ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 71 เรื่องเศร้าของผู้ไล่ตามดวงตะวัน
เสียงนั้นเป็นของซางสิงโจว
‘อย่าให้จิงตูได้เห็น อย่าให้โลกได้เห็น อย่าได้ให้ข้าเห็น’ …แต่ถ้าเขาถูกพบเล่า
ทุกคนรู้ว่ามีเรื่องตามมาที่ไม่ได้กล่าวถึงและไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเกี่ยวกับความตาย
เฉินฉางเซิงไม่พูดอะไร ได้แต่มองไปในหิมะทีตกลงมากลางราตรี ดวงตากระจ่างใสและสุขุม
เขาเองก็มีคำพูดในใจและก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเกี่ยวกับการกลับมาของเขา
……
……
หิมะคืนนี้ไม่รุนแรงขึ้นแต่ก็ไม่ได้เบาลง ทหารม้าจำนวนนับไม่ถ้วนที่ล้อมสำนักฝึกหลวงยังคงเผชิญหน้ากันอย่างระมัดระวัง
ซางสิงโจวกลับไปที่วังหลวง นักพรตชุดน้ำเงินคำนับเขาอย่างนบนอบแล้วก็จากไป
เขายืนอยู่ในหิมะ มองไปที่เงาของจักรพรรดิหนุ่มที่ฉายอยู่บนหน้าต่าง สัมผัสได้ถึงความรู้สึกพึงพอใจ
ทุกอย่างคุ้มค่าแล้ว
มีเสียงย่ำบนพื้น เสียงรองเท้าย่ำลงไปบนหิมะที่นุ่มและอ่อนตัว นักบวชซินมาด้านหลังของเขากระซิบอย่างแผ่วเบาไม่กี่คำ ท่าทีอ่อนน้อมอย่างมาก
แม้ว่าเหมยลี่ซาจะกลับคืนสู่ทะเลดวงดาวไปแล้ว สำนักการศึกษากลางก็ยังไม่มีนายใหม่
หน่วยงานนี้มีฐานะพิเศษมากในนิกายหลวงและมีพลังอำนาจอย่างมากซ่อนอยู่ ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่เหมาชิวอวี่จะเป็นผู้นำ เขาได้แต่นำในฐานะผู้นำชั่วคราวแค่ไม่กี่เดือน
หลายคนเชื่อว่านักบวชซินที่เหมยลี่ซาเชื่ออย่างมากและยังสนิทกับสำนักฝึกหลวงอย่างมากเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเป็นผู้นำสำนักการศึกษากลาง แต่คุณสมบัติและวัยวุฒิยังด้อยไปบ้าง
ไม่มีใครรู้ว่านักบวชซินแท้จริงแล้วยังมีตัวตนอื่นอีกก็คือสายลับของกรมอาญา
และไม่มีใครรู้ว่าไม่กี่วันก่อนตอนที่โจวทงถูกตามล่าและสังหาร คนที่กระตุ้นค่ายกลใต้ดินของคุกโจวและบีบให้โจวทงต้องออกไปก็คือเขาเอง
เหตุผลนั้นง่ายมาก นักบวชซินที่ตอนนี้มีอนาคตสดใสย่อมไม่ต้องการที่จะเป็นสุนัขรับใช้โจวทงอีกต่อไป และหวังว่าโจวทงจะตาย
แน่นอนหากเขาไม่ได้รับคำสัญญาหรือคำยืนยัน ความกล้าก็คงมาถึงช้ากว่านี้
“ไม่มีปัญหาในจิงตูช่วงนี้และพระราชวังหลีก็จะไม่มีปัญหาไปสามปี เจ้าควบคุมสำนักการศึกษากลางก็ไม่มีความหมายอะไรมากนัก”
ซางสิงโจวกล่าวต่อ “ไปทางใต้ให้กับข้าและดูว่ายอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กับหลีซานทำอะไร บอกให้พรรคฉางเซิงส่งของที่ข้าต้องการมาให้ข้า”
นักบวชซินตกใจอยู่บ้าง เพราะเขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พรรคฉางเซิงต้องส่งให้ปรมาจารย์เต๋านั้นจะสำคัญมาก แต่เขาไม่พูดอะไรยอมรับคำสั่งและหายไปในหิมะอย่างรวดเร็ว
……
……
หิมะที่สะสมอยู่บนทะเลสาบถูกลมพัดไปก่อนหน้านี้ เผยให้เห็นชั้นน้ำแข็งแวววาวด้านล่าง ภายใต้แสงที่ส่องจากระยะไกลมันดูเหมือนกับแผ่นกระจกสีขนาดใหญ่
มีบางจุดบนแผ่นกระจกสีนี้ เป็นรอยเท้าที่นางทิ้งไว้ตอนที่เดินข้ามไป
