายเหอ ประมาณสิบสี่ลี้จากสำนักฝึกหลวง มู่ฮูหยินจักรพรรดินีเผ่าปีศาจขึ้นราชรถที่ลากด้วยกวางเจ็ดสีและเริ่มเดินทางออกจากจิงตู
ริมทะเลสาบภายในสำนักฝึกหลวง ซางสิงโจวหันไปทางสะพานหน่ายเหอ
เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ
การจากไปของมู่ฮูหยินและคณะทูตเผ่าปีศาจบ่งบอกว่าจากตอนนี้ไป เมืองไป๋ตี้จะรักษาความเป็นกลางระหว่างราชสำนักต้าโจวกับนิกายหลวง
ทำไมพวกเขาถึงได้เปลี่ยนท่าทีอย่างมากเช่นนี้ สุดท้ายแล้วการเปลี่ยนแปลงนี้ต้องส่งผลอย่างมากต่อสถานการณ์ในต้าลู่
ย่อมเป็นเพราะหญิงสาวชุดดำที่เดินผ่านหิมะมา
ไม่เหมือนกับหงส์สวรรค์ที่ภาคภูมิและโดดเดี่ยว เผ่ามังกรได้ทิ้งเรื่องราวมากมายไว้ในต้าลู่ สำหรับเผ่าปีศาจ เผ่ามังกรไม่ได้เผยตัวต่อโลกนี้มานานหลายปีก็ยังฝังรากลึกต่อความเชื่อของพวกเขา เป็นความหวังของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น ที่เผ่าปีศาจสามารถตั้งอาณาจักรบนฝั่งแม่น้ำแดงได้ ก็เรียกได้ว่าเกี่ยวข้องกับมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งอย่างมาก
กำแพงสำนักฝึกหลวงพังและเด็กสาวเดินผ่านมันมา
นักพรตชุดน้ำเงินสิบกว่าคนยืนอยู่ในหิมะ การกระจายตัวของพวกเขาไม่เป็นระเบียบแต่อันที่จริงแล้วเป็นการวางค่ายกลที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ
นางสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของมนุษย์พวกนี้ จากนั้นนางก็เห็นนักพรตวัยกลางคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งของทะเลสาบ
แม้ว่านางจะถูกขังอยู่ใต้บ่อน้ำสะพานอุดรใหม่มาหลายร้อยปี แต่ก็เคยพบยอดฝีมือเผ่ามนุษย์มาบ้าง อย่างหวังจื่อเช่อ ฉินจง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ สังฆราชกับซูหลี อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงนางกลัวเพียงแค่ซูหลีกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เพราะมีแต่สองคนนี้ที่กล้าฆ่านาง
ตอนนี้ นางสัมผัสได้ว่ามีมนุษย์อีกคนที่นางจำเป็นต้องกลัว
นางหงุดหงุดอยู่บ้างแต่นางไม่หยุดก้าวเดิน
นางเดินผ่านทะเลสาบที่เป็นน้ำแข็งและเดินเข้าหาเฉินฉางเซิง กระแอมและกล่าว “สวัสดี ข้าคือผู้คุ้มกันของเจ้า”