บางทีเพราะเขากำลังมองไปที่ทะเลสาบที่เป็นน้ำแข็งเหมือนกระจกแก้วสี เฉินฉางเซิงจึงนึกไปถึงบางอย่างที่สำคัญมากสำหรับนาง
“เจ้านำไข่มุกราตรีกับสมบัติพวกนั้นมาด้วยหรือไม่”
ในถ้ำใต้ดินด้านล่างบ่อน้ำสะพานอุดรใหม่ บนเพดานถูกฝังไว้ด้วยไข่มุกราตรีล้ำค่าพันเม็ด ในขณะที่บนพื้นมีทองและเงินกองสูงอยู่
มันเป็นสมบัติของมังกรดำ และยังเป็นสิ่งสนับสนุนทางใจที่สำคัญที่สุดของนางตลอดการจองจำนานหลายร้อยปีของนาง
เฉินฉางเซิงรู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญกับนางแค่ไหน ดังนั้นเขาจึงพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
“แน่นอนข้าเอามาด้วย”
มังกรดำตบท้องของนาง แผ่กลิ่นอายของวีรชนที่เพิ่งดื่มสุราร้อนแรงไปแปดชาม
ในร่างมนุษย์ของนาง นางตัวเล็กมาก เตี้ยกว่าเฉินฉางเซิงอยู่สองชั่วศีรษะ นางดูเหมือนกับเด็กสาวอายุสิบเอ็ดสิบสองปี ดังนั้นการกระทำของนางนี้จึงดูน่าขันและออกจะน่ารักอยู่บ้าง
เฉินฉางเซิงรู้ว่าชุดดำของนางคือเกล็ดมังกรและไม่อาจแยกออกจากร่างได้ แต่มันบรรจุของได้ไม่มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่มีวัตถุมิติ เขาจึงอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่านางเอาของพวกนั้นไปไว้ไหน
“เจ้าโง่เสียจริง” มังกรดำรู้สึกโมโห นางตบท้องนางอีกครั้งและกล่าว “ข้าบอกแล้วว่าอยู่ในนี้”
เฉินฉางเซิงสังเกตเห็นในที่สุดว่าท้องของนางยื่นออกเล็กน้อยราวกับเด็กที่กินมากเกินไป
กลายเป็นว่านางได้เอาไข่มุกราตรีพันกว่าเม็ดและเงินทองกองเป็นภูเขารวมถึงปะการังพวกนั้น…กลืนลงท้องไป
อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินไปอีกหลายปี แต่นี่หมายความว่านางต้องพ่นมันออกมาทุกครั้งที่เขาต้องใช้เงินไม่ใช่หรือ
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่ามันเป็นวิธีที่สกปรกอยู่บ้าง และเมื่อเขานึกถึงว่านอกจากพ่นมันออกมาแล้วก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่พวกมันจะออกมา เขาก็เริ่มกระวนกระวายในทันที
“หยุดคิดไร้สาระเลยนะ!” มังกรดำน้อยรีบตอบโต้และคำราม “หากเจ้าคิดไร้สาระต่อ ข้าจะกลืนเจ้าลงไป”
เฉินฉางเซิงคิดกับตัวเอง หากเจ้ากลืนข้าลงไปจริงๆ เจ้าก็ต้องคายข้าออกมาในที่สุด ไม่ก็ใช้อีกทางออกหนึ่ง ใบหน้าของเขาก็บูดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม
มังกรดำเข้าใจอย่างรวดเร็วและใบหน้านางก็น่าเกลียดยิ่งกว่าเขาเมื่อนางยกกำปั้นขึ้นช้าๆ
มันเป็นหมัดเล็กๆ ดูเหมือนกับดอกเหมยเดียวดายกลางหิมะ น่าเวทนาอย่างที่สุด
……
……
ตูม! เสียงฟ้าร้องดังขึ้นในสำนักฝึกหลวง พื้นดินสั่นสะเทือนและหิมะบนต้นไทรใหญ่ก็ร่วงลงมา
รอยแยกมากมายปรากฏขึ้นบนทะเลสาบที่เป็นน้ำแข็ง น้ำไหลออกมาตามรอยแยก บนแผ่นน้ำแข็งที่แตกออกมีภาพสะท้อนของคนผู้หนึ่ง
นางคว้าคนผู้นั้นและแบกเขาไปยังหอตำรา
เพื่อที่จะปกป้องตำราเอาไว้ แสงในหอตำราจึงมีความพิเศษ ให้ความอบอุ่นน้อยกว่า ต่อให้ใช้ไฟพวกนี้จำนวนมากเป็นเวลานานก็ยังไม่เป็นผลมากนักในการทำให้เสื้อที่เปียกโชกแห้ง
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ท่ามกลางโคมไฟหลายสิบดวง น้ำทะเลสาบเย็นหยดจากร่างของเขาลงบนพื้นสีดำเงาอย่างต่อเนื่อง
ถูกหมัดส่งลงน้ำจนเปียกโชกและเย็นไปถึงกระดูก เป็นเรื่องที่เพียงพอที่จะทำให้โมโห
เขาไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เมื่อร่างของเขาผ่านการชำระไขกระดูกอย่างสมบูรณ์แบบก็สามารถทนการโจมตีนี้ได้ และหลังจากรวบรวมดวงดาวอย่างสมบูรณ์แบบ ความร้อนเย็นธรรมดาในโลกก็ไม่อาจทำอะไรร่างกายของเขาได้
แน่นอนสาเหตุหลักที่เขาไม่สนก็คือมังกรดำน้อยในตอนนี้ทำตัวประหลาดไป
ด้วยลักษณะนิสัยของนาง เด็กสาวชุดดำควรจะพอใจกับตัวเองแต่ตอนนี้นางนั่งตรงข้ามกับเขาและก้มหน้าอย่างเศร้าสลด เขาถึงกับบอกได้ว่านางกำลังรู้สึกเศร้าทีเดียว
“เป็นอะไร”
“ความแข็งแกร่งของข้าลดลง”
“บางที…อาจเป็นเพราะเจ้าเพิ่งหนีออกมาและยังไม่คุ้นเคยก็ได้”
“ไม่ใช่”
นางมองไปที่โซ่ที่ยังมัดเท้านางเอาไว้และกล่าว “หากเราไม่อาจหาวิธีทำลายโซ่นี่ ข้าอาจไม่มีทางเอาชนะอาจารย์เจ้าได้”
เฉินฉางเซิงตระหนักว่านี่เป็นสิ่งที่นางเป็นกังวลอย่างแท้จริงและปลอบโยน “ต่อให้เราทำลายโซ่ได้ เจ้าก็ยังไม่อาจเอาชนะเขาได้”
นางโกรธมากและโต้กลับ “นี่เป็นวิธีปลอบคนของเจ้าหรือ”
เฉินฉางเซิงตอบอย่างจริงจัง “ใช่ เพราะว่ามันเป็นความจริง ตอนที่ข้าเป็นทารก มังกรทองต้องการจะกินข้า แต่ก็ถูกอาจารย์ไล่กลับไปในที่สุด”
ในหมู่เผ่าพันธุ์มังกร มังกรทองกับมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งเป็นมังกรที่สูงส่งที่สุดแข็งแกร่งที่สุด หลายปีก่อนตอนที่มังกรทองได้ออกไปจากต้าลู่ มันได้ความเคารพจากมังกรยักษ์น้ำค้างแข็ง มังกรทองที่เขาพูดถึงนั้นอ้างตามคำพูดของศิษย์พี่อวี๋เหรินน่าจะเป็นสมาชิกของเผ่าพันธ์นี้ และอาจเป็นสมาชิกของเชื้อสายราชวงศ์ด้วย
มังกรทองนั้นย่อมแข็งแก่งกว่ามังกรดำน้อยหลายเท่า แต่ก็ยังไม่อาจสู้กับอาจารย์ได้
ในสายตาของเขา ไม่จำเป็นที่มังกรดำน้อยจะต้องกังวลและเสียใจที่ไม่อาจเอาชนะอาจารย์ได้
ใครกันที่เศร้าเพราะไม่อาจไล่ตามดวงอาทิตย์ได้
……
……
ใครกัน
แน่นอน เป็นเพราะคนพวกนั้นกล้าพอหรือบางทีบ้าพอที่จะไล่ตามดวงตะวัน
สายตานางตกลงไปบนกระบี่สั้นที่เอวเขา
เมื่อนางเห็นกระบี่นี้ครั้งแรก ก็สัมผัสได้ถึงปราณที่สูงส่งและคุ้นเคยที่ควรค่าให้เคารพและระแวงระวัง
หลังจากได้ยินเฉินฉางเซิงบรรยายเหตุการณ์ในอดีต นางก็มั่นใจว่ากระบี่สั้นนั้นเป็นหนวดมังกรของมังกรทองตัวนั้น
การเอาชนะสมาชิกราชวงศ์มังกรทองได้และถึงกับเด็ดหนวดมังกรที่ล้ำค่ามาทำเป็นอาวุธ คนผู้นั้นต้องแข็งแกร่งมากและมีความมั่นใจสูงมาก
นับจากนั้น นางก็รู้ว่าอาจารย์ของเฉินฉางเซิงเป็นคนที่น่ากลัวเพียงใด
หากมีโอกาส นางย่อมต้องไม่เป็นศัตรูกับคนเช่นนี้ ทว่า…
นับจากวันนี้ไปข้าคือผู้คุ้มกันของเจ้า
หากมีมนุษย์ที่แข็งแกร่งต้องการจะฆ่าเจ้า ข้าก็ต้องคิดหาวิธีเอาชนะเขาและฆ่าเขา
ดังนั้นเข้าจึงเศร้า